3
เหตุผลที่ต้องไป
“ตองจะมีคนอื่นหรือไม่มี มันก็ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วนี่คะ ว่าจะหยุดหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากหยุด”
“พี่ไม่เห็นจำได้ว่าเคยไปตกลงเรื่องนี้ตอนไหน” กรามคมบดแน่น บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
“ทำไมพี่ปูนถึงเข้าใจอะไรยากอย่างนี้คะ เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ตองต้องขอความเห็นจากพี่นะ ตองอยากหยุด ตองอยากพอแค่นี้ พี่ปูนได้ยินชัดมั้ยคะ!”
ร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเริ่มขึ้นเสียง น้ำเสียงเบาๆ เล็กๆ นั่นไม่น่ารำคาญเลยสักนิด แต่ที่ทำให้คนฟังรู้สึกโมโหขึ้นมาคือเนื้อความข้างในต่างหาก
“แต่พี่ยังไม่อยากหยุด และไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องหยุดด้วย” ธเนศขยับตัวเข้าไปใกล้ สายตาแผดเผาทำให้หญิงสาวรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
‘ก็เหตุผลที่ว่าตองตกหลุมรักพี่ไง!’ อยากจะบอกออกไปแบบนี้ แต่ปวิชญารู้ดีว่ามันจะกลายเป็นจุดอ่อนของเธอ ทำให้เขาเล่นกับหัวใจเธอได้มากขึ้น เลยได้แต่เม้มปากแน่น
เห็นเธอนิ่งเงียบไป ชายหนุ่มก็เอ่ยต่อ “ไหนลองบอกเหตุผลของตองมาทีสิ ทำไมถึงอยากหยุด”
“มันถึงจุดอิ่มตัวแล้วแหละค่ะ ตองอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม” ปวิชญาตอบอย่างใจกล้า เธอถอยไปชิดขอบโซฟามากขึ้นไปอีกจนตัวแทบจะเอนตกลงไปอยู่แล้ว ทำให้ชายหนุ่มต้องคว้าข้อมือของเธอไว้อย่างเป็นห่วง
“ถ้างั้นพี่ก็จะให้เวลาส่วนตัวกับตองมากขึ้น เราเจอกันแค่สัปดาห์ละครั้งพอ คิดว่าไง?”
น้ำเสียงทุ้ม พร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้แสนใกล้ ทำเอาร่างบางอยากจะใจอ่อน แต่ก็ดึงสติยั้งคิดของตนไว้ได้ทัน
ถ้าเขามาเจอเธอน้อยลง เธอไม่ยิ่งคิดถึงเขาเข้าไปใหญ่เหรอ ยอมตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียยังจะดีซะกว่า
“ไม่เอาค่ะ” หญิงสาวสะบัดข้อมือออก
“ตองชักจะไม่มีเหตุผลเข้าไปใหญ่แล้วนะ ไม่น่ารักเลยรู้มั้ย”
น่ารักหรือไม่น่ารัก พี่ปูนก็ไม่เคยคิดจะรักอยู่แล้วนี่ ปวิชญาคิด
“พี่ปูนก็ออกจะรวยนี่คะ ขาดตองไปก็ไปซื้อผู้หญิงอื่นได้ หรือพี่ปูนชอบที่ได้ตองฟรีๆ กันแน่”
หากเป็นคนอื่น เธอก็คงจะคิดอยู่หรอกว่าการที่ฝ่ายชายไม่ยอมเลิก เพราะเสียผลประโยชน์จากการที่ไม่ได้มีอะไรกับเธอฟรีๆ แต่นี่เป็นธเนศ นักธุรกิจหมื่นล้าน ทำไมต้องยื้อเธอไว้ด้วย
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
“ใช่ เพราะพี่ปูนไม่ได้คิดแบบนั้น ดังนั้นพี่ปูนก็ต้องปล่อยตองไปค่ะ”
ร่างเล็กกว่าสรุปให้เสร็จสรรพ ก่อนที่จะรีบลุกหนีเดินเข้าห้องนอน ปิดประตูใส่กลอนอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ดีว่า ต่อให้คุยกันต่อ ก็คงจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร
คงต้องปล่อยให้เขาได้กลับไปนอนคิด ไปสงบสติอารมณ์เสียก่อน
“โธ่โว้ย!!!”
คนที่ปฏิกิริยาตอบสนองช้าไปนิด จนพลาดถูกปิดประตูใส่หน้า ได้แต่สบถลั่น ทั้งโมโหหิว ทั้งโมโหคนที่เอาแต่จะหนีเขา
ธเนศพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ สายตาคมกวาดมองไปยังส่วนอื่นๆ ของคอนโดที่เขาไม่ได้แวะมาเสียหลายวัน เมื่อพบเข้ากับลังกระดาษขนาดใหญ่จำนวนหลายลัง ที่บรรจุหนังสือและของใช้ส่วนตัวของหญิงสาวไว้ ก็ได้แต่กำหมัดแน่นขึ้น
เธอเตรียมจะย้ายออกจากที่นี่แล้วสินะ
ถ้าฉันไม่ยินยอม เธอก็ไม่มีทางหนีไปจากฉันได้หรอก... ปวิชญา
“พอจะมีรถเข็นสำหรับขนของให้ยืมไหมคะ” หญิงสาวถามรปภ. ประจำคอนโดในช่วงเย็นของวันถัดมา
เมื่อคืน หลังจากที่เธอหนีเข้าห้องนอนไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงสบถของเพื่อนรุ่นพี่ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป
เธอไม่รู้หรอกนะว่าเขากลับไปเมื่อไหร่ เพราะเธอไม่ได้ออกจากห้องนอนอีกเลยจนถึงตอนเช้า พอออกจากห้องเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน ก็ไม่เห็นเขาอีกแล้ว
“ไปลงชื่อยืมตรงนั้นได้เลยครับ ถ้ามีของเยอะก็จองเวลาใช้ลิฟต์ขนของด้วยนะครับ”
“ค่ะ”
ปวิชญาเดินไปลงชื่อยืมรถเข็นไว้ใช้สำหรับขนของใช้ของเธอ ของส่วนใหญ่ถูกแพ็คลงลังกระดาษเรียบร้อย ส่วนพวกเสื้อผ้าก็ถูกทยอยเก็บใส่กระเป๋าเดินทางไปจนจะหมดแล้ว เธอวางแผนที่จะไปนอนห้องเพื่อนชั่วคราวสักหนึ่งสัปดาห์ ในระหว่างที่กำลังหาห้องเช่าใหม่
ช่วงนี้คนปล่อยห้องเช่ากันเยอะ คิดว่าแค่ใช้ช่วงเวลาเสาร์อาทิตย์หาก็น่าจะหาได้
“แม่หนู ถ้าย้ายออกเสร็จแล้ว อยากได้คนทำความสะอาด ก็มาจ้างป้าได้นะ” ป้าแม่บ้านที่ยืนพักอยู่ข้างๆ รีบเข้ามาคุยด้วย
“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวถ้าต้องการ ตองจะมาจ้างป้าเป็นคนแรกเลยค่ะ”
ยุคนี้ก็แบบนี้แหละ คนเราต้องมีรายได้หลายทาง ดีไม่ดีป้าแม่บ้านอาจจะได้เงินรายเดือนเยอะกว่าเธอด้วยซ้ำ
รายได้สองหมื่นของเธอเหมือนจะเยอะ แต่เมื่อหักค่าเดินทางไปทำงาน และแบ่งเงินให้แม่ไปใช้หนี้แล้ว ก็เหลือแค่พออยู่พอกินเท่านั้น มีเงินเก็บบ้างนิดหน่อย เพราะเธอไม่เคยคิดจะไปเที่ยวที่ไหน
เอาจริงๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาแบบเธอ หากไปทำงานพีอาร์ขายสินค้าตามห้าง หรือทำงานกลางคืนร่วมด้วย ก็น่าจะพอรวยไปแล้ว
แต่เพราะความหวังว่าจะมีงานประจำที่มั่นคง เงินเดือนขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีไปจนเกษียณ เธอก็เลยไม่คิดที่จะแตะพวกงานพาร์ทไทม์อีก
ที่เธอทนทำงานออฟฟิศอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อพยายามปั้นเรซูเม่ของตน เผื่อจะไปสมัครงานที่อื่นและอัพเงินเดือนขึ้นได้บ้าง
ปวิชญาขนกล่องลังทั้งสามกล่องลงใส่รถเข็นขนาดกำลังดี ก่อนจะเข็นไปยังลิฟต์โดยสารปกติ เพราะเธอไม่ได้ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์อะไร จึงไม่จำเป็นต้องจองใช้ลิฟต์ขนของ
“ขอบคุณค่ะ...” ใช้แรงเข็นรถเข็นเข้าไปในลิฟต์ได้สำเร็จ พอหันไปขอบคุณคนที่กดลิฟต์ค้างไว้ให้ก็ต้องตกใจ “พี่ปูน!”
“จะขนของย้ายออกไปไหน?”
“ตองก็จะคืนห้องให้พี่ปูนยังไงล่ะคะ”
หญิงสาวทำใจดีสู้เสือ เอื้อมมือผ่านหน้าเขาไปกดปุ่มชั้นจี พยายามไม่สนใจเรื่องที่ว่าในลิฟต์มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้น
“จะย้ายไปอยู่ไหนล่ะ” ธเนศยืนกอดอก มองมาด้วยสายตาที่ชวนให้คนถูกมองรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
“ก็ห้อง... ไม่บอกค่ะ” ปากไวกว่าความคิด ดีที่ยั้งไว้ได้ทัน
“อ้อ...”
เสียงเหมือนรับรู้ ก่อนจะตามมาด้วยความเงียบนั้น ทำเอาหญิงสาวรู้สึกแปลกใจ ด้วยตอนแรกเตรียมใจรับความโกรธจากชายหนุ่มเสียเต็มที่
มาแปลกแฮะ...
โชคดีที่เป็นคอนโดสูงมากกว่าห้าสิบชั้น ลิฟต์ก็เลยมีความเร็วค่อนข้างมาก อดทนอยู่กับบรรยากาศอันน่าอึดอัดเพียงไม่นาน ประตูลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นจี
“ไม่ต้องค่ะ”
ปวิชญารีบปฏิเสธคนที่ยื่นมือเข้ามาแย่งเธอเข็นรถเข็นทันที แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเขาจับที่เข็นไว้แน่นซะจนเธอไม่สามารถจะแทรกได้ เลยได้แต่เม้มปาก เดินตามเขาต้อยๆ
ภาพคุณชายนักธุรกิจในชุดทำงาน ต้องมาเข็นรถที่บรรจุกล่องลังสีน้ำตาลนั้น ช่างไม่เข้ากันเลยสักนิด
แต่เส้นเลือดที่มือและแขนในยามที่เขาออกแรงเข็นนี่สิ เป็นอะไรที่เธอชอบมองเอามากๆ
เวลาเขาได้แสดงความเป็นผู้ชาย นอกเหนือจากเรื่องบนเตียง อย่างเช่น เปลี่ยนหลอดไฟ หรือซ่อมก๊อกน้ำ ล้วนแล้วแต่เป็นช่วงเวลาที่เธอชอบมองที่สุด
“จะไปยังไงล่ะ”
“จอดไว้แถวนี้แหละค่ะ เดี๋ยวตองกดแอพเรียกรถ” ปวิชญาชี้ไปที่หน้าประตูทางเข้าคอนโด “พี่ปูนก็กลับไปเถอะค่ะ ไว้วันไหนอยากเจอก็นัดกินข้าวได้ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่”
ไร้เสียงตอบรับจากคนฟัง จนร่างบางต้องหันไปมอง ก่อนจะพบว่าคนที่เข็นรถตามมานั้น เดินเลยตัวเธอไปยังรถตู้วีไอพีที่ถูกขับเข้ามาจอดยังหน้าทางเข้าคอนโดเสียแล้ว
“ให้ผมช่วยอะไรบ้างครับ บอส”
“ขนลังพวกนี้กลับไปเก็บที่ห้องหมายเลข 402 รหัสเข้าห้องเป็นวันเกิดฉันแบบย้อนหลัง ถ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับเองล่ะ ฉันจะใช้รถ”
“ได้ครับ”
คนขับรถที่หญิงสาวเคยเจอนานๆ ครั้ง รับคำอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข็นรถเข็นกลับไปยังลิฟต์ ทิ้งให้ปวิชญายืนอ้าปากค้าง เพราะไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งไป” หญิงสาวขยับตัวเมื่อได้สติ แต่ข้อมือดันถูกรั้งไว้ด้วยอุ้งมือใหญ่
“ไม่ต้องตามไป ตองต้องไปกับพี่”
“ไปไหนคะ”
“ไปเป็นคู่ควงออกงานให้กับพี่ยังไงล่ะ”
4คู่ควงจำยอม หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงที่เดินเคียงคู่มากับนักธุรกิจหนุ่มคนดัง ดึงดูดสายตาของผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลและไฮไลท์ที่ส่วนปลายเป็นสีชมพูอ่อนนั้น เข้ากันได้ดีกับใบหน้ารูปไข่ ตาทรงอัลมอนด์ จมูกโด่ง และริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงอมส้ม หากทว่าสีหน้าของเธอกลับนิ่งเรียบ ดูไม่เหมือนคนมีความสุขที่ได้เป็นคู่ควงของคนดังอย่างธเนศเลยสักนิด ถึงแม้ชุดเดรสของเธอจะเปิดเผยทรวงทรงองเอว แสดงความสาวและมีเสน่ห์ของเธอได้อย่างเด่นชัด แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นงานเลี้ยงของไฮโซ ก็ใช่ว่าจะขาดคนงาม ผู้ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่หน้าตาดีกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนอายุมาก ที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี จึงยังดูดีและภูมิฐานอยู่เสมอ ความสวยสาวของปวิชญาจึงไม่ใช่สิ่งที่คนสนใจกัน หากเป็นใบหน้าอันไม่คุ้นเคยของเธอต่างหาก โดยปกติแล้ว ธเนศมีคู่ควงสำหรับออกงานเพียงคนเดียวเท่านั้น และมักจะเปลี่ยนทุกๆ ปี โดยที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิลปินหรือดาราดังที่มีออร่า ดูเข้ากันได้ดีกับเขา ...ต่างจากหญิงสาวคนนี้ ที่ไม่มีใครคาดเดาตัวตนของเธอได้
5สะสางเรื่องราว ‘ทำอะไรอยู่ยัยหนู ทำไมไม่รับโทรศัพท์’ “ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยแหละแม่ ไม่ได้ดูโทรศัพท์เลย” ปวิชญาตอบกลับผู้เป็นแม่ ขณะที่มือก็ถอดเครื่องประดับออก เตรียมตัวอาบน้ำนอน หลังจากเจอแต่เรื่องน่าเหนื่อยใจมาทั้งวัน หวังว่าการที่เธอพูดออกไปชัดเจนแบบนั้น ธเนศจะไม่มายุ่งวุ่นวายกับเธออีก เธอว่าเธอแสดงจุดยืนของตัวเองไว้ชัดเจนมากแล้ว หากเขายังดื้อด้านไม่เข้าใจอีก ก็ไม่รู้จะต้องทำยังไงเหมือนกัน หรือเธอควรบอกเขาไปเลยดีว่าเธอรักเขา หากเขายังมาหาเธออีก เธอจะจีบเขา ตามตื้อเขาออกสื่อ ระรานคู่ควงทุกคนของเขาให้หมด ทำให้เขาปวดหัวไปเลย เพราะเขาคงไม่ชอบผู้หญิงท็อกซิกแบบนั้นหรอก ‘ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่แม่น่ะสิ ท่าทางจะไปไม่รอดแล้ว โดนไล่ที่ บังคับให้ขนของออกไปให้หมด ไม่ยอมให้เปิดร้านต่อ พอบากหน้าจะไปขอเช่าพื้นที่จากร้านพวกน้าเอ็งนะ ไอ้พวกนั้นก็ดั๊นอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด หาว่ามีคนเช่าไปแล้วบ้างละ หาว่าเก็บไว้ให้ญาติที่จะมาหาเดือนหน้าบ้างล่ะ’ “อ้าว ทำไมแม่ไม่เคยเล่าให้ตองฟังเลยล่ะ เผื่อจะช่วยๆ กันได้” ‘มันวุ่นวายอีรุงตุง
6คู่ควงคนใหม่ “อย่าคิดมาก เสร็จนี่แล้วก็ไปซื้อของให้เรียบร้อยเถอะ พรุ่งนี้จะได้ไม่ฉุกละหุกเกินไป” น้ำเสียงปลอบโยนดังมาจากชมพูนุช แม่ผู้บังเกิดเกล้าของปวิชญา ตอนนี้หญิงสาวกำลังช่วยแม่ปอกกระเทียมอยู่ที่ลานบ้าน ซึ่งเป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ และห้องครัวที่ยื่นออกไปข้างหลัง และเนื่องจากเป็นบ้านที่อยู่ในตัวเมือง จึงแทบไม่มีบริเวณโดยรอบไว้สำหรับปลูกต้นไม้หรือเหลือพอที่จะจอดรถได้ แต่กระนั้น บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านของพวกเธอ ไม่ต้องไปเช่าอยู่ที่อื่น เกิดทำอะไรผิดพลาดจนเงินหมดตัว อย่างน้อยก็ยังมีที่ให้ซุกหัวนอน หลังกลับจากซื้อของที่ตลาดเมื่อวาน เธอก็ยุ่งอยู่กับการคอยสำรวจหาห้องแถว หรือขอแบ่งห้องเช่าเล็กๆ ให้แม่ได้เปิดร้านทำเล็บต่อ แต่ยังไม่เจอว่ามีใครปล่อยเช่า วันนี้ก็เลยคิดว่าจะขยายขอบเขตการสำรวจออกไปไกลขึ้นสักหน่อย ทว่า แม่ของเธอกลับไม่เห็นด้วย ไม่ยอมให้เธอขี่มอเตอร์ไซค์บุโรทั่งออกไปตากแดดตากลมอีก และยังบังคับให้เธอนั่งช่วยงานอยู่กับบ้าน ก่อนจะไล่ให้เธอไปซื้อของฝากเพื่อนที่ทำงาน เพราะจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพในวั
7อย่าให้ต้องจากไปแบบเกลียดชัง “เฮ้อ... ชีวิตปลาเค็มร้อยเปอร์เซ็นต์นี่มันช่างดีจริงๆ” เมื่อก่อนปวิชญาเคยคิดว่าเธอเหนื่อยเพราะทำงานทั้งวัน กลับบ้านก็เลยอยากจะนอนโง่ๆ เป็นปลาเค็ม แต่วันนี้เธอได้รู้ความจริงแล้วว่า...ไม่ใช่ ต่อให้เธอจะเหนื่อยหรือไม่เหนื่อย ก็ไม่มีแรงจะลุกจากที่นอน และไม่มีแรงออกไปพบเจอกับเพื่อนสมัยมัธยมอยู่ดี ชีวิตที่มีแม่คอยหาข้าวหาปลาให้กินนี่มันช่างดีจริงๆ เสียดายที่เกาะแม่กินแบบคนอื่นเขาไม่ได้ “ทำไมแม่ไม่เฉลยสักทีว่าตองเป็นลูกเศรษฐี และแม่พาตองมาฝึกฝนการเผชิญโลกกว้าง” หญิงสาวที่กำลังนอนกลิ้งไปมาอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน ตะโกนถามแม่ที่กำลังนั่งทำเล็บให้กับลูกค้าอยู่ที่ลานบ้าน เนื่องจากยังหาหน้าร้านใหม่ไม่ได้ ช่วงนี้แม่เธอเลยต้องแก้ขัดโดยการให้ลูกค้าประจำมาทำเล็บที่บ้านไปก่อน ถึงแม้จะพอแก้ขัดไปได้บ้าง แต่ก็สูญเสียรายได้จากการคิดค่าวางของฝากขายไปพอสมควร “ฉันก็รอแกเฉลยอยู่เหมือนกัน ว่าแกถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ไม่ก็เก็บเงินได้สักล้านสองล้าน” อีกฝ่ายตะโกนตอบกลับมา “แม่ไม่คิดว่าตองจะได้แฟนรวยบ้
8ข้อเสนอจากผู้ช่วยเหลือ กลิ่นอายของท้องทะเลยามค่ำคืน เสียงเกลียวคลื่นและลมทะเล น้ำทะเลที่ซัดเม็ดทรายละเอียดนับล้านบนฝั่ง ท้องฟ้าอันมืดมิดที่เปิดทางให้เห็นแสงสว่างจากดวงดาวและดวงจันทร์ครึ่งดวง ท้องน้ำทะเลอันเงียบสงบที่ซ่อนภัยอันตรายไว้มากมาย และแสงไฟของเรือหาปลาและประภาคารที่อยู่ห่างไกลออกไป ล้วนส่งผลต่ออารมณ์ของคนที่นั่งดูอยู่... ให้จมดิ่ง ดำลึกลงไปในห้วงความคิด ลึกลงไปในกาลเวลา หลังจากกินหมูกระทะเสร็จแล้ว ปวิชญาและเพื่อนสมัยมัธยมอีกสองคน ก็มานั่งดื่มเบียร์เล่นกันบนผืนทราย เพราะเม้ามอยอัพเดทเรื่องราวของกันและกันไปมากมายตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ช่วงเวลานี้ จึงเป็นช่วงของการรำลึกความหลัง และดำดิ่งสู่ห้วงอารมณ์ ความเงียบสงบในตอนนี้ เกิดขึ้นจากการที่พวกเธอเพิ่งคุยถึงเรื่องคุณครูประจำชั้นคนต่างๆ และจบลงที่คุณครูคนหนึ่ง ซึ่งเกิดเหตุโศกนาฏกรรมอันแสนสลดใจขึ้นกับท่านเมื่อสองปีก่อน พวกเธอจึงได้แต่นั่งเงียบไว้อาลัยกันอยู่ ความนุ่มของผืนทรายที่ไร้ซึ่งเศษขยะหรือเศษชิ้นส่วนจากทะเล สัมผัสกับขาเรียวยาวที่เหยียดออกไปกับพื้นของปวิชญา เธอค่อยๆ เอนหลังลงไป
9เปลี่ยนสถานะ “อย่าลืมส่งต่อข้อมูลที่ฉันส่งไปในอีเมลล่าสุดให้กับพวกบริษัทย่อยล่ะ” “ครับ ผมจะติดต่อกับพวกผู้บริหารเป็นการส่วนตัวให้เลยครับ” เสียงตอบรับดังมาจากเลขานุการหนุ่มที่ยืนรับคำสั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ก่อนที่เขาจะเดินออกไป สั่งการลูกน้องเสร็จ ธเนศก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ผู้บริหารที่ออกแบบมารองรับสรีระของเขาอย่างจำเพาะเจาะจง เปลือกตาปิดลงเพื่อพักสายตาชั่วครู่อย่างที่มักจะทำเป็นประจำ หลังจากที่ลงทุนไปตามปวิชญาถึงบ้านเกิด และทำการตกลงเรื่องคู่ควงเรียบร้อย ชายหนุ่มก็กลับมาทำงานต่ออย่างสบายใจ อย่างน้อยในระยะเวลาสามเดือนที่หญิงสาวยอมตกลงมีความสัมพันธ์กับเขาเช่นเดิม ก็น่าจะพอเปลี่ยนความคิดของเธอได้ บอกตามตรงว่าธเนศไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุอะไรดลใจ ทำให้ปวิชญาที่เข้ากันได้ดีกับเขามาโดยตลอด ไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง ได้ตัดสินใจที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา จากการตามสืบคร่าวๆ ดู ก็ไม่เห็นว่าหญิงสาวจะมีความสัมพันธ์กับชายคนไหน ยิ่งเพื่อนผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ เธอแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ หากเป็นเพียงเพราะเธอเบื่อเขาแล้ว เขาก็จะทำให้
10ยังมีหน้าไปอ่อยชายอื่น ปวิชญานึกว่างานในครั้งนี้จะจัดขึ้นที่โรงแรมเหมือนคราวก่อน แต่ไม่ใช่ ห้องพักที่ธเนศจองให้เธอได้ใช้อาบน้ำแต่งตัวเป็นห้องพักสุดหรูห้องหนึ่งที่ตั้งอยู่ชั้นบนของคลับไฮเอนด์ระดับพรีเมียม ซึ่งมีการคัดเลือกสมาชิกด้วยมาตรฐานอันสูงลิ่ว นอกจากจะมีเงินแล้ว การศึกษา และพื้นฐานครอบครัวก็ต้องดีด้วย เรียกได้ว่าเป็นคลับของชนชั้นสูง ที่ถึงแม้จะเป็นชนชั้นสูงก็เข้าไม่ได้ เพราะถ้ามีเพียงชื่อตระกูล แต่ใช้เงินของบรรพบุรุษจนแทบไม่มีเหลือ และมีทรัพย์สินไม่มากพอ ก็จะถือว่าไม่ผ่านมาตรฐาน ในตอนแรกที่หญิงสาวได้ยินกฎเกณฑ์อันสูงลิ่วจากปากช่างแต่งหน้า ก็นึกว่าจะมีผู้ร่วมงานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่ปรากฏว่าคนไทยที่ผ่านเกณฑ์กลับมีมากกว่าที่คิด แถมคนที่มาร่วมงานเปิดตัวคลับในวันนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเสียเกินครึ่ง “คลับนี้เป็นของเพื่อนพี่เอง มีแค่สื่อมาถ่ายรูปช่วงต้นนิดหน่อย ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกรบกวน” “อย่างนี้ก็ไม่ต้องให้ตองมาด้วยก็ได้นี่คะ” ในเมื่อเป็นงานค่อนข้างปิด ไม่เห็นจำเป็นจะต้องลงทุนกับเธอเลย
11แม้แต่คำว่ารัก เขายังไม่เชื่อ บรรยากาศในรถมีแต่ความเย็นชาและความเงียบ เป็นความเงียบสงบก่อนพายุจะเกิด เมื่อคนขับรถของธเนศขับเข้ามาจอดหน้าคอนโด ปวิชญาก็เปิดประตูเดินลงรถจากไปลิ่วๆ โดยไม่สนใจที่จะเอ่ยลาชายหนุ่ม เพราะทั้งคู่กำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็น ตั้งแต่ถูกเขาเดินเข้ามาหาเรื่อง แสดงกิริยาก้าวร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงถูกลากแขนให้จากไปโดยไม่ทันได้ร่ำลาบาเทนเดอร์หนุ่มที่คุยกันอย่างถูกคอ พวกเขาก็เริ่มเข้าสู่จุดแตกหัก ตอนแรกปวิชญาก็ไม่คิดอะไรมาก ออกจะรู้สึกดีใจด้วยซ้ำที่เห็นเขาแสดงท่าทางเหมือนหึง แต่เมื่อเขาไม่ฟังเธออธิบาย ไม่ยอมใจเย็นลง และยังพูดจาดูถูกเธอ... หญิงสาวก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่หึงเพราะรัก แต่เป็นคนเสียอาการเพราะหวงของ คนที่ห่วงศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่อยากเสียหน้าที่คู่ควงของตนไปก้อร่อก้อติกกับชายอื่น ‘ช่วยเข้าใจสถานะตัวเองด้วย เป็นคู่ควงพี่ ก็ควรจะอยู่กับพี่ ไม่ใช่เที่ยวเฟลิร์ตหนุ่มไปทั่ว’ ‘พี่ปูนพูดเกินไปนะคะ ตองแค่คุยกับบาเทนเดอร์เอง ยังไม่ได้จีบใครหรือทำอะไรเกินเลยสักหน่อย’ ‘ก็ถ้า
บทส่งท้าย กริ๊งกร่อง~ เสียงออดบ้านที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ใกล้ประตู ลุกขึ้นเดินไปเปิด ก่อนจะพบกับคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่นอกประตูรั้ว แปลกหน้าไม่เท่าไหร่ แต่ทั้งหล่อ แต่งตัวดูดี มีออร่าจับนี่สิ เขามั่นใจมากว่าไม่มีใครในบ้านเขารู้จักคนอย่างนี้ “ผมมาหาเปตอง ปวิชญาครับ” ผู้มาเยือนพูดภาษาอังกฤษใส่ ทำให้เจ้าของบ้านรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะคนแถวนี้พูดแต่ภาษาจีน ไม่ก็มาลายูกันทั้งนั้น “คุณเป็นอะไรกับเธอ” “เป็นแฟนครับ ผมมารับเธอกลับ” หลังจากเจรจากันอยู่สักพัก เจ้าของบ้านก็ยอมอนุญาตให้ธเนศเข้าไป ชายหนุ่มเดินไปยังบริเวณข้างหลังบ้าน ซึ่งมีซุ้มไม้เลื้อยและโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนนั่นคือหญิงสาวคนที่เขาเฝ้าตามหาอยู่เกินครึ่งปี ข้างๆ กันคือเด็กหญิงวัยห้าขวบ กำลังคุยจ้อไม่หยุด ท่าทางน่ารักน่าชัง แก้มยุ้ยผิวขาว ดูคล้ายกับหญิงสาวเป็นอย่างมาก ถ้าเขาไม่ได้เจอเธอหลายปี เขาก็คงนึกว่าเด็กนั่นเป็นลูกของเธอเหมือนกัน “พี่ปูน...” ปวิชญามองมาทางเขาอย่างตกใจ ก่อนจะขยี้ตา และมอ
21อับจนหนทาง ต่อให้มีอิทธิพลมากมายแค่ไหน แต่การตามหาคนคนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ ก็ใช่ว่าจะหาง่ายๆ ธเนศมั่นใจว่าปวิชญากำลังพยายามหลบซ่อนตัวจากเขาอยู่แน่ๆ เพราะการที่คนคนหนึ่งจะหายไป ไร้ซึ่งร่องรอยการกิน เที่ยว ใช้ชีวิต มันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ได้เรื่อง!” ชายหนุ่มตะคอกใส่บรรดาหัวหน้าสาขาบ่อนคาสิโนตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพราะอิทธิพลในด้านสว่างใช้ไม่ได้ผล เขาจึงต้องพึ่งพาเครือข่ายอันกว้างไกลที่มีอยู่ตามสาขาต่างๆ ของบ่อนการพนันทั่วประเทศ “เอ่อ... ไม่แน่ว่าคุณปวิชญาอาจจะไม่ได้อยู่ในประเทศแล้วก็ได้นะครับ” หนึ่งในชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ในท่ารับผิดเหมือนกับลูกน้องแก๊งยากูซ่าเอ่ยเสนอด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ เป็นเหตุให้เพื่อนรอบข้างหันมามองและแทบจะยกนิ้วให้กับความใจกล้านี้ “คิดว่าฉันโง่หรือไง!” ธเนศตวาดเสียงเย็นยะเยียบ ก่อนจะโบกมือให้มือขวาจัดการพาทุกคนออกไป เพราะเขาไม่อยากเห็นหน้าเจ้าพวกนี้อีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่นึกถึงการตามหาเธอที่ประเทศอื่น แต่เพราะโลกนี้มันกว้างมาก ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มค้นหาจากประเทศไหน การเริ่ม
20จุดเปลี่ยนของคนบ้า ทุกคนรู้ว่าธเนศแปลกไป แต่ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าตัวเพียงคนเดียวที่ยังไม่รู้ ทั้งออกงานสังคมน้อยลง ไม่ได้มีสาวคนไหนมาเป็นคู่ควงอยู่เคียงข้างกาย และบ้างานหนักขึ้น สั่งให้ลูกน้องทำโอที จนทุกคนแทบจะกราบขอร้องอ้อนวอนให้ปล่อยพวกเขาไปสักที บรรยากาศรอบตัวก็อึมครึมเข้าขั้นทะมึน ใครหน้าไหนก็เข้าหน้าไม่ติด รอยยิ้มจากเขาสักแอะก็ไม่มีโผล่มาให้เห็น แรกๆ ทุกคนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเดี๋ยวมันก็คงจะดีขึ้น แต่ปรากฏว่าทุกอย่างกลับยิ่งเลวร้ายลง พอไม่มีงานที่บริษัทและที่บ่อนให้ทำ ธเนศก็จัดการหางานเพิ่มโดยการขยายธุรกิจ บินไปโน่นมานี่หาคู่ค้า สั่งเปิดสาขาเพิ่มที่ประเทศใกล้เคียง หางานให้เหล่าลูกน้องไม่เว้นแต่ละวันจนต้องจ้างพนักงานเพิ่ม แม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังทำงาน ไม่คิดจะหยุดพักผ่อนเลยสักนิด “พอเลย ไอ้ปูน ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่แกนะที่จะตายก่อน คนอื่นจะได้โดนแกลากไปตายด้วยกันหมด แหกตาดูบ้างสิว่าพนักงานบริษัทเราตาโหลเป็นหมีแพนด้ากันขนาดไหนแล้ว ต่อไปคงได้มีข่าวพนักงานตายในหน้าที่ ยืนถ่ายเอกสารอยู่ก็ไหลตายได้กันพอดี”
19ห้องที่ไร้ไออุ่น “หันหลังกลับไม่ได้แล้วนะ” เสียงย้ำเตือนดังมาจากภูผา เพื่อนสนิทที่เรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศมา และคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักให้กับเธอ ขณะนี้ภูผาและคะนิ้งกำลังมาส่งเพื่อนสาวที่สนามบินดอนเมือง ทั้งที่อาการกระดูกหักของหญิงสาวยังไม่หายสนิท และครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเดินทางไปต่างจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางไปไกลขึ้น...ถึงต่างประเทศ “เดี๋ยวก่อนนะ แกต้องถามฉันสิ ว่า แน่ใจแล้วเหรอว่าจะไป” “พูดอย่างกับว่าภูถามตอนนี้แล้วตองจะเปลี่ยนใจทัน” ภูผาว่า “ใช่ ก็แกทั้งซื้อตั๋วเครื่องบิน ทั้งเซ็นสัญญา จ่ายเงินค่านายหน้าไปหมดแล้ว คงไม่ใจเสาะ ยอมยกเลิกเอาตอนนี้หรอกมั้ง” คะนิ้งรีบเอ่ยสนับสนุน “เกลียดจริงพวกรู้ทัน” ปวิชญายิ้มมุมปาก “ฉันไปก่อนนะ” “เออ โชคดี ว่างๆ ก็บินกลับมาบ้าง กรุงเทพ-ปีนังก็แค่ปากซอย” คะนิ้งว่า หญิงสาวผมประบ่าเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่จะกอดลาเพื่อนที่กรุงเทพทั้งสองคน และเดินจากไป ตอนที่ออกจากคอนโด เธอได้ส่งข้าวของทั้งหมดกลับไปยังบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด และกลับไปพัก
18ความห่างเหิน ทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยหลังจากเกิดเรื่องในวันนั้น การเงียบหายไปของธเนศ มันทำให้เธอตระหนักรู้ว่า เธอหมดประโยชน์ หมดความสำคัญกับเขาแล้ว จากที่ตอนแรกเขายื้อเธอไว้ ไม่ยอมให้เธอยุติความสัมพันธ์แบบมากกว่าเพื่อน ถึงขั้นพาเธอออกงาน พาเธอไปรู้จักโลกของเขา มันทำให้เธอคิดเกินเลยไปไกลกว่าเดิม...มาก ยิ่งได้อยู่ใกล้กันมากขึ้น ก็ยิ่งไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกออกไป จากคราแรกที่กลัวว่าเขาจะเล่นกับหัวใจเธอ กลายเป็นหวาดกลัวว่าเขาจะทิ้งเธอไป และมันก็มาถึงวันนี้จนได้... วันที่เขาตัดขาดจากเธอ เพราะว่าเธอโกรธเขา ที่เขาเล่นกับจิตใจของเธอ...คนที่รักเขา...มากเกินไป แต่ก็ดีแล้ว เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องที่เธอร้องขอเขามาตั้งแต่แรก แล้วทำไมวันนี้... วันที่เขายอมปล่อยเธอไป เธอกลับอยากให้เขายื้อเธอไว้อีก เฮ้อ... เจ็บไม่จำจริงๆ เลย ยัยเปตอง ปี๊นๆๆ โครม!!! “โอ๊ยยย” “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” “ขยับได้มั้ย” ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ขณะกำลังนั่งซ้อนท้ายวินมอเตอร์ไซค์ และ
17ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ “ตองเป็นอะไร โกรธอะไรใครมา” ธเนศยังคงเซ้าซี้ไม่หยุด หลังจากที่หญิงสาวเดินหนี ไม่ยอมกลับเข้างาน จนเขาต้องเป็นคนขับรถไปส่งเธอ เพราะไม่อยากปล่อยให้หญิงสาวต้องเดินทางตอนกลางคืนคนเดียว “โกรธหมดทุกคนนั่นแหละค่ะ โดยเฉพาะพี่ปูน” ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมเปิดปากพูด เมื่อรถหรูเคลื่อนเข้ามาถึงหน้าคอนโด “โกรธที่พี่ทิ้งตองไว้คนเดียว? หรือโกรธที่ไม่ยอมบอกเรื่องงานเลี้ยงล่วงหน้า? แต่ไม่น่าจะใช่ งานอื่น พี่ก็ไม่เห็นต้องบอกตองล่วงหน้าเลยนี่” “ใช่สิ ตองเป็นแค่คู่ควง พี่ปูนสั่งให้ไปงานไหนก็ต้องไป ไม่มีสิทธิได้รู้ล่วงหน้าหรอก” “อ้าว พาลโกรธเรื่องนั้นเฉยเลย ไม่เอาสิ สรุปว่าตองโกรธอะไรกันแน่” “จริงๆ งานแบบนี้ พี่ปูนควรจะควงคุณดาด้าไปมากกว่า” “พี่ไม่อยากรบกวนเขา ตองก็รู้ว่าเขากำลังขาขึ้น งานยุ่งมาก” “ก็เลยมาใช้งานคนว่างๆ แบบยัยเปตองคนนี้สินะคะ” น้ำเสียงติดจะประชดประชัน “ตอง ไม่เอาน่า” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน “พี่ปูนก็รู้ว่าตองชอบพี่ ยังจะพามาเจอพ่อแม่พี่อีก” ในที่สุดหญิงสาวก็ระเบิดอ
16คำแนะนำจากสองฝั่ง คราวนี้ที่ทำงานที่ต้าพูดถึงไม่ใช่บ่อนคาสิโน แต่เป็นที่ทำงานด้านสว่างของเขา ตึกที่ธเนศทำงานอยู่เป็นอาคารสูงสามสิบหกชั้นในย่านธุรกิจ รายล้อมไปด้วยตึกสูงอื่นๆ ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารมากมาย ต้านำรถไปจอดที่ชั้นจอดรถสำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ ก่อนจะนำเธอขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นผู้บริหาร พาเธอเดินผ่านเลขาหนุ่มหน้าห้อง เข้าไปนั่งรอธเนศในห้องทำงานของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่าปวิชญาจะทำงานออฟฟิศเหมือนกัน แต่บรรยากาศออฟฟิศของเขากับเธอนั้นค่อนข้างจะแตกต่างกัน น่าจะเป็นเพราะชั้นนี้เป็นชั้นสำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ พนักงานที่ทำงานอยู่นอกห้อง ก็เลยค่อนข้างจะเงียบ มีเพียงเสียงกดแป้นพิมพ์และคลิกเม้าส์ดังอยู่เป็นระยะ แอบกดดันจนหญิงสาวต้องลอบถอนหายใจ เมื่อหลุดเข้ามาในห้องทำงานของธเนศได้ “เดี๋ยวบอสประชุมเสร็จแล้วจะเข้ามา คุณตองรออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ” ต้าพูดเสร็จก็เดินออกไปทันที ปล่อยให้ปวิชญาได้แต่มองสำรวจรอบห้อง ผนังห้องทั้งสองมุมเป็นกระจกล้วน ทำให้มองเห็นวิวของกรุงเทพมหานครได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกไปแล้วจนเริ่มมืดแบ
15กระทบกับงานจนได้ ร่างสูงสง่าในชุดสูทสั่งตัดราคาแพงยืนจิบไวน์อย่างเซ็งๆ “แม่ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเราไปห้องน้ำนานจัง ที่แท้ก็มายืนลอยชายอยู่ตรงนี้นี่เอง” คุณหญิงเมธินีเอ่ยทักบุตรชายอย่างขัดใจ แม้จะอายุหกสิบปีแล้ว แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเต่งตึง ผิวพรรณดูสุขภาพดีอย่างคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี “ก็ถ้าแม่ไม่คิดจะจับคู่ผมให้กับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ผมก็คงไม่ต้องหนีออกมาอยู่ตรงนี้หรอกครับ” “คนโน้นคนนี้อะไรกัน หนูรุ่งน่ะ ทั้งนิสัยดี การศึกษาสูง ฐานะทัดเทียมเราทุกอย่าง แถมยังคุยเก่งเอาใจเก่ง เมื่อกี้ที่โต๊ะก็ทำให้เราหัวเราะได้ตั้งหลายทีไม่ใช่หรือไง” เมธินีหมายถึงรุ่งนภา ลูกสาวเพื่อนของเธอที่เพิ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก หญิงสาวทั้งเพรียบพร้อมและดูแก่นแก้วหน่อยๆ ดูมีชีวิตชีวาเหมาะกับลูกชายของเธอเป็นที่สุด “ผมยอมรับว่าคนนี้แม่เลือกมาดี แต่เธอควรไปเจอคนที่ดีกว่าผม เพราะผมไม่คิดจะรักใคร” “ก็ลองเดทกันสักหน่อย แต่งงานกันไป เดี๋ยวก็รักกันเองแหละน่า” “นี่มันสมัยไหนแล้วครับ” “แหม... ขนาดนิยายสมัยนี้ยังมีแต่เรื่องที่ถูกจ
14โดนทิ้งอีกแล้ว ในคืนนั้นปวิชญานอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาหลายตลบ เพราะในหัวมีแต่ภาพของธเนศลอยอยู่เต็มไปหมด ต้องเป็นเพราะวันนี้เขาทำตัวค่อนข้างแปลกไปจากปกติแน่ๆ ทั้งการเอาใจใส่ที่มากขึ้น และการยอมรับการตัดสินใจของเธอ ปล่อยให้เธอได้พักผ่อนคนเดียวที่คอนโด เพื่อที่จะได้มีแรงทำงานในวันพรุ่งนี้ ในเมื่อเธอนอนไม่หลับแล้ว โทรไปกวนเพื่อนสักหน่อยดีกว่า จะได้มีคนไม่ได้นอนเป็นเพื่อนเธอ ‘ครายยย’ เสียงงัวเงียดังออกมาจากปลายสาย ท่าทางจะรับมือถือแบบที่ยังหลับตาอยู่ “คะนิ้งจ๋าาา” ปวิชญาออดอ้อนเพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่อยู่ในกรุงเทพ เพื่อนที่เธอมักจะนัดเจอกันสัปดาห์ละครั้ง ‘ยัยตอง เกิดอะไรขึ้น มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า’ น้ำเสียงตื่นตระหนกของเพื่อน ทำเอาคนโทรไปรู้สึกผิดนิดหน่อย “เปล่า แค่นอนไม่หลับเฉยๆ” ‘นอนไม่หลับ แล้วมาโทรกวนเพื่อนเนี่ยนะ!?’ “พอดีมีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อย อย่าเพิ่งวางนะ” ‘ว่ามาสิ ให้เวลาแค่สิบนาทีนะ ฉันง่วงมากกก’ ผ่านไปห้านาที... ‘โห... โนไอเดียเลยว่ะ ไม่รู้จะให้คำปร