แสงแดดอุ่นคลี่ตัวลงบนพื้นผิวของอาคารจัดแสดงนิทรรศการที่ถูกเนรมิตขึ้นอย่างวิจิตร ภายในห้องโถงหลัก ทีมงานต่างขะมักเขม้นตรวจความเรียบร้อยอย่างเงียบงัน ท่ามกลางความตึงเครียดที่แฝงอยู่ในความเรียบหรู
นาราเดินตรวจพื้นที่ด้วยสายตาที่แน่วแน่ ไม่หลุดโฟกัสแม้เพียงรายละเอียดเล็กน้อยของแสง เวที หรือกรอบโชว์เครื่องประดับ พรุ่งนี้คือวันจริง และเธอรู้ดีว่าทุกอย่างจะต้องไร้ที่ติ ขณะเดียวกัน พราวฟ้าปรากฏตัวในชุดฝึกซ้อมที่ตัดเย็บอย่างเรียบโก้ ผ้าเนื้อดีพลิ้วไหวไปตามจังหวะการก้าวเดิน เส้นผมถูกรวบขึ้นอย่างหลวม ๆ เผยลำคอระหงและแววตาที่เจิดจรัสด้วยประกายของหญิงสาวที่มั่นใจในความงามในตัวเอง แสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านกระจกสูงสะท้อนแสงกระทบพื้นหินอ่อนเงาวับ เก้าอี้จัดเรียงตามแนวเวทีอย่างประณีต กล่องประดับเพชรหลักยังคงวางเด่นอยู่กลางโถงใต้แสงไฟไลต์เฉพาะจุดราวกับราชินีผู้สง่างาม เสียงดนตรีจำลองที่เปิดเบา ๆ ในห้องโถง เริ่มคลี่คลายความเงียบงัน ทีมงานทยอยเข้าประจำตำแหน่ง ขณะที่พราวฟ้าก้าวออกไปยังกลางเวที เธอหมุนตัวอย่างงดงามแบบนางงามสองรอบเต็ม ก่อนหยุดโพสด้วยท่วงท่าสง่างาม มือหนึ่งแตะแผ่วเบาที่สร้อยคอ อีกมือแตะสะโพกอย่างมีชั้นเชิง รอยผ่าของกระโปรงชุดราตรีแหวกออกเล็กน้อยตามการขยับ ทำให้เรียวขาอันงดงามเผยออกมาอย่างมีศิลปะ ไม่โจ่งแจ้ง แต่สะกิดความสนใจได้อย่างแยบยล คีรณัฐที่ยืนสังเกตจากระยะห่างก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาอ่านรายละเอียดทุกจังหวะสายตาอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทว่าชัดเจนพอให้ได้ยิน "ถ้าขยับกระโปรงสูงขึ้นกว่านี้อีกนิดเดียว...ผมกลัวว่าแสงสปอร์ตไลต์จะส่องไปผิดจุดครับ" พราวฟ้าหันมาหัวเราะเบา ๆ ดวงตาเป็นประกาย "คุณนี่...หมายถึงจุดไหนคะ?" เขายิ้มบางแต่ไม่ตอบ หันไปสื่อสารกับทีมไฟด้านหลังให้ลดความสว่างบริเวณขอบเวทีลง ไม่ให้ส่องสว่างไปตรงส่วนล่างของชุดมากนัก นาราก้าวเข้ามาในจังหวะพอดี มองสลับสองคนตรงหน้าแล้วหัวเราะอย่างอดไม่ได้ "สองคนนี้ ถ้าได้ทำงานร่วมกันบ่อย ๆ ฉันคงไม่ต้องจ้างทีมโปรดักชันแล้วล่ะ ประหยัดงบไปได้เยอะเลย" คีรณัฐที่คุมงานด้านศิลป์อยู่ไม่ห่าง เดินเข้ามาแนะนำจังหวะการหมุนตัว พร้อมพูดกับพราวฟ้าด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ถ้าพลิกตัวช้ากว่านี้อีกสักนิด วางเท้าต่ำลงมาหน่อย ผมว่ามันจะสวยมาก สวยจนคนทั้งงานแทบจะหยุดหายใจพร้อมกันได้เลยนะครับ" พราวฟ้าเบิกตากว้างก่อนจะหัวเราะลั่น "คุณนี่...จัดท่าซะปิดความเซ็กซี่ของฉันมิดเลยนะ!" นาราขยับไปข้างพราวฟ้า พลางกระซิบเบา ๆ กับเธอ "ฉันชักไม่แน่ใจ ว่าที่ช่วยจัดท่าเพราะอยากให้ดูดี หรือเพราะหวงขาเรียว ๆ ของแกกันแน่" "บ้าน่ะแก คิดไปเรื่อยแล้ว" พราวฟ้าพูดพร้อมกับตีไปที่นาราเบา ๆ แม้จะพูดอย่างนั้น ทว่ากลับมีความเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างปิดบังไม่มิด หลังการซ้อมเสร็จสิ้น พราวฟ้าชวนนาราไปฉลองเล็ก ๆ ในค่ำคืนก่อนวันงาน แม้ว่านาราอยากจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ทนต่อลูกตื๊อของเพื่อนสาวไม่ได้ "แค่ดื่มนิดเดียว ฉันสัญญา! ถือว่าให้กำลังใจตัวเองก่อนขึ้นเวทีพรุ่งนี้นะ” ค่ำนั้น สองสาวนั่งอยู่ในร้านอาหารหรูใจกลางเมือง ดนตรีเบา ๆ คลอไปกับบรรยากาศเย็นสบาย นาราเผลอหัวเราะกับเรื่องเล่าของพราวฟ้าอยู่หลายครั้ง หัวใจที่เคยตึงเครียดค่อย ๆ คลายลง ดื่มกันมาได้สักพัก นาราก็รู้สึกว่าเธอคล้ายจะเริ่มมึนหัวเล็กน้อย เธอจึงขอตัวไปห้องน้ำ ขณะเดินกลับออกมา ประตูกระจกจากห้องทานอาหารวีไอพีบานหนึ่ง เปิดออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างของนาราเซถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะชนเข้ากับใครบางคนที่เดินตามมาข้างหลัง “โอ๊ะ ขอโทษค่ะ…” เธอหันกลับไปกล่าวขอโทษเขาอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความมึนเล็กน้อยผสมกับความตกใจ เธอจึงทรงตัวได้ไม่ดีนัก มือที่แตะต้นแขนของเธอเบาและมั่นคง ชายหนุ่มตรงหน้าในชุดสูทเรียบหรู ยืนรับเธอไว้พอดี เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย แต่สัมผัสนั้น...กลับคุ้นอย่างประหลาด “คุณโอเคไหมครับ” เสียงทุ้มต่ำชัดเจนเอ่ยถามด้วยแววตาสุภาพแต่ลึกซึ้ง “ค่ะ ขอโทษนะคะ ฉันรีบไปหน่อย” นาราตอบพลางยิ้มจาง ๆ เขามองเธอครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีก “คุณดูไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่นะครับ เมาเหรอ?” “นิดหน่อยค่ะ เพื่อนลากมาดื่มผ่อนคลาย” เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงลา “ขอบคุณนะคะ…สำหรับเมื่อกี้” เมื่อเธอเดินจากไป ชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม สายตาติดตามแผ่นหลังนั้นเงียบ ๆ แววตานิ่งงันแต่แฝงความอ่อนโยนเอาไว้ภายใต้ท่าทีสงบเสงี่ยม ไม่กี่อึดใจถัดมา ผู้ชายร่างสูงในสูทสีเข้มเดินเข้ามาใกล้ เขาโค้งศีรษะเล็กน้อยก่อนกระซิบเบา ๆ "ข้อมูลที่คุณธีภพให้ตรวจสอบเรื่องการรั่วไหลจากบริษัทวรเมธินทร์...ผมได้เบาะแสบางส่วนแล้วครับ ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นใคร แต่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติบางอย่างที่ผมเพิ่งตรวจสอบได้...." ธีภพรับฟังโดยไม่เอ่ยคำ ดวงตาเขายังคงจับจ้องไปยังทิศทางที่นาราเดินจากไป พลางเอ่ยช้า ๆ "เก็บรายละเอียดให้มากที่สุด และอย่าให้เธอรู้ว่าเรากำลังมองอยู่" ผู้ช่วยพยักหน้ารับ ก่อนจะถอยกลับอย่างเงียบงัน ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยไฟระยิบ ธีภพยังคงยืนอยู่อย่างนั้น...ราวกับป้อมปราการเงียบงันที่เฝ้ารอเวลาของมัน ................ ขณะเดียวกัน ภายในห้องนิรภัยเก็บรักษาเครื่องประดับ อรดาก้มหน้าอ่านเอกสารปลอมที่มีตราประทับปลอมแปลงอย่างแนบเนียน ใบหน้าเรียบสนิทไร้ความรู้สึก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ถูกเธอว่าจ้างไว้แล้วลอบเดินเข้ามาตามแผน ท่ามกลางความเงียบที่เคลือบคลุมไปทั่วโถงด้านหลัง เครื่องประดับชุดสำคัญ เพชรเม็ดหลักที่เป็นหัวใจของงานประมูล ถูกบรรจุอย่างพิถีพิถันอยู่ในกล่องพิเศษ ห่อด้วยผ้าเนื้อดีเพื่อกันกระแทก มือของอรดายื่นกล่องให้ชายคนนั้น ก่อนจะนำกล่องอีกใบหน้าตาเหมือนกันทุกประการเข้าแทนที่ตำแหน่งเดิม เธอขยับกล่องอย่างระมัดระวัง ตรวจมุม วัดองศาแม้กระทั่งรอยพับของผ้า ไม่มีสิ่งใดถูกปล่อยให้ผิดตำแหน่งแม้แต่นิดเดียว เจ้าหน้าที่คนนั้นพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเก็บกล่องของจริงใส่กระเป๋าสีดำ และเดินออกไปทางประตูด้านหลังอย่างแนบเนียน ไม่ถึงสิบห้านาทีหลังจากนั้น ขณะที่อรดาเดินผ่านบานกระจกด้านข้าง แสงไฟสะท้อนแววตาของเธอวาววับ มือถือในกระเป๋าเธอสั่นเบา ๆ เธอหยิบขึ้นมาอ่านข้อความที่เพิ่งปรากฏบนหน้าจอ > “ของจริงถูกจัดเก็บไว้ในที่ที่เราคุยกันแล้ว” เธอกดลบข้อความนั้นทันที ปลายนิ้วยังแตะอยู่ที่หน้าจออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ละออก ริมฝีปากที่เคยเรียบนิ่งคลี่รอยยิ้มบางออกมา...ช้า ๆค่ำคืนนี้ คืนแห่งงานประมูลสุดยิ่งใหญ่ที่ทุกสายตาจับจ้อง ห้องโถงนิทรรศการของวรเมธินทร์กรุ๊ป กลายเป็นฉากแห่งความฝันที่ถูกบรรจงสรรค์สร้างขึ้นเพื่อการเฉลิมฉลองความงามอย่างแท้จริงแสงไฟสีทองนวลละมุนไล้ไปตามแนวเพดานโค้งสูง สะท้อนกระทบคริสตัลที่เรียงรายราวหยาดน้ำแข็งจากสรวงสวรรค์ กระจกใสเจียระไนถูกจัดวางอย่างมีจังหวะ ทุกแผ่นสะท้อนเงาผู้คนเป็นพันเสี้ยว ดั่งเพชรที่มีหลากเหลี่ยมมุมทั่วบริเวณประดับประติมากรรมแก้วใสที่ถูกหล่อขึ้นเป็นรูปทรงเรขาคณิต แสดงถึงการควบรวมของศิลปะและวิทยาศาสตร์ เบื้องใต้แสงจันทร์จำลองที่สาดทาบผ่านเพดานโปร่งใส ผืนพรมสีหมอกเงินทอดยาวจากทางเข้าจนถึงเวทีกลางโถง ราวกับพาผู้คนก้าวเข้าสู่โลกซึ่งกาลเวลาและความจริงถูกระบายไว้ด้วยประกายอัญมณีแขกผู้มีเกียรติทยอยเดินเข้าสู่บริเวณงานอย่างต่อเนื่อง ราวกับขบวนแห่งรัตติกาลที่เปล่งประกายไม่หยุดยั้งชุดสูทตัดเย็บจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก สวมทับร่างของนักธุรกิจชายผู้ทรงอิทธิพล ชุดราตรีกวาดพื้นของสตรีผู้สูงศักดิ์ระยิบระยับด้วยคริสตัลจากปารีส ทุกฝีก้าวที่เหยียบย่างบนพรมเงินคือการแสดงออกถึงอำนาจ ฐานะ และศิลปะแห่งการเลือกสรรเสียงกดชัตเตอร์จากก
เสียงพิธีกรกังวานขึ้นจากเวทีหลักกลางโถงงาน เสียงนั้นลึก หนักแน่น และเต็มไปด้วยพลังสะกดฝูงชนให้เงียบสงบในพริบตา"ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี... ค่ำคืนนี้คือค่ำคืนแห่งประกายและเรื่องราว ค่ำคืนที่ความงามไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่มองเห็น แต่เป็นสิ่งที่สัมผัสได้จากหัวใจ"เสียงปรบมือดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเงียบลงอีกครั้งเมื่อพิธีกรยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล"วรเมธินทร์กรุ๊ป มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในการนำเสนอแฟชั่นโชว์เครื่องประดับแห่งปี ภายใต้แนวคิด 'ศรัทธาแห่งการฟื้นคืน' ซึ่งเชื่อมโยงเรื่องราวของความทรงจำอันมีค่า เข้ากับแสงสะท้อนของอัญมณี"เสียงดนตรีคลาสสิกเริ่มบรรเลงเบา ๆ เคล้ากับเสียงซุบซิบอันเงียบงันของผู้ชม"และเพื่อเปิดม่านสู่ค่ำคืนแห่งแรงบันดาลใจนี้ ขอเชิญทุกท่านพบกับการเดินแบบสุดพิเศษที่จะเปิดตัวด้วย 'เครื่องเพชรแห่งแรงบันดาลใจ' หนึ่งเดียวในค่ำคืนนี้!"แสงไฟทุกดวงดับวูบลงในเสี้ยววินาที ความเงียบปกคลุมห้องจนได้ยินเสียงลมหายใจเบา ๆ จากใครบางคนทันใดนั้น แสงสปอตไลต์สว่างวาบขึ้นบนเวที พร้อมกับเสียงดนตรีที่พุ่งทะยานดั่งสายลมยามค่ำคืนที่โอบล้อมผู้ชมไว้เวทีเปลี่ยนสีเป็นม่วงอมน้ำเงินระยิบ ทอดเงาบนพื้นพ
เสียงภายในห้องโถงเงียบลงฉับพลัน ราวกับถูกกลืนหายไปพร้อมคำกล่าวหาของอรดา ดวงตานับร้อยหันมาจับจ้องที่นารา หญิงสาวในชุดราตรีสีทองดำผู้เป็นหัวใจของงานในค่ำคืนนี้แต่ในจังหวะที่ใครหลายคนเริ่มตั้งคำถาม เธอกลับยืนนิ่งสงบ ดุจผิวน้ำที่ไม่แม้แต่จะกระเพื่อมอรดาก้าวออกมาจากกลุ่มผู้ร่วมงาน เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นห้องดังชัดเจนในความเงียบ ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะนุ่มนวล แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่อัดแน่นจนแทบปริแตก“ฉันเสียใจจริง ๆ ที่ต้องเป็นคนพูดเรื่องนี้ออกมา” อรดาเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ในฐานะผู้ช่วยที่อยู่เบื้องหลังงานนี้ ฉันมีหน้าที่ต้องปกป้องชื่อเสียงของแขกทุกท่านและชื่อของแบรนด์ที่เคยภาคภูมิใจ”เธอค่อย ๆ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากกระเป๋าคลัตช์สีน้ำเงินเข้ม ยกขึ้นให้แสงไฟจับต้องชัด“นี่คือใบรับรองของเพชรฟินาเล่ที่ใช้เปิดงานค่ำคืนนี้ค่ะ”เธอหมุนเอกสารให้กล้องสื่อมวลชนและแขกในงานเห็นอย่างทั่วถึง ก่อนใช้นิ้วชี้แตะลงที่มุมล่างขวา “ตรงนี้...ไม่มีโลโก้ของสถาบันรับรอง ซึ่งในทุกใบรับรองจะต้องมีตามมาตรฐาน”เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นอีกรอบ หนักแน่นและแผ่กระจายเหมือนไฟลามบนผืนหญ้าแห้ง“ฉ
หลังจากที่ผู้คนเริ่มสลายตัวจากความวุ่นวาย เสียงซุบซิบแผ่วเบาค่อย ๆ จางลงไปตามจังหวะของเวลาที่คลี่คลายแสงไฟในห้องโถงสลัวลง เหลือเพียงประกายจากโคมไฟระย้าซึ่งทอดแสงอุ่นนุ่ม เหนือพื้นที่ที่ยังอบอวลไปด้วยแรงสะเทือนจากเหตุการณ์เมื่อครู่นารายืนอยู่เงียบ ๆ คนเดียวตรงข้างเวที สายตาเธอมองไปยังกล่องเพชรที่วางอยู่บนโต๊ะ ราวกับยังคงจับต้องความจริงได้ไม่หมด เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วผ่อนออกเบา ๆเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง“คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นใกล้พอให้หัวใจสะดุ้งเบา ๆเธอหันกลับไป เห็นธีภพยืนอยู่ตรงนั้นในแสงสลัว ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แต่แววตายังมีเงาของความห่วงใยไม่ปิดบัง“ไม่ค่ะ…ฉันไม่เป็นไร” เธอตอบเรียบ ๆ พลางเบนสายตากลับไปยังเพชรตรงหน้า “แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ว่าหัวใจของฉันยังแข็งแรงพอจะจัดงานต่อไปได้หรือเปล่า”“หัวใจของคุณแข็งแกร่งกว่าที่คุณคิด” เขาตอบช้า ๆ “คุณยืนอยู่ตรงนี้ได้ทั้งที่ถูกหักหลัง ถูกใส่ร้าย ถูกประณาม…แต่คุณไม่เคยถอยแม้แต่ก้าวเดียว”นาราเงียบ ราวกับคำพูดนั้นกลั่นซึมเข้าสู่รอยร้าวบางอย่างในใจธีภพเดินเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง“ผมเฝ้ามองคุณมาตลอด…น
พราวฟ้าลูบต้นแขนตัวเองเบา ๆ เหมือนเพิ่งรู้สึกเย็นวูบวาบขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วเธอรู้ไหม ตอนที่ฉันรู้ว่าเพชรที่ฉันใส่ตอนเดินโชว์เป็นของปลอม ฉันแทบเป็นลม!” เธอทำตาโตประกอบคำพูดนาราหัวเราะเบา ๆ “โชคดีแล้วล่ะที่ไม่มีอะไรผิดพลาด ยังไงฉันก็ต้องขอโทษสำหรับเรื่องนี้ด้วยนะ ที่ทำให้แกต้องมาเดือดร้อนไปด้วย”"เดือดร้อนอะไรล่ะแก" พราวฟ้ายืดอกแล้วยิ้มอย่างมีชั้นเชิง "เรื่องนี้ทำให้ฉันได้แสงต่างหากล่ะ อยู่ดี ๆ ก็มีกระแสจากเรื่องเพชรปลอมที่ฉันเองก็ตกเป็นเหยื่อ แม้จะไม่โดยตรงเหมือนแกก็เถอะ แต่ก็ได้คะแนนความสงสารท่วมท้นเลยล่ะ""งั้นคุณฟ้าดาราชื่อดังต้องจ่ายค่าสร้างกระแสให้ฉันด้วยสินะ" นาราเอ่ยเย้าหยอกเพื่อนรักด้วยเสียงจริงจัง "สักยี่สิบเปอร์เซ็นของงานโฆษณาตัวหน้าคิดว่าไง"สองสาวพากันหัวเราะออกมาอย่างคนที่รู้ทันกันพราวฟ้าพยักหน้ารัวแล้วพูดถึงเรื่องในวันงานต่อ “แล้วยัยอรดานั่น...ตอนได้ยินที่เธอพูดบนเวที ฉันแทบลุกขึ้นไปปาส้นสูงใส่หน้าเลย เธอหน้าด้านมากนะ! แกล้งทำเป็นห่วงบริษัท ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเอาของปลอมมาเปลี่ยนให้ฉันใส่เอง!”เธอส่ายหน้าแล้วถอนหายใจยาว “สมน้ำหน้านางจริง ๆ ที่จบลงในคุก! คิดจะแทงข้างหลังเ
เวลาผ่านไปราวสองสัปดาห์หลังงานประมูล นาราเดินหน้าปรับโฉมโรงแรมในเครือวรเมธินทร์อย่างเต็มกำลัง การประชุมภายในบริษัทถูกจัดขึ้นในห้องประชุมใหญ่ ท่ามกลางทีมบริหารระดับสูงและฝ่ายพัฒนาโครงการ“โครงการที่จะพลิกโรงแรมของเราให้เป็นมากกว่าที่พัก คือสิ่งที่ฉันอยากเห็นจริง ๆ” นารากล่าวเปิดประชุมด้วยน้ำเสียงมั่นคงคีรณัฐก้าวขึ้นไปหน้าห้อง นำเสนอแนวคิดใหม่ผ่านสไลด์ที่เรียบหรู“เราขอเสนอการติดตั้งระบบผู้ช่วยอัจฉริยะภายในห้องพัก โดยเชื่อมโยงกับระบบ AI Concierge (ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการให้บริการลูกค้า หรือ ดูแลอำนวยความสะดวก) ที่สามารถควบคุมทุกอย่างในห้องผ่านเสียง ตั้งแต่อุณหภูมิ แสงไฟ เพลง ไปจนถึงแนะนำที่เที่ยวและบริการของโรงแรม”จากนั้น คีรณัฐคลิกภาพถัดไปที่เผยให้เห็นภาพจำลองของ AI Concierge เสมือนจริงในชื่อ “VARA” บนจอ“VARA หรือวารา ย่อจาก Virtual Assistant for Remarkable Arrival ที่หมายถึงผู้ช่วยเสมือนเพื่อการมาถึงอย่างน่าประทับใจ จะเป็นภาพเสมือนในห้องพักของแขกทุกคน เธอจะปรากฏตัวบนหน้าจอหลัก พร้อมเสียงพูดที่นุ่มนวล ช่วยต้อนรับและแนะนำบริการต่าง ๆ อย่างมีเสน่ห์ เป็นมิตร และมืออาชีพ
หลังจากที่เสียงประชุมเงียบลง และผู้ถือหุ้นทยอยกันออกจากห้อง นารากลับมานั่งที่โต๊ะทำงานส่วนตัวของเธอด้วยความเหนื่อยล้า ความตึงเครียดที่สะสมมาทั้งเช้าเริ่มคลายตัวลง เธอหยิบจดหมายเตือนฉบับนั้นขึ้มมาพินิจดูอย่างครุ่นคิดอีกครั้งไม่มีชื่อผู้ส่ง ไม่มีตราประทับบริษัท ไม่มีแม้แต่สัญลักษณ์ใด ๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายทางธุรกิจ ปลายนิ้วลูบผ่านผิวกระดาษที่หยาบเล็กน้อย ราวกับมันถูกจงใจเลือกให้ดูเรียบง่ายจนเกือบไร้พิรุธ“พี่ศิตาคะ เข้ามาหาฉันหน่อยค่ะ” นารากดออดเรียกพี่ศิตาเลขาคู่ใจเดินเข้ามาแทบจะทันที“คะ คุณนารา?”“จดหมายฉบับนี้…มากับแฟ้มเอกสารพวกนี้เหรอคะ?”พี่ศิตาขมวดคิ้วมอง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ค่ะ พี่เห็นมันสอดอยู่ในแฟ้มที่ฝ่ายบัญชีส่งขึ้นมา พี่ก็ไม่ทราบว่าเป็นจดหมายอะไร นึกว่าเป็นของคุณนาราเอง เลยนำมาวางไว้ให้ที่โต๊ะ”นาราพยักหน้าเบา ๆ แม้ใบหน้ายังเรียบนิ่ง แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยคำถาม ใครเป็นคนส่งจดหมายปริศนานี้มา?..................................ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด เสียงดนตรีจากด้านนอกยังคงดังแผ่ว ๆ เข้ามาเป็นจังหวะคงที่ ขับกล่อมบรรยากาศในห้องส่วนตัวของไนต์คลับหรูให้คลายความตึงเครียดล
เช้าวันใหม่ในบริษัทวรเมธินทร์กรุ๊ป เสียงรองเท้าส้นสูงเบา ๆ ดังแผ่วมาตามทางเดิน ก่อนที่ประตูห้องทำงานของประธานหญิงจะเปิดออก พร้อมกับเสียงสดใสที่คุ้นหู“ฉันเอาของกินมาฝากค่ะ ท่านประธานคนสวย!”พราวฟ้ายิ้มกว้างในชุดเดรสลำลองเรียบหรู ถือถุงขนมและของว่างแน่นมือ ทั้งเบเกอรีโฮมเมด ชานมไข่มุกจากร้านดัง และของว่างจากแบรนด์พรีเมียมที่หิ้วมาจากห้างหรูนาราเงยหน้าจากกองเอกสาร ยิ้มบาง ๆ อย่างเหนื่อยแต่ต้อนรับ “นี่ยังเช้าอยู่นะ แล้วนี่…ซื้อทั้งร้านมาเหรอ?”“เกือบทั้งร้านแหละ!” พราวฟ้าหัวเราะแล้ววางถุงขนมเรียงไว้เต็มโต๊ะรับแขก “ได้ยินมาว่าคีรณัฐทำงานอยู่กับเธอใช่มั้ย? ของกินเยอะแบบนี้…ฉันว่าแบ่งไปให้เขาด้วยดีกว่า”นารายิ้มมุมปาก “มาหาฉันหรือมาหาผู้ชายกันแน่?”พราวฟ้าชะงักไปนิด ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อน “หึ อย่าแซวสิ ก็แค่เพื่อนของเพื่อนจะเอาขนมไปฝากมันผิดตรงไหน”ทั้งสองหัวเราะกันเบา ๆ บรรยากาศผ่อนคลายลงจากความตึงเครียดของงานช่วงที่ผ่านมาทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น พี่ศิตาเข้ามาด้วยท่าทางสุภาพ“คุณนาราคะ มีบัตรเชิญจากงานเลี้ยงแวดวงนักธุรกิจที่กำลังจะจัดขึ้นอาทิตย์หน้าค่ะ แขกเชิญในงานเป็นระดับผู้นำบ
หลังพายุอารมณ์สงบลง ร่างสองร่างยังแนบชิดกันอย่างเหนื่อยหอบ ธีภพยังคงกอดเธอไว้แน่น ทั้งที่เขารู้ว่าเธอหมดแรงแล้ว แขนเขาประคองร่างเธอไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะสลายไปกับน้ำที่ยังไหลพร่าข้างตัว นาราซบหน้าลงกับไหล่เขา ลมหายใจยังสะท้อนอยู่บนอก ธีภพโน้มหน้าลง กดริมฝีปากเบา ๆ บนแก้มนวลของเธอ “คุณโอเคไหม…” เขาถามเสียงแผ่วพร่า แฝงความห่วงใยเต็มเปี่ยม ปลายนิ้วของเขาไล้ปอยผมเปียกที่แนบแก้มเธอออกอย่างแผ่วเบา สัมผัสของเขานุ่มนวลราวกับกำลังลูบดอกไม้ที่กลัวจะช้ำเพียงเพราะแรงนิ้ว นาราหลับตาอยู่ในอ้อมกอดเขา ลมหายใจยังไม่ทันเรียบสนิท “เหนื่อยนิดหน่อย…” เธอเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณ...กินดุเกินไป” ถ้อยคำเรียบง่ายนั้นกลับดังชัดในอกเขา ธีภพชะงักเล็กน้อย ดวงตาเขานิ่งนาน…ก่อนจะยิ้มบาง ๆ อย่างที่เขาไม่เคยยิ้มให้ใครแบบนั้นมาก่อน เขากระชับวงแขนแน่นขึ้น ประคองร่างบางในอ้อมอกให้ใกล้ขึ้นอีก แล้วเอ่ยเสียงอ่อน… “งั้นก็ปล่อยให้ผมดูแลคุณ…จนกว่าจะไม่รู้สึกเหนื่อยอีกต่อไปนะ” หลังเช็ดตัวให้เธออย่างเบามือจนหยดน้ำแทบไม่หลงเหลือบนผิว ธีภพหยิบชุดลำลองผ้าฝ้ายสีอ่อนมาวางบนตักเธอ แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า ราวกับไม
ในห้องน้ำ เสียงน้ำไหลไม่ดังนัก แต่พอจะกลบความเงียบที่เต็มไปด้วยความใกล้ชิดที่แทบไม่ต้องอธิบาย ธีภพยืนอยู่ข้างหลังเธอ มือหนึ่งประคองไหล่ อีกมือค่อย ๆ สระผมให้เธออย่างเบามือ ฟองสีขาวละมุนไหลผ่านลำคอและแผ่นหลังเปลือย นาราหลับตา ปล่อยให้เขาดูแลเธอโดยไม่ต่อต้าน เธอไม่เคยคิดว่าการให้ใครแตะร่างกายเธอ…จะทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ถึงเพียงนี้ นิ้วมือของเขานวดเบา ๆ ที่กลางศีรษะ ไล้จากโคนผมไปจนถึงท้ายทอยด้วยจังหวะมั่นคงสม่ำเสมอ และมันชวนให้เธอรู้สึกเหมือนทุกเศษความกลัว…กำลังถูกล้างออกไปช้า ๆ “ผมอยากทำสิ่งพวกนี้ให้คุณ…ทุกวัน” ธีภพยังคงยืนแนบชิดด้านหลัง มือหนึ่งสางผมเธอเบา ๆ ขณะที่อีกมือประคองไหล่เปลือยเปล่าไว้อย่างแนบแน่นแต่ไม่รุนแรง เขาโน้มหน้าลง…ริมฝีปากสัมผัสซอกคอเธอแผ่ว ๆ ก่อนจะกดจูบแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย เสียงหอบของเธอดังแผ่วเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนจัดที่เป่ารดบนผิวเนื้อ เขาไม่ได้เร่ง แต่เคลื่อนริมฝีปากไปช้า ๆ จูบไล้เล็ม และลูบไล้ ไล่ผ่านลาดไหล่ บ่าบาง…ลงมาที่แผ่นหลังขาวจนกระทั่งเธอเริ่มสะท้านไม่รู้ตัว ธีภพจับเธอให้หมุนตัวช้า ๆ หันกลับมาสบตาเขา แววตาเธอสะท้อนแสงในห้องน้ำระยิบระยับ
มือของธีภพเลื่อนไปตามเรียวแขนของเธอ ไล้ผ่านเนินไหล่ ลำคอ และแผ่นอกอย่างเนิบช้า ทุกสัมผัสของเขา…ร้อนจัดอย่างไม่อาจควบคุม แต่แฝงความอ่อนโยนราวกับกำลังหลอมละลายร่างกายเธอทีละส่วน ปลายนิ้วเขาไล้ผ่านเนินอกนุ่มด้วยจังหวะช้าและทรมานใจ นาราสะดุ้งเล็กน้อย หอบลมหายใจเฮือกแรก ไม่ใช่เพราะเจ็บ…แต่เพราะความซ่านซึมที่ไหลผ่านผิวกายแบบที่ไม่อาจควบคุมได้ “ธีภพ…” เธอเรียกชื่อเขาเสียงสั่นพร่า ริมฝีปากเผยอน้อย ๆ ราวกับจะยอมรับทุกสัมผัสที่เขากำลังจะมอบให้ เขาก้มลง จูบที่ปลายคางของเธอ…แล้วลากริมฝีปากผ่านลำคอขาวเนียน ไล่ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงยอดอกที่สั่นไหวเพียงปลายนิ้วแตะ เขาใช้ปลายลิ้นแตะสัมผัสเบา ๆ ที่นั่น ก่อนจะดูดกลืนมันด้วยจังหวะช้า ร้อน และชื้นละมุน นาราร้องครางแผ่ว ร่างกายเธอกระตุกเล็กน้อยพร้อมเสียงหอบหายใจที่เริ่มขาดช่วง มือของเธอจิกลงที่แผ่นหลังเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะเขาสลับใช้มืออีกข้างบีบเคล้นอกอีกข้างของเธอเบา ๆ สัมผัสนั้นไม่รุนแรง…แต่มากพอจะทำให้เธอเสียววาบจนแทบต้องกัดริมฝีปากตัวเองกลั้นเสียง “คุณกำลัง…” เธอพูดไม่จบ เพราะในจังหวะถัดมา มือของเขาเลื่อนลงไปยังต้นขาของเธอ ปลายนิ้วสัมผัส
“คุณธีภพ!” เธอร้องเสียงหลง ใบหน้าแดงจัด “วันนี้…” เขาก้มหน้าลง เอ่ยเสียงทุ้มกระซิบแนบหู “ยังไงผมก็ต้องได้รางวัลของผมอยู่ดี” น้ำเสียงของเขานุ่มละมุน ราวกับโอบคลุมเธอไว้ทั้งร่างกายและหัวใจ นาราทุบไหล่เขาเบา ๆ “นี่...ฉันยังทำงานไม่เสร็จ วางฉันลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!” “ช้าไปแล้วครับคุณนารา…” เขาหัวเราะเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นอ่อนโยน ละลายทุกความแข็งกร้าว เสียงหัวเราะของธีภพยังคงก้องเบา ๆ อยู่ข้างหูนารา ขณะที่เขาอุ้มเธอขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานในห้องทำงานส่วนตัว ภายในบ้านเงียบสงบ แสงไฟสีอุ่นถูกหรี่ลงเหลือเพียงพอให้มองเห็น นอกหน้าต่างเป็นเพียงท้องฟ้ายามค่ำที่มืดสนิท มีเพียงแสงดาวเร้นอยู่ไกล ๆ ราวกับเฝ้ามองโลกอย่างเงียบงัน เขาก้มลงกระซิบใกล้หูเธอ เสียงนุ่มทุ้มฟังคล้ายรอยยิ้ม “พอแล้วครับ เลิกทำงานได้แล้ว…คืนนี้คุณควรพักผ่อน” นาราทำท่าจะค้าน แต่ก่อนที่คำพูดจะหลุดออกจากริมฝีปาก ร่างของเธอก็ถูกอุ้มขึ้นในอ้อมแขนอย่างไม่ทันตั้งตัว “คุณมันเอาเปรียบ…” เธอบ่นเบา ๆ พลางตีไหล่เขาอย่างเขิน ๆ “ผมก็แค่รับรางวัล...ในฐานะคนที่ทุ่มเทที่สุดในรอบปี” เขาตอบเรียบ ๆ แต่ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ เข
ภานุวัฒน์ฟังเงียบ ๆ ดวงตาคมหลุบต่ำซ่อนแววบางอย่างที่ไม่มีใครทันสังเกต เขายิ้มบาง ๆ ...ในใจกลับเยือกเย็นกว่าครั้งไหน เขาวางแก้วลงบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า “แต่ถ้านายอยากได้ผลประโยชน์มากกว่านั้น โดยไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องให้ใครฟ้องร้อง…มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี” “หมายความว่าไง?” ปกรณ์เลิกคิ้ว “มีช่องทางอื่น…ที่สะอาดกว่า ฉลาดกว่า และเติบโตได้เร็วกว่า” ปกรณ์ยังคงลังเล แววตายังเฝ้าจับผิดเล็ก ๆ “อะไรของนายอีกวัฒน์…จะให้ฉันเล่นหุ้นเถื่อนหรือไง?” ภานุวัฒน์หัวเราะนุ่ม ๆ “ไม่ใช่ของเถื่อน…แต่มันคือการมองให้ออกว่า ‘ใคร’ กำลังใช้ระบบให้เป็นประโยชน์ ดูอย่างซาเลียนสิ อยู่ ๆ ก็เข้าตลาดมาได้…ภายในเวลาแค่ปีเดียว จนใคร ๆ ก็ต้องหันมามอง” เขาเอนหลังอย่างคนที่ไม่เร่งเร้า แต่ปล่อยให้คำพูดไหลซึมเข้าสู่ความคิดของอีกฝ่าย “นายไม่อยากรู้เหรอว่า…พวกเขาทำยังไง?” ปกรณ์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉายประกายความสนใจ “แล้วถ้าฉันสนใจล่ะ?” ภานุวัฒน์ยิ้มมุมปาก “ถ้านายสนใจ…นายก็ต้องเชื่อใจฉันก่อน” ................. เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ในบ้านที่ถูกล้อมด้วยบรรยากาศ
ไนท์คลับหรู ใจกลางเมือง ห้อง VIP เสียงเบสดังกระหึ่มลอดผ่านผนังผ้ากำมะหยี่ แสงไฟสีม่วงอมฟ้าสาดส่องเป็นจังหวะ ทำให้ห้องที่เงียบสงบดูเหมือนถูกล้อมด้วยจังหวะชีพจรของเมืองทั้งเมือง ปกรณ์นั่งตัวตรงอยู่บนโซฟาหนังสีเข้ม มือกุมแก้วเหล้าไว้แน่น สีหน้าดูไม่ต่างจากตอนอยู่ในอาคารสูง เพียงแต่ตอนนี้ แววตาของเขาฉายความล้าแบบที่เขาไม่เคยยอมให้ใครเห็นมาก่อน ภานุวัฒน์เอนตัวพิงพนักอย่างสบาย ดวงตาคมทอดมองอีกฝ่ายราวกับเพื่อนที่ห่วงใย “มีอะไรก็บอกมาเถอะปกรณ์ ฉันไม่เคยเห็นนายเป็นคนอื่น” ปกรณ์ไม่พูดในทันที เขาเพียงแค่ยกแก้วขึ้นจิบ แล้วปล่อยให้แอลกอฮอล์ลื่นไหลลงคอราวกับหวังให้มันพาเรื่องหนักออกไปจากใจ “วรเมธินทร์...” เขาเอ่ยช้า ๆ เสียงแผ่วลง “ฉันกำลังมีปัญหาใหญ่กับพวกเขา” “นารา วรเมธินทร์?” ภานุวัฒน์เลิกคิ้ว “คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่เสือของวงการธุรกิจ?” “ใช่…เธอมีหลักฐานในมือ แฟ้มการเงินที่ไม่ควรหลุดออกไปจากโต๊ะของฉัน” ปกรณ์พูดราวกับกลืนก้อนหิน “และที่แย่กว่านั้น…ศักดิ์ดา หายตัวไป” “หายตัว?” น้ำเสียงของภานุวัฒน์เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ติดต่อไม่ได้เลย ไม่ว่าจะช่องทางไหน ราวกับหายเข้ากลีบเมฆ…ฉันไม่รู้ว่าเข
ธีภพยืนสงบนิ่งกลางแสงไฟสีหม่น แสงสลัวสะท้อนใบหน้าคมที่สงบเกินจะคาดเดาได้ แต่ในดวงตายังคงเรืองประกายบางอย่างที่บอกชัดว่า เกมนี้ยังไม่จบ เขาหันไปมองภานุวัฒน์กับคีรณัฐ เพียงการสบตา...ทุกอย่างก็ถูกส่งต่อโดยไม่ต้องใช้คำ “เตรียมพร้อมขั้นต่อไป” “ถึงเวลาจัดการกับปกรณ์” เสียงของเขาเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ใครบางคนล้มทั้งยืน ไม่มีคำถาม ไม่มีการทบทวน เพราะทุกคนรู้ดี ว่าเมื่อธีภพเอ่ยคำว่า 'จัดการ' สิ่งที่ตามมา ไม่เคยมีคำว่าลังเลอยู่ในนั้น เมื่อภารกิจถูกส่งผ่าน ธีภพคลายเนกไท ถอดสูทพาดไว้กับแขน ปลายนิ้วกดแอปฯ ร้านอาหารในมือถือ ก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วก้าวออกไปอย่างเงียบงัน ... เสียงแตรเบา ๆ ดังขึ้นหน้าประตูบ้านวรเมธินทร์ ลุงอำนวยที่กำลังเช็ดทำความสะอาดรูปปั้นหินเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยิ้มกว้างทันทีที่เห็นร่างชายหนุ่มในตัวรถ “คุณธีภพ กลับมาแล้วเหรอครับ” “ครับ” ธีภพยิ้มบาง ยื่นถุงของสดและอาหารในมือให้ “มีปลานึ่งแบบที่เธอชอบ ฝากช่วยเตรียมจานกับหม้อซุปหน่อยนะครับ” "ส่วนถุงนี้ ของลุงครับ" ลุงอำนวยเอ่ยขอบคุณแล้วรับถุงอย่างคล่องแคล่ว พร้อมพยักหน้า พลางพูดด้วยแววตาที่อบอุ่นกว
ศักดิ์ดาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยความยากลำบาก แสงไฟเหนือหัวส่องลงบนใบหน้าคมเข้มของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ในตอนแรกเขาคิดว่าแสงนั้นหลอกตา แต่เมื่อสายตาเริ่มปรับชัด...หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้น ธีภพ... คนที่เขาได้ยินข่าวว่าล้มป่วยหนัก คนที่เขารู้มาแน่นอนว่า เดินทางไปรักษาตัวต่างประเทศ คนที่โลกธุรกิจทั้งวงการพากันเข้าใจว่า ถอนตัวจากทุกตำแหน่งเพราะสุขภาพไม่เอื้ออำนวย …แต่ตอนนี้เขากลับยืนอยู่ตรงหน้า ในสภาพที่เต็มไปด้วยพลัง อำนาจ และสายตาเฉียบขาดจนศักดิ์ดารู้สึกหนาวสั่นตั้งแต่ต้นคอจรดปลายสันหลัง “ค…คุณ…” เสียงของศักดิ์ดาขาดเป็นช่วง ๆ อย่างไม่เชื่อสายตา “ไม่ใช่ว่า...คุณ...ป่วย…” ธีภพไม่ตอบในทันที เขาแค่เดินเข้ามาใกล้…ช้า ๆ ชั่วขณะที่เสียงฝีเท้าแตะกับพื้นซีเมนต์ ทุกเสียงรอบตัวเหมือนหายไปจากโกดังนั้น เขาหยุดยืนตรงหน้าศักดิ์ดา โน้มตัวลงเล็กน้อย สายตาคู่นั้น เย็นจนไม่มีไออุ่นหลงเหลือ “ข่าวลือมันมักจะเชื่อง่ายกว่าความจริงเสมอ โดยเฉพาะกับคนที่อยากให้ฉันหายไป” เขากล่าวเรียบ ๆ แต่น้ำเสียงกลับเหมือนกรีดลึกลงกลางอกของคนฟัง “และมันก็ง่าย…ที่แกกับปกรณ์จะหลงคิดว่า นาราไม
ธีภพก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบใกล้ใบหูเธอ น้ำเสียงเขาต่ำทุ้ม และอ่อนหวานในแบบที่เธอไม่คุ้นชิน “สงสัยเรื่องคืนนั้นมันผ่านไปนานจนคุณจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะรื้อฟื้นความทรงจำให้กับคุณนะ” นาราหลบสายตา ใจเต้นแรงผิดจังหวะ แต่ยังเอ่ยเสียงแผ่ว “นี่...คุณ" "ฉัน...ยังบาดเจ็บอยู่นะ” ธีภพยิ้มมุมปาก แตะปลายนิ้วที่แก้มเธอเบา ๆ “งั้นผมจะอ่อนโยนกับคุณให้มากที่สุด” เขาไม่ได้รอคำตอบ เพียงแค่ก้มตัวลง ประคองเธอขึ้นในอ้อมแขนอย่างมั่นคง นารานิ่งไป นาทีนี้เธออายจนพูดอะไรไม่ออก สัมผัสของเขาช่างอบอุ่น…และปลอดภัย ราวกับไม่มีอะไรในโลกจะเข้าถึงเธอได้หากมีเขาอยู่ตรงนี้ เธอซุกใบหน้าลงบนไหล่เขาอย่างแผ่วเบา หัวใจเต้นช้าแต่มั่นคง ในอ้อมกอดของผู้ชายที่เธอเคยผลักไส แต่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไปว่า…เขาคือที่พักสุดท้ายของใจเธอจริง ๆ เมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก ธีภพก้าวเข้าไปอย่างเงียบงัน พร้อมกับร่างของนาราที่อยู่ในอ้อมแขน ทุกย่างก้าวของเขานุ่มนวล ราวกับกลัวจะรบกวนลมหายใจของเธอ เขาเดินตรงไปยังเตียงกว้างกลางห้อง ก่อนจะค่อย ๆ โน้มตัวลง วางเธอลงบนผืนผ้านุ่มอย่างแผ่วเบา นารากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่