เย่ซิววิ่งพุ่งเข้าไปหาศิษย์คนสุดท้ายเขาต่อยออกไปหมัดหนึ่ง แต่ในวินาทีนั้นเอง แววตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปทันทีเหมือนจากคนธรรมดากลายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ในพริบตาอีกฝ่ายใช้ฝีเท้าอันแปลกประหลาดก้าวไปบนเวทีและทิ้งเงาร่างไว้เป็นสาย พลางหลบหลีกการโจมตีของเย่ซิวไปได้อย่างหวุดหวิดปัง! ปัง! ปัง!เสียงของผู้เข้าแข่งขันอีกแปดคนที่ร่วงจากเวทีเพิ่งจะดังขึ้นในตอนนั้นตูม!เสียงที่เหมือนมีฟ้าผ่าลั่นกลางลานประลองทำเอาทุกคนในสนามรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสถึงกับตกตะลึงเดิมทีต่างก็คิดว่าเย่ซิวแค่ทำตัวเด่นและเรียกร้องความสนใจทว่าเมื่อเขาเผยพลังเพียงเล็กน้อยออกมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่แท้เขาไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง แต่เป็นเพราะเขามีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างแท้จริงต่างหากทันใดนั้นเอง สายตาของผู้คนที่มองเขาก็เปลี่ยนไปชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ“โห ศิษย์พี่เย่ซิวเก่งมากเลย” “แถมในอนาคตยังจะได้เป็นนักปรุงยาอีก หน้าตาก็หล่อเหลาสุด ๆ” “เขาคือคู่ชีวิตในฝันของฉันเลย” “เขาแต่งงานแล้วหรือยังนะ?” “อยากแต่งงานกับเขาจังเลย”……แววตาของหนานกงอู๋ซวงวาววับขึ้นมาส่วนเฉินเยียนจือที่นั่งข้
“อาคมธาตุลมที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ คนทั่วไปไม่มีทางใช้ได้แน่นอน หรือว่าเขาจะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์หายาก!”“ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นคนที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์กับตา!”“รากวิญญาณแบบนี้มีศักยภาพสูงมาก อาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสทะลวงถึงระดับมหายานในอนาคตเลยนะ”“เย่ซิวคงถึงคราวลำบากแล้ว ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่น่าจะสู้กับคนที่มีรากวิญญาณธาตุลมได้หรอก”……สายตาของหนานกงอู๋ซวงลุกวาวขึ้นมาทันทีเขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายอยู่บนเวทีอย่างไม่กะพริบตา “ในที่สุดก็เจอคนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสู้ด้วยสักที”เย่ซิวยิ้มมุมปาก “ที่โอหังแบบนี้ก็เพราะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์สินะ”ท่ามกลางอาคมลมอันรุนแรงที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา เย่ซิวก็กำหมัดขวาแน่น พลังโลหิตในร่างพลุ่งพล่านแล้วชกออกไปหมัดหนึ่งทันทีที่หมัดถูกปล่อยออกไปก็เหมือนกับมีเสียงกลองยักษ์ดังสนั่นขึ้นมาจนทำให้หลายคนลมหายใจติดขัด สีหน้าตกใจสุดขีดจากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าลมทั้งหมดที่อยู่บนเวทีถูกหมัดนั้นกวาดหายไปหมดเด็กหนุ่มคนนั้นถูกแรงปะทะของหมัดที่ทรงพลังจนถอยกรูดไปไกลเป็นร้อยเมตรใบหน้าเขาขาวสลับแดง หัวใจรู้สึกตื่นตระ
สีหน้าของเจ้าสำนักเริ่มบึ้งตึงเล็กน้อยความรู้สึกที่มีต่อเย่ซิวแย่ลงทันตาจนถึงขั้นรู้สึกขยะแขยงเรื่องที่ทุกคนในที่นี้ก็ดูออกกันหมด ไม่รู้ว่าเขาแกล้งโง่หรือไม่รู้จริง ๆคนที่มีไหวพริบหน่อยก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆแต่เย่ซิวกลับพูดออกมาตรง ๆ ต่อหน้าทุกคน ไม่มีการไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยแถมยังจะเหมารางวัลสิบอันดับแรกไปคนเดียว มันช่างโลภเสียจริงแต่เขาก็ไม่คิดย้อนดูตัวเองบ้างว่าเป็นคนตอบตกลงไปก่อนเอง แล้วตอนนี้จะมาขอเปลี่ยนใจได้ยังไงเฉินเยียนจือลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าเย่ซิวแล้วตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย “นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว นายพูดกับเจ้าสำนักแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีสัมมาคารวะเลยสักนิด รีบคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!”เย่ซิวไม่หันไปมองเฉินเยียนจือเลยแม้แต่น้อยเขาได้ยินคำพูดที่ผู้หญิงคนนี้พูดก่อนหน้านี้ชัดเจนทุกคำ ได้ยินทั้งคำพูดหยาบคายและดูถูกเขาแบบไม่ตกหล่นสักคำเย่ซิวเกาหูเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า “แปลกแฮะ ทำไมได้ยินเสียงหมาเห่าล่ะ?”“นาย!!!” เฉินเยียนจือหน้าแดงก่ำ พลางจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ “ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะ
เพียงแต่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ได้“เอาล่ะ การประลองครั้งนี้ถือว่าจบลงตรงนี้ เหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกหนึ่งถึงสองวันจะมีประกาศว่าพวกนายจะได้เป็นศิษย์ของท่านอาวุโสท่านใด”“เดี๋ยวก่อนครับ”จู่ ๆ เย่ซิวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งเจ้าสำนักเริ่มหมดความอดทนแล้ว ก่อนจะมองเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นายยังมีอะไรอีก”เขาเริ่มหมดความอดทนกับเจ้าหมอนี่ที่ทำให้เขาเสียหน้า แถมยังทำให้เขาเสียหายหลายอย่างด้วยเย่ซิวทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าที่เย็นยะเยือกน่ากลัวของอีกฝ่าย ยังคงยิ้มแล้วหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า“พวกคุณอาจจะลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือผมเป็นนักปรุงยา”เฉินเยียนจือที่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเย่ซิวยังไงก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลยทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแย้งขึ้นมา “นายเพิ่งจะได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสรั่วอวิ๋นเอง ยังไม่ทันได้เป็นนักปรุงยาฝึกหัดด้วยซ้ำ กล้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”เย่ซิวมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อายุแค่นี้ทำไมพูดมากนักล่ะ พ่อแม่ไม่สอนเรื่องมารยาทรึไง? ไร้การอบรมเสียจริง!”เจ้าสำนักที่อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าบึ้งอย่างเห็นได้ชัดเขาอยากจะตบเจ้าเด
เสาไอพลังโอสถพุ่งขึ้นฟ้าด้วยแรงมหาศาลราวกับค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็นทุบกระแทกลงกลางใจของทุกคนอย่างแรงรั่วอวิ๋นแทบล้มทั้งยืน ปากสวย ๆ ของเธออ้าค้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้หลายฟองเธอมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีเย่ซิวโบกมือเบา ๆ จากนั้นโอสถจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากเตากลั่นและพุ่งขึ้นไปลอยเหนือศีรษะของเขาดูแล้วมีไม่ต่ำกว่าหมื่นเม็ดโอสถจำนวนมากขนาดนั้นรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆโอสถที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวไม่ต้องพูดถึงบรรดาศิษย์ แต่ละคนถึงกับอ้าปากค้างไปแล้วแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้มาก่อนทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวโบกมืออีกครั้งโอสถกว่าหมื่นเม็ดแยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ลอยกระจายไปตรงหน้าของทุกคนในสนามจากนั้นก็ได้ยินเสียงเย่ซิวพูดว่า “ในเมื่อผมมาอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันโอสถพวกนี้ก็ถือเป็นของขวัญแนะนำตัวจากผมก็แล้วกันผมเป็นคนคุยง่ายนะ ถ้าคุณให้เกียรติผม ผมก็จะให้เกียรติคุณแต่ถ้าคิดจะเล่นสกปรกกับผม ผมก็จะขยี้ให้แหลกไม่เหลือเหมือนกัน”เด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งมองเย่ซิวอย่างไม่แน่ใจ “ศิษย์พี่เย่พู
เย่ซิวอายุแค่นี้เองนะ!แต่กลับสามารถกลั่นโอสถระดับสุดยอดออกมาได้ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อย แบบนี้ไม่บินขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเจ้าสำนักกับภรรยาหันไปมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเห็นความจริงจังและความตกตะลึงในแววตาของกันและกันดูเหมือนต้องประเมินเย่ซิวใหม่เสียแล้วจางเสี่ยวอวี๋ถึงกับหยิกเนื้อแขนตัวเองแรง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่ดี“ไม่จริงน่า เขาจะกลั่นสุดยอดโอสถได้ยังไง…ถึงว่าทำไมวันนั้นฉันไปหาเขา เขาถึงได้ทำตัวเย็นชาใส่ ที่แท้ในสายตาเขาฉันก็เป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่ง”ในขณะที่คนทั้งสนามกำลังตะลึงอยู่ สีหน้าของหนานกงอู๋ซวงกับเฉินเยียนจือก็เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ทุกคนได้รับโอสถกันหมด มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่มีมันชัดเจนมากว่าเย่ซิวตั้งใจเมินพวกเขาเฉินเยียนจือโกรธจนตัวสั่น ก่อนชี้หน้าเย่ซิวพลางตะโกน “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมทุกคนมีกันหมด แต่ฉันกับพี่อู๋ซวงไม่มี!”เย่ซิวไหล่ตกก่อนจะทำหน้าไร้เดียงสา “อ๋อ พวกคุณก็อยู่ด้วยเหรอ ขอโทษที พอดีโอสถหมดพอดีเลยเอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกคุณทั้งคู่มาหาผมสิ เดี๋ยวผมจะกลั่นให้ส่วนตัวเลย”เฉินเยียนจือไม่พูดอะไรอีก แต่จ้องเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบส
เย่ซิวรู้สึกหมดคำจะพูดทำไมทุกทีที่เขากำลังจะเข้าสู่จุดสำคัญ ผู้หญิงคนนี้ต้องโผล่มาขัดจังหวะตลอดเลยนะเขาไม่อยากเสียเวลาเถียงจึงเลือกกลืนเม็ดยาลงไปตรง ๆจากนั้นก็เริ่มเดินกำลังเดินกำลังภายในเพื่อกลั่นพลังโอสถพลังโอสถอันหนักแน่นและทรงพลังแผ่กระจายออกมาภายในร่างเขาราวกับภูเขาไฟขนาดยักษ์ระเบิดออกในพริบตาสำหรับเย่ซิว ระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรากฐานพลังของเขาลึกเกินไปจนต้องใช้โอสถไปถึงห้าเม็ดถึงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตได้สำเร็จพลังวิญญาณในร่างกลายเป็นของเหลวหนืดเหนียวสุดขีด วิญญาณก่อกำเนิดก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่าทั้งพลังบำเพ็ญและความสามารถในการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นพร้อมกันสิบเท่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายอยู่ทั้งภายนอกและภายใน เย่ซิวก็รู้สึกว่าดวงตาตัวเองสว่างวาบต่อให้ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักอีกครั้ง แม้จะยังไม่ใช่คู่มือที่แท้จริง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีทางสู้เหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างน้อยถ้าคิดจะหนีก็หนีรอดแน่นอนการทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตยังส่งผลเสริมพละกำลังร่างกายของเย่ซิวอีกด้ว
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ
เย่ซิวรู้สึกหมดคำจะพูดทำไมทุกทีที่เขากำลังจะเข้าสู่จุดสำคัญ ผู้หญิงคนนี้ต้องโผล่มาขัดจังหวะตลอดเลยนะเขาไม่อยากเสียเวลาเถียงจึงเลือกกลืนเม็ดยาลงไปตรง ๆจากนั้นก็เริ่มเดินกำลังเดินกำลังภายในเพื่อกลั่นพลังโอสถพลังโอสถอันหนักแน่นและทรงพลังแผ่กระจายออกมาภายในร่างเขาราวกับภูเขาไฟขนาดยักษ์ระเบิดออกในพริบตาสำหรับเย่ซิว ระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรากฐานพลังของเขาลึกเกินไปจนต้องใช้โอสถไปถึงห้าเม็ดถึงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตได้สำเร็จพลังวิญญาณในร่างกลายเป็นของเหลวหนืดเหนียวสุดขีด วิญญาณก่อกำเนิดก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่าทั้งพลังบำเพ็ญและความสามารถในการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นพร้อมกันสิบเท่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายอยู่ทั้งภายนอกและภายใน เย่ซิวก็รู้สึกว่าดวงตาตัวเองสว่างวาบต่อให้ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักอีกครั้ง แม้จะยังไม่ใช่คู่มือที่แท้จริง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีทางสู้เหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างน้อยถ้าคิดจะหนีก็หนีรอดแน่นอนการทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตยังส่งผลเสริมพละกำลังร่างกายของเย่ซิวอีกด้ว
เย่ซิวอายุแค่นี้เองนะ!แต่กลับสามารถกลั่นโอสถระดับสุดยอดออกมาได้ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อย แบบนี้ไม่บินขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเจ้าสำนักกับภรรยาหันไปมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเห็นความจริงจังและความตกตะลึงในแววตาของกันและกันดูเหมือนต้องประเมินเย่ซิวใหม่เสียแล้วจางเสี่ยวอวี๋ถึงกับหยิกเนื้อแขนตัวเองแรง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่ดี“ไม่จริงน่า เขาจะกลั่นสุดยอดโอสถได้ยังไง…ถึงว่าทำไมวันนั้นฉันไปหาเขา เขาถึงได้ทำตัวเย็นชาใส่ ที่แท้ในสายตาเขาฉันก็เป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่ง”ในขณะที่คนทั้งสนามกำลังตะลึงอยู่ สีหน้าของหนานกงอู๋ซวงกับเฉินเยียนจือก็เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ทุกคนได้รับโอสถกันหมด มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่มีมันชัดเจนมากว่าเย่ซิวตั้งใจเมินพวกเขาเฉินเยียนจือโกรธจนตัวสั่น ก่อนชี้หน้าเย่ซิวพลางตะโกน “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมทุกคนมีกันหมด แต่ฉันกับพี่อู๋ซวงไม่มี!”เย่ซิวไหล่ตกก่อนจะทำหน้าไร้เดียงสา “อ๋อ พวกคุณก็อยู่ด้วยเหรอ ขอโทษที พอดีโอสถหมดพอดีเลยเอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกคุณทั้งคู่มาหาผมสิ เดี๋ยวผมจะกลั่นให้ส่วนตัวเลย”เฉินเยียนจือไม่พูดอะไรอีก แต่จ้องเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบส
เสาไอพลังโอสถพุ่งขึ้นฟ้าด้วยแรงมหาศาลราวกับค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็นทุบกระแทกลงกลางใจของทุกคนอย่างแรงรั่วอวิ๋นแทบล้มทั้งยืน ปากสวย ๆ ของเธออ้าค้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้หลายฟองเธอมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีเย่ซิวโบกมือเบา ๆ จากนั้นโอสถจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากเตากลั่นและพุ่งขึ้นไปลอยเหนือศีรษะของเขาดูแล้วมีไม่ต่ำกว่าหมื่นเม็ดโอสถจำนวนมากขนาดนั้นรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆโอสถที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวไม่ต้องพูดถึงบรรดาศิษย์ แต่ละคนถึงกับอ้าปากค้างไปแล้วแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้มาก่อนทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวโบกมืออีกครั้งโอสถกว่าหมื่นเม็ดแยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ลอยกระจายไปตรงหน้าของทุกคนในสนามจากนั้นก็ได้ยินเสียงเย่ซิวพูดว่า “ในเมื่อผมมาอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันโอสถพวกนี้ก็ถือเป็นของขวัญแนะนำตัวจากผมก็แล้วกันผมเป็นคนคุยง่ายนะ ถ้าคุณให้เกียรติผม ผมก็จะให้เกียรติคุณแต่ถ้าคิดจะเล่นสกปรกกับผม ผมก็จะขยี้ให้แหลกไม่เหลือเหมือนกัน”เด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งมองเย่ซิวอย่างไม่แน่ใจ “ศิษย์พี่เย่พู
เพียงแต่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ได้“เอาล่ะ การประลองครั้งนี้ถือว่าจบลงตรงนี้ เหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกหนึ่งถึงสองวันจะมีประกาศว่าพวกนายจะได้เป็นศิษย์ของท่านอาวุโสท่านใด”“เดี๋ยวก่อนครับ”จู่ ๆ เย่ซิวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งเจ้าสำนักเริ่มหมดความอดทนแล้ว ก่อนจะมองเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นายยังมีอะไรอีก”เขาเริ่มหมดความอดทนกับเจ้าหมอนี่ที่ทำให้เขาเสียหน้า แถมยังทำให้เขาเสียหายหลายอย่างด้วยเย่ซิวทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าที่เย็นยะเยือกน่ากลัวของอีกฝ่าย ยังคงยิ้มแล้วหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า“พวกคุณอาจจะลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือผมเป็นนักปรุงยา”เฉินเยียนจือที่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเย่ซิวยังไงก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลยทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแย้งขึ้นมา “นายเพิ่งจะได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสรั่วอวิ๋นเอง ยังไม่ทันได้เป็นนักปรุงยาฝึกหัดด้วยซ้ำ กล้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”เย่ซิวมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อายุแค่นี้ทำไมพูดมากนักล่ะ พ่อแม่ไม่สอนเรื่องมารยาทรึไง? ไร้การอบรมเสียจริง!”เจ้าสำนักที่อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าบึ้งอย่างเห็นได้ชัดเขาอยากจะตบเจ้าเด
สีหน้าของเจ้าสำนักเริ่มบึ้งตึงเล็กน้อยความรู้สึกที่มีต่อเย่ซิวแย่ลงทันตาจนถึงขั้นรู้สึกขยะแขยงเรื่องที่ทุกคนในที่นี้ก็ดูออกกันหมด ไม่รู้ว่าเขาแกล้งโง่หรือไม่รู้จริง ๆคนที่มีไหวพริบหน่อยก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆแต่เย่ซิวกลับพูดออกมาตรง ๆ ต่อหน้าทุกคน ไม่มีการไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยแถมยังจะเหมารางวัลสิบอันดับแรกไปคนเดียว มันช่างโลภเสียจริงแต่เขาก็ไม่คิดย้อนดูตัวเองบ้างว่าเป็นคนตอบตกลงไปก่อนเอง แล้วตอนนี้จะมาขอเปลี่ยนใจได้ยังไงเฉินเยียนจือลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าเย่ซิวแล้วตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย “นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว นายพูดกับเจ้าสำนักแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีสัมมาคารวะเลยสักนิด รีบคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!”เย่ซิวไม่หันไปมองเฉินเยียนจือเลยแม้แต่น้อยเขาได้ยินคำพูดที่ผู้หญิงคนนี้พูดก่อนหน้านี้ชัดเจนทุกคำ ได้ยินทั้งคำพูดหยาบคายและดูถูกเขาแบบไม่ตกหล่นสักคำเย่ซิวเกาหูเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า “แปลกแฮะ ทำไมได้ยินเสียงหมาเห่าล่ะ?”“นาย!!!” เฉินเยียนจือหน้าแดงก่ำ พลางจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ “ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะ
“อาคมธาตุลมที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ คนทั่วไปไม่มีทางใช้ได้แน่นอน หรือว่าเขาจะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์หายาก!”“ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นคนที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์กับตา!”“รากวิญญาณแบบนี้มีศักยภาพสูงมาก อาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสทะลวงถึงระดับมหายานในอนาคตเลยนะ”“เย่ซิวคงถึงคราวลำบากแล้ว ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่น่าจะสู้กับคนที่มีรากวิญญาณธาตุลมได้หรอก”……สายตาของหนานกงอู๋ซวงลุกวาวขึ้นมาทันทีเขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายอยู่บนเวทีอย่างไม่กะพริบตา “ในที่สุดก็เจอคนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสู้ด้วยสักที”เย่ซิวยิ้มมุมปาก “ที่โอหังแบบนี้ก็เพราะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์สินะ”ท่ามกลางอาคมลมอันรุนแรงที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา เย่ซิวก็กำหมัดขวาแน่น พลังโลหิตในร่างพลุ่งพล่านแล้วชกออกไปหมัดหนึ่งทันทีที่หมัดถูกปล่อยออกไปก็เหมือนกับมีเสียงกลองยักษ์ดังสนั่นขึ้นมาจนทำให้หลายคนลมหายใจติดขัด สีหน้าตกใจสุดขีดจากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าลมทั้งหมดที่อยู่บนเวทีถูกหมัดนั้นกวาดหายไปหมดเด็กหนุ่มคนนั้นถูกแรงปะทะของหมัดที่ทรงพลังจนถอยกรูดไปไกลเป็นร้อยเมตรใบหน้าเขาขาวสลับแดง หัวใจรู้สึกตื่นตระ
เย่ซิววิ่งพุ่งเข้าไปหาศิษย์คนสุดท้ายเขาต่อยออกไปหมัดหนึ่ง แต่ในวินาทีนั้นเอง แววตาของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปทันทีเหมือนจากคนธรรมดากลายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ในพริบตาอีกฝ่ายใช้ฝีเท้าอันแปลกประหลาดก้าวไปบนเวทีและทิ้งเงาร่างไว้เป็นสาย พลางหลบหลีกการโจมตีของเย่ซิวไปได้อย่างหวุดหวิดปัง! ปัง! ปัง!เสียงของผู้เข้าแข่งขันอีกแปดคนที่ร่วงจากเวทีเพิ่งจะดังขึ้นในตอนนั้นตูม!เสียงที่เหมือนมีฟ้าผ่าลั่นกลางลานประลองทำเอาทุกคนในสนามรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสถึงกับตกตะลึงเดิมทีต่างก็คิดว่าเย่ซิวแค่ทำตัวเด่นและเรียกร้องความสนใจทว่าเมื่อเขาเผยพลังเพียงเล็กน้อยออกมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าที่แท้เขาไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง แต่เป็นเพราะเขามีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างแท้จริงต่างหากทันใดนั้นเอง สายตาของผู้คนที่มองเขาก็เปลี่ยนไปชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ“โห ศิษย์พี่เย่ซิวเก่งมากเลย” “แถมในอนาคตยังจะได้เป็นนักปรุงยาอีก หน้าตาก็หล่อเหลาสุด ๆ” “เขาคือคู่ชีวิตในฝันของฉันเลย” “เขาแต่งงานแล้วหรือยังนะ?” “อยากแต่งงานกับเขาจังเลย”……แววตาของหนานกงอู๋ซวงวาววับขึ้นมาส่วนเฉินเยียนจือที่นั่งข้
และผู้อาวุโสสองคนนั้นก็นั่งหลับตาพริ้มราวกับไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อยดูจากท่าทีแล้วน่าจะเป็นคนจากฝ่ายอนุรักษนิยมทุกครั้งที่มีการประลองระหว่างศิษย์ใหม่แบบนี้ สิบอันดับแรกมักจะถูกดึงตัวไปอยู่สายเซียนกระบี่ทุกครั้งพอนานเข้าฝ่ายอนุรักษ์ก็เลยเริ่มจะปลง ๆแต่ละปีจึงส่งแค่ผู้อาวุโสสองคนมาร่วมงานเท่านั้นส่วนที่เหลือจะไปปิดด่านบำเพ็ญตนหรือไม่ก็ออกเดินทางโดยหวังจะไปเจอศิษย์ฝีมือดีสักคนแค่นี้ก็พอมองออกแล้วว่าฝ่ายอนุรักษ์กำลังอยู่ในจุดลำบากแค่ไหนเย่ซิวพลันมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาเพียงแต่ความคิดนี้ยังไม่สมบูรณ์เขาเดินกลับมาที่ด้านหลังรั่วอวิ๋นรั่วอวิ๋นหันไปมองเขาตาขวาง “เจ้าเด็กนี่ ชอบหาเรื่องให้ปวดหัวจริง ๆ”เย่ซิวยิ้ม ๆ ไม่ได้เถียงอะไรกับเธอท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้รั่วอวิ๋นโมโหเข้าไปใหญ่เหมือนเธอเป็นคนงี่เง่าอยู่ฝ่ายเดียวยังไงยังงั้นการแข่งขันยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆยิ่งเวลาผ่านไป ศิษย์ใหม่หลายคนก็เริ่มเผยความสามารถจนดึงดูดความสนใจจากเหล่าผู้อาวุโสได้ไม่น้อยจากนั้นก็เริ่มผ่านการคัดออกทีละรอบ ๆ จากกว่าห้าร้อยคนจนเที่ยงวันเหลืออยู่เพียงยี่สิบคนอีกไม่นานก็จะไ