หนึ่งปีต่อมา
จวนสกุลโจวยามนี้ครึกครื้นไปด้วยญาติพี่น้องที่เดินทางมาเข้าร่วมพิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ ที่บัดนี้กลายเป็นสตรีที่งดงามและเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของสตรีที่เหล่าบุรุษต่างก็หมายปอง แม้จะล่วงเลยเข้าสู่วัยปักปิ่นแล้ว คุณหนูใหญ่สกุลโจวก็ยังไม่เคยคิดจะมอบไมตรีให้แก่บุรุษใดแม้จะมีหลายตระกูลให้แม่สื่อมาเจรจาขอหมั้นหมายก็ตามที“เตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะฮูหยินผู้เฒ่า” สาวรับใช้ตอบสตรีสูงวัยผู้เป็นที่รักของบ่าวไพร่ทั้งจวน“ถ้าเช่นนั้นไปเชิญคุณหนูใหญ่ออกมาได้แล้ว” สาวรับใช้รับคำสั่งแล้วเดินออกจากบริเวณลานกว้างของจวนสกุลโจว ที่ได้ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีปักปิ่นให้แก่หลานสาวคนโตของสกุลโจวที่บัดนี้มีอายุได้สิบห้าปีแล้วภายในเรือนนอนหลังจวนที่ติดกับลำธาร เรือนร่างงดงามที่อยู่ในชุดฮั่นฝูผ้าไหมย้อมสีเขียวอ่อน ปักลายหงส์ด้วยด้ายดิ้นทองซึ่งเป็นชุดที่โจวเจินเจินลงมือเย็บปักเองกับมือ ชายผ้าพลิ้วปลิวไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่านมา อี้ถงเกล้าผมและทำมวยผมให้คุณหนูใหญ่เพื่อเตรียมรับปิ่นจากฮูหยินใหญ่หากผ่านพิธีการปักปิ่นไปแล้วคุณห“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าสามารถแก้แค้นให้พี่ชายของเจ้าได้สำเร็จแล้ว ซีหวง…” ผู้ที่กำลังจับชีพจรของผู้ที่นอนป่วยอยู่ถึงกับชะงักมือและช้อนสายตาขึ้นไปมองหน้าของผู้ที่กล่าวเรื่องที่เขาไม่รู้ออกมา“แก้แค้น… แก้แค้นอันใดกันหรือขอรับ” เขาถามออกมาด้วยความประหลาดใจ“ก็แก้แค้นคุณหนูใหญ่สกุลฉินอย่างไรล่ะ นางเป็นสตรีที่ทำให้พี่ชายของเจ้าต้องฆ่าตัวตายมิใช่หรอกหรือ”“ท่านพี่จิงอวี่… ข้าว่าท่านเข้าใจผิดไปแล้วนะขอรับ”“วะ….ว่าอย่างไรนะ” คนป่วยตาเบิกโพลงและพยายามเค้นเสียงถามออกมา“เข้าใจผิดอย่างไรกัน ก็เขาบอกข้าเองว่าเขาหลงรักคุณหนูใหญ่สกุลฉิน แต่นางไม่แม้แต่ชายตามองเขา เขาฆ่าตัวตายเพราะนางมิใช่หรือไง” หวงจิงอวี่ถามออกมาเสียงสั่น หัวใจเต้นแรงและบีบรัดจนเขารู้สึกทรมาน“โอ้… เรื่องนั้นก็ใช่ขอรับ แต่นั่นมิใช่ทั้งหมด ท่านพี่ของข้าเขาป่วยเป็นโรคที่มิอาจรักษาได้ และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตาย เรื่องที่เขาฆ่าตัวตายนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่สกุลฉินเลยนะขอรับ&r
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหวงจิงอวี่นั้นถูกเล่าลือไปทั่วทั้งเมืองฮวาหลาน รวมไปถึงจวนสกุลโจวด้วย โจวเจินเจินถึงกับรู้สึกสังเวชใจกับสกุลหวงที่ยามนี้นั้นถึงคราตกต่ำ ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการกระทำของหวงจิงอวี่ทั้งนั้น มือบางหยิบผ้าที่ยังปักลวดลายไม่เสร็จขึ้นมาปักอย่างใจเย็น“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ วันนี้ที่ตลาดเริ่มจัดงานเทศกาลโคมไฟกันแล้วเจ้าค่ะ” อี้ถงเอ่ยออกมาขณะที่พยายามเย็บปักผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กอยู่ข้างๆ คุณหนูของนาง“งั้นรึ… งานจะเริ่มอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้วใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะ ลองขออนุญาตท่านใต้เท้ากับนายหญิงใหญ่ไปเที่ยวกันดีหรือไม่เจ้าคะ” อี้ถงกล่าวออกมาอย่างกระตือรือร้น งานเทศกาลเช่นนี้คงจะมีบุรุษมากมายไม่น้อยมาให้คุณหนูของนางได้เลือก“อืม… รอให้ถึงวันก่อนเถิด เจ้าคิดว่าหลงเอ๋อร์จะไม่มาชวนข้าเช่นนั้นหรือคิกๆ” เสียงหวานหัวเราะออกมายามที่นึกถึงน้องชาย“เจ้าค่ะ คุณชายรองมักจะมาชวนคุณหนูใหญ่ของบ่าวให้ไปเที่ยวเล่นด้วยเสมอ”“เดี๋ยวโตอีกหน่อยได้พบเจอกับสตรีที่ชอบก็ลืมพี่สาวผู้นี้แล้วล่ะ&rdq
ในค่ำคืนนั้นร่างซูบผอมจากการตรอมใจมานานทำให้หวงจิงอวี่รู้สึกลำบากที่จะพยุงตนเองให้ลุกจากที่นอนโดยไร้ผู้ที่คอยช่วยเหลือ แต่ดีที่วันนี้ได้กินข้าวกับครอบครัวเขาจึงค่อยมีเรี่ยวแรง หวงจิงอวี่ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งพลางนึกไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ชีวิตของเขาที่ผ่านมานั้นเคยอยู่ในยุคที่รุ่งเรือง มีทั้งอำนาจ เกียรติยศและศักดิ์ศรี แต่พอกลายมาเป็นคนพิการก็ทำให้ชีวิตของเขาดูไร้ค่า ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลงราวกับว่าฝันไปนี่คงเป็นสิ่งที่เขาได้รับจากการที่ทำให้สตรีดีๆ นางหนึ่งต้องสิ้นชีวาวายเพราะความเข้าใจผิดที่โง่เขลาของเขา น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งรินลงมายามที่นึกไปถึงเรื่องราวในอดีต หากเขาตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเสิ่นซีหลงให้มากกว่านี้สักนิด เรื่องราวในอดีตนั้นจะเปลี่ยนไปหรือไม่ สตรีที่ดีงามและเพียบพร้อมที่เป็นภรรยาที่รักของใครสักคนคงจะมิได้พบกับจุดจบเช่นนั้น หรือบางทีเขาอาจจะรักนางไปแล้วหากมิได้มีเรื่องเข้าใจผิดเช่นนั้น“พี่ขออภัยเจ้าจากใจ…ฉินเซี่ยหรู ได้โปรดอโหสิให้พี่ด้วยเถิด พี่เข้าใจความทุกข์ความทรมานใจของเจ้าแล้ว พี่รับรู้ความเจ็บปวดของเจ้าแล้ว”
หนึ่งปีต่อมาเหมันตฤดูในปีนี้นั้นช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก หิมะโปรยปรายลงมาจนหลังคาเรือนและพื้นถนนขาวโพลน ผ้าขนสัตว์ในฤดูกาลนี้ขายดีกว่าสิ่งใด การสอบขุนนางในปีแรกก็ผ่านพ้นไปแล้วเช่นกัน จอหงวนของขุนนางฝ่ายบุ๊นปีนี้มาจากสกุลเจียง บุรุษหนุ่มรูปงามที่เก่งกาจเรื่องบทกวีได้เดินทางกลับมาประจำการเป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักศึกษาหลุนซีและอีกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายมาจากฮ่องเต้ก็คืิอการเป็นผู้ตรวจการลับของเมืองฮวาหลาน ซึ่งมิมีผู้ใดทราบถึงตำแหน่งที่แท้จริงของเขา“ท่านใต้เท้า ปีนี้ท่านก็ถึงวัยอันสมควรที่จะต้องแต่งภรรยาแล้วหนาขอรับ” ฟงฉีที่เป็นทั้งลูกน้องคนสนิทและบ่าวรับใช้ข้างกายของเจียงมู่จื้อทักท้วงออกมาระหว่างรินน้ำชาให้แก่คุณชายใหญ่“ท่านแม่บังคับให้เจ้ามาเกลี้ยกล่อมข้าอีกล่ะสิ” เสียงทุ้มฟังเสนาะหูดังมาจากริมฝีปากสีชาดของบุรุษหนุ่มรูปงามที่กำลังนั่งอ่านสารลับอยู่ภายในเรือน“โถ่…ก็คุณชายมิยอมชายตามองสตรีใดสักนางเสียที จนท่านใต้เท้ากับนายหญิงใหญ่ชักจะร้อนใจแล้วหนาขอรับ อย่างน้อยคุณชายใหญ่น่าจะลองไปเล่นที่หอนางโลมสักคราดีหรือไม่ขอรับ เผื่อว่าอยากจะ
หลังจากที่นั่งรออยู่ได้ไม่นานคุณหนูใหญ่สกุลโจวก็ปรากฏตัว นางสวมชุดฮั่นฝูสีขาวชายผ้าพลื้วไหวไปตามแรงเคลื่อนไหว นางกำลังเยื้องย่างเข้ามาภายในเรือนรับรองด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดี“รอพี่นานหรือไม่หลานเอ๋อร์”“ไม่นานเลยเจ้าค่ะท่านพี่หญิง”“มาหาพี่…จะชวนพี่ไปที่ใดงั้นหรือ”โจวเจินเจินเอ่ยถามเด็กสาวออกมาอย่างรู้ทัน เพราะถ้าหากอีกฝ่ายมิได้มาชวนไปที่ใด นางก็จะขอไปพบที่เรือนของนาง แต่วันนี้มารอที่เรือนรับรองนั่นหมายถึงคุณหนูรองสกุลเจียงอยากจะชวนนางไปข้างนอกจวนเป็นแน่“น้องจะชวนท่านพี่ไปเดินเที่ยวตลาดน่ะเจ้าค่ะ วันนี้เห็นว่ามีนักปราชญ์มาเล่าเรื่องที่โรงเตี๊ยมสวีซี ข้าชวนท่านแม่แล้วแต่ว่าท่านแม่ท่านมิว่างมาด้วยเจ้าค่ะ” เจียงมู่หลานยิ้มพลางบอกจุดประสงค์ของการมาเยือนในครานี้ให้ศิษย์พี่หญิงได้ทราบ“หืม… ฟังดูแล้วเข้าที พี่กำลังอยากจะออกไปข้างนอกอยู่พอดีเลย” คนฟังฉีกยิ้มออกมา“ถ้าเช่นนั้นพี่ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่สักครู่”
โรงเตี๊ยมสวีซีภายในโรงเตี๊ยมมากมายไปด้วยแขกที่เข้ามานั่งกินอาหารและรอคอยการเล่าเรื่องจากนักปราชญ์ที่เดินทางมาจากต่างเมือง แต่เมื่อร่างระหงของสตรีงามอันดับหนึ่งของเมืองปรากฏกาย ณ ที่แห่งนี้ สายตาของหนุ่มๆ ต่างพากันจับจ้องมองไปยังนางเป็นตาเดียวกันจนผู้เป็นน้องชายรู้สึกไม่ค่อยพอใจ“ข้าล่ะระอากับสายตาของบุรุษเหล่านี้ยิ่งนัก” โจวเจินหลงพึมพำออกมาไม่ดังนัก“ก็ศิษย์พี่หญิงช่างงดงาม ผู้ใดกันที่จะไม่อยากมอง” เจียงมู่หลานแย้งออกมา โจวเจินเจินส่ายหน้าไปมาให้กับน้องชายและศิษย์น้องที่ดูท่าทางจะไม่ถูกกันทุกคราที่พบหน้ากัน“เชิญด้านนี้เลยขอรับคุณหนูใหญ่คุณชายรองสกุลโจว และคุณหนูรองสกุลเจียง”เสี่ยวเอ้อร์เข้ามาเชิญแขกทั้งสามให้ไปนั่งโต๊ะทางด้านซ้ายที่ไม่ไกลจากเวทีมากนัก ทุกย่างก้าวของโจวเจินเจินนั้นมีทุกสายตาจับจ้องมองอยู่จนนางรู้สึกอึดอัด นางไม่เคยคิดว่านางจะมีรูปโฉมงดงามเกินกว่าสตรีใดในเมืองฮวาหลาน นางมิเคยเย่อหยิ่งในรูปโฉมของนาง เพียงแค่นางยังมิอยากรับไมตรีจากบุรุษใดก็เท่านั้น“นั่นแม่นางโจวเจินเจินที่เขาเลื่องลือใช่หรือไม่
“พวกท่านแน่ใจใช่หรือไม่ ว่าถุงเงินนี้เป็นของพวกท่าน”เจียงมู่จื้อเอ่ยถามออกมาท่ามกลางผู้คนที่รุมล้อมมองดูอย่างสนใจ และในกลุ่มผู้คนที่กำลังรุมล้อมนั้นยังมีโจวเจินเจิน โจวเจินหลงและเจียงมู่หลานรวมอยู่ด้วย“คุณชายผู้นั้นคือพี่ชายใหญ่ของข้าเองเจ้าค่ะ ทุกคราที่เขาได้พบเห็นสิ่งใดมิถูกมิควรก็ชอบยื่นมือไปให้ความช่วยเหลืออยู่เรื่อย”เจียงมู่หลานกระซิบบอกโจวเจินเจิน หญิงสาวหันไปมองหน้าบุรุษหนุ่มรูปงามผู้นั้นสลับกับใบหน้างามของศิษย์น้องด้วยความประหลาดใจ เพราะทั้งสองนั้นมีรูปโฉมที่ไม่คล้ายคลึงกันเท่าใดนัก หรืออาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มผู้นั้นเป็นบุรุษและศิษย์น้องเป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกับนางและน้องชาย“ถุงเงินนี้เป็นของข้าอย่างแน่นอนคุณชาย มิต้องสืบสาวเรื่องราวให้ยืดยาวนัก บ่าวรับใช้คนสนิทของข้าก็เป็นพยานให้แก่ข้าได้ ถุงเงินถุงนี้ข้าใช้ติดกายออกมาซื้อของมานานหลายปี เหตุใดข้าถึงจะจำมิได้กัน” สตรีที่แต่งกายดีรีบกล่าวออกมาเพื่อไม่ให้สถานการณ์ตรงหน้าวุ่นวายไปมากกว่านี้“ถึงตัวข้าจะไม่มีพยานแต่ข้าก็มั่นใจว่าถุงเงินถุงนั้นมันเป็นของข้า เงินใ
หลังกลับมาจากตลาดโจวเจินเจินก็เอาแต่นึกถึงใบหน้าหล่อเหลาแต่ทว่ากลับดูเย็นชาของคุณชายใหญ่สกุลเจียงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ราวกับว่านางนั้นถูกมนต์สะกดให้ถูกใจเขาตั้งแต่แรกพบ ดูจากหัวใจที่เต้นแรง ใบหน้าเห่อร้อนยามที่นึกถึงความสุขุมเยือกเย็นที่เขาแสดงออกมา แต่ทว่านางก็ต้องหักห้ามใจของตนเอาไว้ เพื่อที่จะไม่ต้องพานพบกับความรักที่ไม่สมหวังเช่นชาติภพที่ผ่านมา“คุณหนูรองสกุลเจียงสนิทกับท่านพี่เกินไปแล้ว” โจวเจินหลงที่แวะมาหาพี่สาวที่เรือนหลังจากแยกย้ายกันกลับเรือนนอนไปบ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจ“พี่ถามเจ้าจากใจจริงนะหลงเอ๋อร์ เจ้าชอบแม่นางเจียงใช่หรือไม่”คำถามของผู้เป็นพี่สาวทำเอาผู้เป็นน้องชายสำลักขนมกุ้ยฮวาที่เพิ่งจะกลืนลงไปไม่พ้นคอ สาวรับใช้รีบรินน้ำชาให้คุณชายรองดื่มอย่างรวดเร็ว“แค่กๆๆ ข้าน่ะหรือขอรับจะชอบยัยคุณหนูรองปากมากขี้โวนั่น ไม่มีทางเสียหรอกท่านพี่ ต่อให้เหลือนางเป็นสตรีผู้เดียวในเมืองฮวาหลาน ข้าก็ไม่ขอลงเอยกับนาง” โจวเจินหลงกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แม้ภายในใจจะรู้สึกวูบวาบก็ตามที“พี่ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะหลงเอ
“ท่านป้า… ท่านป้าเจ้าคะ”เสียงหวานเล็กที่ล่องลอยมาตามหมอกควันนั้นช่างแผ่วเบาจนโจวเจินเจินแทบจะไม่ได้ยิน นางค่อยๆ เยื้องย่างฝ่ากลุ่มหมอกควันที่ขาวโพลนมองแทบจะไม่เห็นสิ่งใด แต่แล้วภาพที่นางได้มองเห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางต้องตาเบิกโพลงด้วยความตระหนกตกใจ“จะ…เจินเอ๋อร์….”เสียงหวานขานนามของเด็กหญิงตรงหน้าออกมา รอยยิ้มจากใบหน้าเล็กนั้นทำให้นางร่ำไห้ด้วยความคะนึงหาผู้เป็นหลานสาว เจ้าของร่างที่แท้จริงที่นางได้มามีชีวิตใหม่“หลานยินดียิ่งนักที่ท่านป้าได้พบกับความรักที่แท้จริงแล้ว” เสียงเล็กดังแผ่วมาจากเด็กหญิงตรงหน้า“ใช่แล้วหลานรัก ป้าได้พบกับความรักที่ป้าไม่เคยได้รับมาในชีวิตก่อน มันช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก”“ที่ท่านได้กลับมา… ก็เพื่อการนี้แหละเจ้าค่ะ ท่านป้า… ท่านเหมาะสมคู่ควรที่จะได้รับความรักจากทุกคน หลานขอให้ท่านป้าใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของร่างนี้ให้มีความสุขนะเจ้าคะ”ฉินเซี่ยหรูที่เป็นโจวเจินเจินในร่างผู้ใหญ่พยักหน้าทั้งน้ำตา ที่แท้สวรรค์ให้โอกาสนางได้กล
หนึ่งปีต่อมาเสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยกำลังหัดเดินดังมาจากสวนดอกไม้ที่อยู่ภายในจวนสกุลเจียง นัยน์ตากลมจ้องมองไปยังบุตรชายตัวน้อยด้วยความห่วงใย ร่างเล็กกำลังเดินเตาะแตะตามซิ่วจิ่นไปรอบๆ สวนดอกไม้ที่กำลังผลิดอกบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องลงมานั้นไม่ได้ทำให้อากาศร้อนมากนัก แต่ทว่ากลับเย็นสบายไปด้วยลมหนาวที่พัดผ่านมา“ดื่มน้ำชาก่อนเถิดเจ้าค่ะนายหญิง” อี้ถงรินน้ำชาใส่ถ้วยชาให้แก่โจวเจินเจิน ควันของชาลอยกรุ่นปะทะกับอากาศ เหมันตฤดูปีนี้ไม่หนาวเท่าใดนัก“ข้าไม่เคยนึกถึงภาพเช่นนี้มาก่อนเลยอี้ถง” จู่ๆ โจวเจินเจินก็กล่าวออกมา อี้ถงยิ้มเพียงเล็กน้อย“แล้วคุณหนูใหญ่ของบ่าวมีความสุขใช่หรือไม่เจ้าคะ” โจวเจินเจินหันไปมองหน้าสาวรับใช้คนสนิทพลางพยักหน้า“เพียงแค่นี้ก็ไม่มีอันใดให้นึกเสียดายแล้วล่ะเจ้าค่ะ”คนฟังยิ้มออกมาในขณะที่สายตาก็ยังคงจับจ้องมองไปที่ร่างเล็กที่ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก จากเดินเพียงช้าๆ ตามหลังของพี่เลี้ยง คุณชายน้องเจียงจางหย่งกลับเร่งความไวขึ้นแซงหน้าซิ่วจิ่นไป โจวเ
“น้องยินดีด้วยนะเจ้าคะท่านพี่ใหญ่ ในที่สุดพี่สะใภ้ก็ไม่เหม็นหน้าท่านแล้วคิกๆๆๆ”เจียงมู่หลานที่ได้ออกเรือนไปบุตรชายท่านเจ้าเมืองฮวาหลานเมื่อสามเดือนก่อนกล่าวหยอกล้อพี่ชายพลางหัวเราะออกมาวันนี้นางได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ รวมไปถึงหลานในท้องของพี่สะใภ้ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนมานานนับเดือนเพียงเพราะไปท่องเที่ยวเมืองหลวงกับสามีของนาง นางนั้นทราบเรื่องที่พี่สะใภ้แพ้ท้องเหม็นพี่ชายตั้งแต่ก่อนออกเรือน ครั้นได้รู้ว่าพี่สะใภ้ไม่มีอาการแพ้ท้องแล้วจึงนึกสนุกแซวพี่ชายของตนออกมา เจียงมู่จื้อจึงยกกำปั้นขึ้นมาโขกศีรษะของนางอย่างแรง‘โป๊ก’“โอ๊ย!!! พี่ใหญ่ ท่านรังแกน้อง”“อืม… หมั่นไส้ ระวังเอาไว้ให้ดีเถิด ระวังถึงคราที่ตัวเจ้ามีครรภ์และมีอาการเช่นนี้ใส่น้องเขยบ้าง" เจียงมู่หลานหันหลังใส่พี่ชายแล้วไปฟ้องพี่สะใภ้ทันที“พี่สะใภ้ ดูสามีของท่านเถิด ช่างพูดจาได้ไม่น่าฟังยิ่งนัก”นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเง้างอนจนโจวเจินเจินนึกขัน ทั้งที่สองพี่น้องวัยก็ห่างกันหลายป
หลังจากที่กลับมาจากจวนสกุลโจว โจวเจินเจินก็ได้บอกเรื่องที่นางกำลังมีครรภ์ให้แก่ท่านพ่อและท่านแม่ของสามีได้ทราบ ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินนั้นต่างรู้สึกยินดีกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งนัก เพราะการได้มีหลานคนแรกถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีของตระกูลเจียง เจียงฮูหยินที่กำลังจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับน้ำตาไหลลงมาอาบใบหน้าด้วยความปีติยินดี“นี่เรากำลังจะได้เป็นปู่เป็นย่ากับเขาแล้วหรือนี่ น้องมิได้ฝันไปใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพี่” เจียงฮูหยินเอ่ยถามใต้เท้าเจียงออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“เจ้ามิได้ฝันไปหรอกหนาน้องหญิง ก็เจินเอ๋อร์บอกว่านางได้ให้ท่านหมอตรวจมาจากจวนสกุลโจวแล้ว ก็ย่อมเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ใช่หรือไม่เจินเอ๋อร์” ท่านใต้เท้าเจียงตอบภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะถามลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงเช่นเดียวกัน“เจ้าค่ะท่านพ่อ ลูกกำลังมีครรภ์จริงเจ้าค่ะ ท่านหมอตู้ตรวจดูแล้วไม่ผิดแน่”ท่านหมอตู้นั้นเป็นหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองฮวาหลาน มีหรือที่เขาจะตรวจผิดพลาด อีกทั้งอาการของนางก็บ่งบอกชัดเจนว่ากำลังมีครรภ์แน่นอน“ฮือ…. ขอบน้ำใจเ
สามเดือนต่อมาหลังจากออกเรือนไปโจวเจินเจินก็ไม่ลืมที่จะแวะเวียนกลับมาเยี่ยมเยือนบิดามารดาที่จวนสกุลโจว ใต้เท้าเจียงและเจียงฮูหยินเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งนัก ทั้งสองไม่เคยห้ามให้นางได้ทำในสิ่งที่นางต้องการเลย ยิ่งสามียิ่งมอบความรักและคอยดูแลทะนุถนอมนางเป็นอย่างดี ทำให้โจวเจินเจินไม่นึกเสียใจเลยที่ได้ออกเรือนไปกับเขา“กลับมาเยี่ยมย่าทุกเดือนเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเจ้ามิตำหนิหรือเจินเอ๋อร์….” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความสงสัย“ไม่เลยเจ้าค่ะท่านย่า ท่านพ่อท่านแม่เมตตาหลานยิ่งนัก หลานอยากจะไปที่ใด หรืออยากจะทำสิ่งใด ท่านทั้งสองมิเคยเข้ามายุ่งหรือนึกสงสัยในสิ่งที่ข้าทำเลยสักนิดเจ้าค่ะ”“ดี… ดียิ่งนัก เป็นโชคดีของหลานแล้วล่ะเจินเอ๋อร์… มีสามีที่รักและทะนุถนอมเจ้า ยังไม่ดีเท่ามีพ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาทั้งใบหน้าที่ยิ้มแย้มนางรู้สึกยินดีกับหลานสาวยิ่งนักที่ได้พบกับตระกูลที่ดี ตั้งแต่ออกเรือนไปนางยังไม่เคยเห็นหลานสาวมีปัญหาอันใดมาบอกเล่าให้ฟังเลย ครั้นหลอกถามอี้ถงสาวรับใช้คนสนิ
โจวเจินเจินหัวใจเต้นแรงยามที่ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น อี้ถงออกไปข้างนอกนานเกือบหนึ่งเค่อแล้ว นางในยามนี้ยังคงนั่งอยู่บนเตียงที่มีผ้าแพรสีแดงประดับตกแต่ง ผ้าคลุมหน้านั้นบางจนเห็นภาพของผู้ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา กลิ่นของสุราลอยมาแตะจมูก นางขยับกายด้วยความประหม่าก่อนที่ผ้าคลุมหน้าจะถูกสามีใช้คันชั่งเปิดออก ดวงหน้างามเผยออกมาปะทะกับแสงจากตะเกียงไฟสีเหลืองนวล ริมฝีปากหนาของเจียงมู่จื้อผุดรอยยิ้มออกมา“รอพี่นานหรือไม่…น้องหญิง”เขานั่งเคียงข้างนางพลางเอ่ยถามออกมา ดวงหน้างามฉายแววของความเขินอาย ครั้นยังเป็นฉินเซี่ยหรูนางไม่เคยมานั่งจ้องหน้ากับหวงจิงอวี่เช่นนี้ด้วยซ้ำ ทำให้นางไร้ประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแท้จริง“มะ…ไม่นานเลยเจ้าค่ะ” เสียงหวานตอบเขาออกไป“ถ้าเช่นนั้น… เรามาดื่มเหล้ามงคลกันก่อนเถิด”โจวเจินเจินพยักหน้า ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นอนแล้วเดินไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง จอกสุรามงคลและจอกเพื่อใส่สุราถูกเจียงมู่จื้อถือกลับมายังเตียงนอน เขารินสุราใส่จอกก่อนที่จะส่งให้แก่สตรีที่กำลังจะเป็นภรรยาของเขาอย่างสมบู
ขบวนเจ้าบ่าวเดินทางมาถึงจวนสกุลโจวในยามเฉินเข้าสู่ยามเว่ย ญาติพี่น้องของเจ้าบ่าวอย่างฟานอี้ชงก็ได้เดินทางมาร่วมงานในวันนี้ด้วย กว่าที่เจ้าบ่าวจะเข้าไปในจวนสกุลโจวได้ก็ต้องผ่านด่านพี่น้องสกุลโจวทั้งสามอย่างโจวเจินหลง โจวเชิน และโจวหลินหลินที่มาช่วยกันทดสอบว่าที่พี่เขยใหญ่ อั่งเปาถูกแจกจ่ายให้ผู้มาร่วมงาน หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มายืนชมขบวนก็ได้รับแจกอั่งเปาด้วยในยามเว่ย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเยื้องย่างเข้าไปในเรือนรับรองที่มีใต้เท้าโจว โจวฮูหยิน ฮูหยินผู้เฒ่า ญาติพี่น้องสกุลโจว และสหายสนิทของโจวเจินเจินรออยู่ด้านใน เจียงมู่จื้อครั้นที่ได้เห็นเจ้าสาวก็ถึงกับตะลึงเพราะวันนี้นางช่างงดงามยิ่งนัก แม้ดวงหน้างามจะซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม แต่เขารู้ดีว่าใบหน้านางนั้นงดงามถึงเพียงใด ทั้งสองเยื้องย่างไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของใต้เท้าโจวและโจวฮูหยิน สาวรับใช้รินน้ำชาส่งให้ท่านเขยใหญ่“ท่านพ่อตา กรุณารับถ้วยชาจากลูกเขยผู้นี้ด้วยเถิดขอรับ” เจียงมู่จื้อส่งถ้วยน้ำชาให้แก่พ่อตาของตนพลางกล่าวออกมา มือหนาสั่นเครือยื่นไปรับถ้วยชามาแล้วยกขึ้นดื่มจากนั้นใต้เท้าโจวจึงได้กล่าวคำอวยพร“ขอ
วันต่อมาในยามเฉิน เจียงฮูหยินได้เดินทางมาเยือนจวนสกุลโจวพร้อมกับแม่สื่อ เพื่อเจรจาสู่ขอบุตรีคนโตของสกุลโจวให้แก่บุตรชายของนาง หลังจากที่เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงเมืองฮวาหลานเมื่อวานนี้ เจียงฮูหยินนั้นได้หาฤกษ์หายามเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้เอาไว้ครั้งที่บุตรชายให้นางมาขอหมั้นหมายคุณหนูใหญ่โจวเจินเจินแล้ว ครั้นบุตรชายเดินทางกลับมา นางจึงสามารถเดินทางมาสู่ขอว่าที่ลูกสะใภ้ได้เลย“ในเมื่อเด็กทั้งสองมีใจรักใคร่ชอบพอกันพวกเราก็มิขัดข้องอันใด กลับรู้สึกยินดียิ่งนักที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนไปกับบุรุษที่ดีเช่นบุตรชายของท่าน”ฉินเซี่ยหรงกล่าวออกมายิ้มๆ ในเมื่อบุตรสาวของนางเลือกเปิดใจยอมรับคุณชายสกุลเจียงแล้ว นางก็ยินดีที่เด็กทั้งสองจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกันเสียที“ข้าสัญญาว่าจะให้ความรัก และความเอ็นดูต่อบุตรสาวของพวกท่าน ไม่ต่างกับนางเป็นลูกสาวแท้ๆ ของข้าเอง” เจียงฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ ใต้เท้าโจวและภรรยาพยักหน้าให้กัน“ถ้าเช่นนั้นพวกเราสองคนก็มิมีอันใดต้องขัดข้องหรอกเจ้าค่ะ ว่าแต่… ท่านพี่หญิงได้ฤกษ์แต่งงานมาหรือยังเจ
เสียงพูดคุยกันดังอยู่ภายในเรือนใหญ่นานนับครึ่งชั่วยาม โจวเจินเจินก็ได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนที่มื้อเย็นจะมาถึงอีกไม่กี่ชั่วยามข้างหน้า ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้รั้งหลานสาวเอาไว้เพราะอยากให้หลานสาวไปสำรวจเรือนนอนก่อนแล้วค่อยมาร่วมโต๊ะกันในมื้อเย็นร่างระหงเยื้องย่างไปยังเรือนนอนที่เคยเป็นของฉินเซี่ยหรงผู้เป็นมารดาของนาง ซึ่งอยู่ติดกับเรือนนอนของฉินเซี่ยหรู หรือเรือนนอนของนางในอดีตชาติ โจวเจินเจินนึกสงสัยไม่ได้จึงเดินไปดูเรือนนอนที่เคยเป็นของนางมาก่อน ทุกสิ่งที่อยู่ภายในห้องยังเป็นเช่นเดิมจนนางรู้สึกปวดใจ ที่เคยคิดว่าท่านพ่อท่านแม่ของนางในอดีตชาติจะตัดใจไปจากฉินเซี่ยหรูได้แล้ว แต่ทว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น พวกท่านยังคงระลึกถึงนางอยู่เสมอมา“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ พวกบ่าวเตรียมน้ำให้อาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”อี้ถงเดินตามมาบอกคุณหนูใหญ่อย่างรู้สึกเห็นใจ เพราะนางเองก็ทราบดีว่าเรือนนอนหลังนี้เป็นของผู้ใด คุณหนูใหญ่ของนางคงจะระลึกถึงคุณหนูใหญ่ฉินเซี่ยหรู ท่านป้าผู้ล่วงลับของนางโจวเจินเจินได้ยินเช่นนั้นจึงละสายตาจากเรือนที่เคยพักอาศัยในชีวิตก่อนแล้วกลับไปยังเรือนนอนที่เค