ธีภพไม่ตอบในทันที เขายืนนิ่ง สีหน้าคล้ายไม่เปลี่ยนแปลง แต่แววตาใต้เงาแสงไฟกลับลุ่มลึก...ราวกับกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างไว้เต็มอก “ผมแค่ต้องการจะคุยกับคุณ” เสียงเขาทุ้มต่ำ นุ่มแต่มั่นคง “นารา คุณไม่ยอมฟังผมเลย” “ทำไมฉันต้องฟัง?” เธอสวนกลับทันควัน “เรารู้จักกันไม่นาน คุณก็กล้าพอที่จะทำเหมือนเราสนิทกัน ทั้งที่ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร เป็นคนยังไงกันแน่!” “คุณแน่ใจเหรอว่าเรายังไม่สนิทกัน” เขาตอบเรียบ ๆ สายตาที่จ้องมองเธอมีประกายวาบผ่าน “ก่อนหน้านี้เราก็รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง...ไม่ใช่เหรอ?” นารานิ่งงัน ริมฝีปากเม้มแน่น เธอรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ในค่ำคืนนั้น การสัมผัสอย่างแนบชิด ความสัมพันธ์ที่ก้าวผ่านจุดนั้นไปแล้ว...ความรู้สึกบางอย่างที่มันไม่ควรเกิดเร็วขนาดนี้ แต่มันก็เกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ “อย่าเอาเรื่องพวกนั้นมาหักล้างสิ่งที่คุณทำกับฉัน” เธอพูดเสียงเครือ “คุณหายไป ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีเหตุผล แล้ววันหนึ่งคุณก็ปรากฏตัวอีก พร้อมกับผู้หญิงคนอื่นข้างกายคุณ” ธีภพขยับเข้าใกล้ช้า ๆ ดวงตาคมเข้มจับจ้องเธอไม่คลาด “ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อย่างที่คุณคิด—” “ไม่ใช่เหรอ?” นาราหัวเราะในลำ
เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง สบตาเขาท่ามกลางความเงียบ “ก็ได้…” เสียงเธอสั่นพร่า แต่ชัดเจน “ฉันจะเชื่อคุณ…อีกครั้ง” ธีภพนิ่งงัน ดวงตาเขาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด “แต่ไม่ได้เพราะคำพูดของคุณ” เธอพูดต่อ “เพราะฉันเองก็อยากรู้…ว่าคุณจะทำอะไรต่อไป” “ฉันยังไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร...คุณกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ แต่ในเมื่อคุณยังไม่ยอมบอก...ฉันจะรอดูด้วยตาตัวเอง” เธอสูดลมหายใจลึก เช็ดน้ำตาออกอย่างเงียบงัน ก่อนจะถอยหนึ่งก้าว “แค่ครั้งนี้นะธีภพ…” เธอกระซิบ “แค่ครั้งเดียว” แล้วเธอก็หันหลัง ปล่อยให้ความสับสนและความหวังเดินเคียงข้างกัน ในหัวใจที่ยังไม่รู้เลย...ว่าจุดจบของความเชื่อครั้งนี้จะเป็นอะไร เสียงส้นรองเท้าดังแผ่วในโถงบาร์ที่ยังครึกครื้น แสงไฟสีทองสะท้อนเงาร่างของหญิงสาวที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและบทสนทนาจากโต๊ะรอบข้าง พราวฟ้าและคีรณัฐเงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นเธอ “นารา!” พราวฟ้าลุกพรวดขึ้นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “เธอโอเคไหม?” นารายิ้มบาง ๆ แม้รอยยิ้มนั้นจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอส่ายหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ แล้วนั่งลงข้างเพื่อนรักอย่างเงียบงัน คีรณัฐเลื่อนแก้วน้ำเปล่ามาให้
กิตติธัชทรุดนั่งลงโดยไม่รอช้า ท่าทางยังพยายามเก็บความตื่นเต้นไว้ภายใต้ภาพลักษณ์สงบนิ่ง “ผมมั่นใจว่าความร่วมมือระหว่างกลุ่มของเรากับซาเลียน จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับทั้งสองฝ่าย” เขาพูดเสียงนิ่งแต่แฝงแรงเร่งเร้า ภานุวัฒน์เปิดแฟ้มตรงหน้าอย่างเชื่องช้า ปลายนิ้วเคาะขอบกระดาษเบา ๆ คล้ายใช้เวลาพิจารณามากกว่าจำเป็น “ผมก็หวังอย่างนั้นครับ…แต่เราต้องมั่นใจก่อนว่า พันธมิตรของเรารู้ดีว่ากำลังจะก้าวเข้าไปในทิศทางแบบไหน” ดวงตาของกิตติธัชไหววูบ “ผมรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ผมก็ไม่ได้เข้ามาเพราะต้องการทางลัด ผมต้องการพันธมิตรที่กล้าชนกับระบบเก่า และซาเลียน…คือโอกาสเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้” ภานุวัฒน์เลิกคิ้วเล็กน้อย ยกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบอย่างไม่รีบเร่ง “ผมดีใจที่คุณมองเห็นแบบนั้น…แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า ซาเลียนไม่ได้จับมือใครเพื่อ ‘ช่วยเหลือ’ แต่เราเลือกคนที่ ‘ควรมีที่ยืน’ เคียงข้างเราในวันที่โลกเปลี่ยน” กิตติธัชนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อย “ผมเข้าใจ และผมพร้อม” ภานุวัฒน์พยักหน้าเบา ๆ ดันปากกาให้ชายตรงหน้าช้า ๆ “ถ้าอย่างนั้น…เซ็นได้เลย” ในขณะที่กิตติธัชก้มหน้าลงเซ็นชื่อ เงามืดในมุมหนึ่งหลังฉา
ท่านวิศรุตพยักหน้าช้า ๆ รอยยิ้มมุมปากไม่จาง “ผมไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังจริง ๆ แต่ดูจากการขยับหมากของเขา…คนพวกนี้ไม่ได้เข้ามาเล่น ๆ” เขาเอนหลัง สบตาพฤกษ์ไพศาลด้วยสายตาคนร่วมสนาม “ถ้าคุณอยากให้โครงการเมืองใหม่นี้ขยายตัวโดยไร้แรงต้าน บางทีเราควรเริ่มศึกษาพันธมิตรคนนี้ไว้บ้าง” พฤกษ์ไพศาลวางถ้วยกาแฟลงช้า ๆ เสียงกระทบจานเบาแต่วาบหวิว “ท่านหมายถึง…ชักชวนให้เขาเข้ามาร่วมใช่ไหม?” “อาจจะ” ท่านวิศรุตตอบ “ถ้าเขายังไม่เลือกฝ่ายไหน” พฤกษ์ไพศาลนิ่งคิดเพียงครู่ ดวงตาเขาหลุบต่ำก่อนจะเชิดขึ้นอีกครั้งอย่างทรงพลัง เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังแท้ แววตาฉายแววคิดคำนวณ ดวงตาเหยี่ยวคู่นั้นกวาดมองแฟ้มเอกสารบนโต๊ะอย่างผิวเผิน แต่ลึกลงไป...เขาเห็นมากกว่านั้น “เรื่องของซาเลียน” เสียงเขานิ่งราบ แต่แฝงความรู้ทัน “เราคงต้องให้คนของเราลองล้วงข้อมูลดูอีกสักหน่อย...” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “เขาเปิดตัวอย่างเงียบแต่แรง...ไม่มีใครรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่อิทธิพลที่กระเพื่อมขึ้นมาน่ะ ไม่เงียบตามเลย” ท่านรัฐมนตรีวิศรุตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ รอยยิ้มของเขาดูอ่อนโยน แต่ไม่เคยเ
เพียงประโยคนั้น…มือที่ถือโทรศัพท์ของธีภพก็แน่นขึ้นทันที ริมฝีปากเขาขบเป็นเส้นตรง ก่อนพูดตอบเสียงต่ำ “…ครับ ผมจะไป” เมื่อวางสาย เขานั่งนิ่งอยู่นาน เหมือนแรงกดทับที่มองไม่เห็นกำลังถาโถมจากทุกทิศ .............. ค่ำคืนของวันเสาร์ ณ ห้องจัดเลี้ยงโรงแรมระดับห้าดาว แสงไฟสีทองสว่างเรืองรองเหนือหัว แขกในชุดราตรีและสูทระดับหรูเริ่มทยอยเข้ามาร่วมงาน ท่ามกลางเสียงเพลงแจ๊สคลอเบา ๆ กลิ่นไวน์ชั้นดีผสมกับบรรยากาศหรูหรา เสมือนโลกของผู้คนที่ไม่เคยตกจากจุดสูงสุด งานคืนนี้ไม่ใช่เพียงงานสังสรรค์ แต่เป็น “สนามต่อรอง” ของผลประโยชน์ ความร่วมมือ และการประกาศอิทธิพลของแต่ละกลุ่มทุน นารา วรเมธินทร์ ก้าวเข้ามาในงานด้วยความมั่นใจในฐานะซีอีโอสาวแห่งวรเมธินทร์กรุ๊ป ชุดเดรสสีไวน์แดงแนบลำตัวที่เธอสวมดูสง่างามและเยือกเย็นพอจะสะกดทุกสายตา ข้างกายคือ พี่ศิตา เลขาคู่ใจที่เปรียบเสมือนเงาเดินข้างกันในทุกสถานการณ์ “คืนนี้คงมีอะไรให้จับตามองไม่น้อยนะคะ” ศิตาพูดเบา ๆ ขณะยื่นรายชื่อแขกให้เธอดู “คนที่มา...ไม่ใช่แค่นักธุรกิจ แต่หลายคนคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเมือง การเงิน และการเคลื่อนไหวของทั้งวงการ
ภายใต้แสงไฟหรูหราของงานเลี้ยง นารายังคงยืนอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง แม้จะถูกห้อมล้อมด้วยแขกนับร้อย เสียงหัวเราะ เสียงแก้วกระทบกัน และบทสนทนาของนักธุรกิจมากมาย ไม่ได้มีเสียงไหนดังพอจะกลบความเงียบในใจเธอได้เลย เธอไม่รู้ว่าอะไรปวดร้าวกว่ากัน ระหว่างความจริงที่เพิ่งได้รู้ ว่าธีภพคือทายาทของตระกูลเดชาสกุลวงศ์ หรือภาพของเขา...ที่ยืนเคียงข้างผู้หญิงคนอื่นอย่างเหมาะสมและไม่ลังเล เธอฝืนยิ้มกับคนที่เข้ามาทัก ฝืนยกแก้วกับคนที่ส่งสายตา ทุกอย่างดูเหมือนเรียบร้อย…แต่ในใจเหมือนลมหายใจมันแผ่วลงไปทุกที แล้วในจังหวะที่เธอกำลังจะหันหลังหลบมุมเงียบ ๆ เสียงนุ่ม ๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างตัว “ผมควรจะเดินมาทักตั้งแต่เห็นคุณมองแก้วไวน์เกือบหกครั้งภายในห้านาที” นาราหันไปก็เห็นใบหน้าคุ้นตาของชายหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่น ฮารุโตะ เคนซากิ หรือ “คุณเคน” คนที่เธอเคยรู้จักในฐานะญาติของกานต์ และหนึ่งในคนที่เธอรู้สึกอุ่นใจเวลาสนทนาด้วย เขายิ้มอ่อนโยนในแบบที่ไม่ต้องพยายาม ท่าทางสบาย ๆ แต่เต็มไปด้วยความใส่ใจแบบที่ไม่อึดอัด “ถ้าคุณอยากจะโยนแก้วไวน์ใส่ใครสักคน ผมก็อยู่ตรงนี้นะ” เขาพูดติดตลกเบา ๆ
ธีภพก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า สายตานิ่งลึก “ดูเหมือนคืนนี้คุณจะมีเพื่อนร่วมงานใหม่ที่สนิทใจดีนะครับ” เขาเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ราวกับทักทาย ทว่ารอยยิ้มบนมุมปากกลับเจือประชดชัดเจน นาราหันมามองเขาเต็มตา สีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาที่มองเขานั้น...ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป “ฉันไม่คิดว่าจะเจอคุณที่นี่...ในฐานะของเดชาสกุลวงศ์” เธอพูดช้า ๆ น้ำเสียงเยือกเย็น ชายที่ยืนข้างเธอหันมามองธีภพเต็มตา ยิ้มบาง ๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “เราคงยังไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ผมชื่อ เคน ครับ — ฮารุโตะ เคนซากิ” เขาเอ่ย พร้อมยื่นมือออกมาอย่างเป็นมิตร “ผมรู้จักกับครอบครัวของคุณนารามานาน...เรียกว่าใกล้ชิดสนิทสนมกันเลยก็ว่าได้” ธีภพไม่ได้จับมือกลับทันที เพียงหรี่ตาลงเล็กน้อย เคนยังคงยิ้ม แต่แววตาคมกริบ ก่อนจะเสริมด้วยประโยคที่เหมือนกำลังพูดเรื่องธรรมดา แต่กลับปักลงกลางอกใครบางคนอย่างแม่นยำ “เวลาที่ใครบางคนปล่อยเธอไว้ตามลำพัง ผมมักจะเป็นคนที่เดินเข้ามา…โดยไม่ต้องให้เธอเรียกครับ” ธีภพขบกรามแน่นนิด ๆ ดวงตาเย็นจัด ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “งั้นพวกคุณก็คงรู้จักกันดีสินะ” นาราแทรกขึ้นอย่างนิ่งเรียบทว่าเฉ
ขาเธอก้าวโดยไม่รู้ตัว พาร่างไปยังห้องน้ำอย่างเงียบงัน มือเอื้อมไปเปิดฝักบัว โดยที่ยังสวมชุดราตรีสีแดงเด่นฉาน ชุดเดียวกับที่เธอยืนเงียบ ๆ อยู่กลางงาน เหมือนสิ่งเตือนใจว่าเธอเคยอ่อนแอ...และเคยยอมให้หัวใจหวั่นไหวเพราะใครบางคน สายน้ำเย็นจัดไหลรดลงมาจากศีรษะ ลากผ่านเรือนผม แผ่นหลัง ซึมเข้าสู่ผิวเนื้อที่ยังอุ่นจากความทรงจำ เสียงน้ำกระทบพื้นดังสม่ำเสมอ แต่มันไม่อาจกลบเสียงร้องไห้ที่ไม่มีน้ำตาของเธอได้ เธอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น นิ่งจนหัวใจสั่น หยดน้ำกลั่นตัวจากปลายคาง ไม่รู้ว่าคือเหงื่อ น้ำตา หรือความเสียใจที่ไหลออกมาพร้อมกันหมด เธอหลับตาลงช้า ๆ ปล่อยให้ทุกอย่างไหลผ่านตัวเหมือนเธอไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว ธีภพ เดชาสกุลวงศ์ ชื่อของเขาแว่วขึ้นมาในใจ…ไม่ใช่เสียงเรียก แต่เป็นเสียงของความทรมาน เขาคือคนที่ทำให้เธอเริ่มกล้าเชื่อใจ เริ่มกล้าเปิดใจ และในเวลาเดียวกัน…เขาก็เป็นคนเดียวที่ทำลายทุกอย่างลงด้วยน้ำมือของเขาเอง เขาไม่ได้เลือกเดินเคียงข้างเธอในวันที่โลกของเธอกำลังสั่นไหว แต่กลับหันไปยืนอยู่ข้างผู้หญิงที่เหมาะสมในสายตาทุกคน ยกเว้น...ในหัวใจของเธ
“เหนื่อยไหมครับ?” เขาถามเมื่อพาเธอเข้ามานั่งบนโซฟา “ไม่ค่ะ…แค่ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลย” เธอยิ้มบาง ๆ พูดออกมาอย่างเขิน ๆ ธีภพหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบใกล้ใบหูเธอ “ใจคุณเต้นแรง…แต่ใจผมแทบจะระเบิด” นาราหัวเราะคิก แล้วตีไหล่เขาเบา ๆ แต่มือของเขากลับยื่นมาจับมือนั้นไว้ และแนบมันไว้กับอกเขา ภายในห้องนอน แสงไฟสีอำพันคลี่คลุมห้องทั้งห้องไว้ด้วยความอบอุ่น กลิ่นหอมจาง ๆ จากดอกไม้ข้างเตียงแตะจมูกเบา ๆ เสียงหัวใจสองดวงที่กำลังใกล้กันทีละนิด…ดังกว่าเสียงใด ๆ ธีภพยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตาเขามองเธอราวกับเธอเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปลดเครื่องประดับผมของเธอออกช้า ๆ เส้นผมดำขลับสยายลงบนบ่าขาว เธอหลับตาลงช้า ๆ รับสัมผัสจากปลายนิ้วของเขา “คุณรู้ไหม” เขากระซิบ “ผมฝันถึงค่ำคืนนี้มานานมาก ฝัน…ถึงวันที่คุณจะอยู่ในอ้อมแขนผม ไม่ใช่แค่ชั่วคืน แต่ตลอดชีวิต” เธอไม่ตอบ เพียงยิ้ม และยื่นมือไปแตะแก้มเขาเบา ๆ “และฉันก็เลือกจะอยู่ตรงนี้…กับคุณ ทั้งในคืนนี้ และคืนไหน ๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่” ธีภพก้มลงจูบหน้าผากเธออย่างแผ่วเบา จากนั้นป
วันแต่งงานที่รอคอยมาถึง เช้าวันนั้น แสงแดดยามสายทอดอุ่นลงบนสนามหญ้าเขียวขจี สายลมพัดผ่านแผ่วเบา กลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามซุ้มขาวเคลื่อนไหวราวกับเต้นรำรับจังหวะหัวใจของใครบางคน บริเวณงานถูกจัดเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดที่เต็มไปด้วยความใส่ใจ ผ้าคลุมบางเบา โทนสีขาวครีมผสมกลิ่นกุหลาบอ่อน ๆ ลอยในอากาศ ดนตรีจากเปียโนคลอเบา ๆ ท่ามกลางเสียงพูดคุยของแขกที่มาด้วยรอยยิ้ม ที่นี่...คือสถานที่ซึ่งหัวใจสองดวงจะเริ่มต้นบทใหม่ ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่เป็น "คำสัญญา" ที่กลั่นมาจากทุกบททดสอบของชีวิตที่ผ่านมา ... ภายในห้องแต่งตัว เสียงหัวเราะนุ่ม ๆ ดังขึ้นเมื่อหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีพีชก้าวเข้ามา พราวฟ้า ดาราสาวเพื่อนสนิทของนารา วางกระเป๋าเบา ๆ แล้วโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความคิดถึง “หายไปครึ่งปี! ฉันนึกว่าเธอหายสาบสูญไปแล้วนะ” นาราหัวเราะอย่างแผ่วเบา “เกือบแล้วจริง ๆ” พราวฟ้าหัวเราะตาม “กองถ่ายเรื่องล่าสุดให้เก็บตัวขึ้นเขา ไม่มีเน็ต ไม่มีสัญญาณเลยสักเส้น ฉันนับวันรอจะได้ลงมางานนี้เลยนะรู้ไหม” สองเพื่อนสาวสบตากันอย่างเข้าใจ แม้ไม่มีคำพูดมาก แต่แววตาก็สื่อได้ว่า…เธอไม่พลาดวัน
คำพูดนั้นเรียบ แต่หนักแน่นพอจะทำให้ห้องทั้งห้องเงียบงันชั่วครู่ คุณบงกชหันไปมองนารา ลูกสาวของเธอในวันนี้…ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังตกอยู่ใต้เงาอดีตอีกต่อไป แต่คือผู้หญิงที่ยืนอย่างมั่นคง ข้างคนที่เลือกจะปกป้องเธอจนสุดทาง การพูดคุยหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างอบอุ่น กำหนดวันหมั้นและวันแต่งงานถูกพูดถึงทีละลำดับ เสียงหัวเราะดังขึ้นบ้างในจังหวะที่คุณบงกชและคุณสุวิมลคุยกัน พลางหันมาถามว่า “ตกลงต้องเตรียมห้องไว้สำหรับเวลาหลาน ๆ มาเที่ยวเล่นเลยไหมลูก?” ธีภพกับนาราสบตากันแล้วยิ้ม แบบที่ไม่ต้องมีคำตอบ เพราะคำตอบอยู่ในดวงตาคู่นั้น…ที่มองกันราวกับโลกทั้งใบมีแค่คนสองคน หลังจากบทสนทนาเรื่องวันสำคัญสิ้นสุดลง ในขณะที่ทุกคนยังนั่งพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอบอุ่น นาราค่อย ๆ ลุกขึ้น เธอไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงสบตาธีภพอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหมุนกาย ก้าวขึ้นสู่ชั้นบนของบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านสไตล์เรียบหรูที่แวดล้อมด้วยสีอุ่นและแสงเงานุ่มนวล เงียบพอให้ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองทุกครั้งที่ก้าวเท้า เธอหยุดหน้าห้องห้องหนึ่ง ประตูไม้สีอ่อนเรียบสะอาดบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดมานานหลายปี เพราะมันคือห้
ไม่กี่วันถัดมา แสงแดดอุ่นยามสายสาดลงบนระเบียงหน้าบ้านสองชั้นสไตล์เรียบหรู เส้นสายของรั้วขาวตัดกับสวนสีเขียวขนาดย่อมอย่างลงตัว เงาของต้นปีบที่ปลูกใหม่เพิ่งเริ่มผลิใบสะท้อนบนกระจกหน้าต่างชั้นสอง ธีภพ ก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ มือเขายื่นออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยคำ เธอก็วางมือลงในมือเขาอย่างคุ้นเคย “บ้านหลังนี้…จะเป็นเรือนหอของเรานะ” เขาบอกเสียงนุ่ม นารามองตรงไปยังตัวบ้าน บ้านเดี่ยวหลังไม่ใหญ่แต่ถูกออกแบบอย่างประณีต สีนวลอ่อนของผนังตัดกับโครงไม้สีอบอุ่น ประตูไม้จริงมีลวดลายเรียบง่ายแต่แฝงความมั่นคง “สวยมากเลยค่ะ” เสียงเธอเบา ดวงตาเปล่งประกาย “เหมือนบ้านที่อยู่ในฝันตอนเด็กของฉันเลย” เขายิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่มีแสงสะท้อนบางอย่าง “ผมอยากให้มันเป็นมากกว่าฝัน…อยากให้คุณรู้ว่า ที่นี่...คุณจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว” ภายในบ้านอบอวลด้วยกลิ่นใหม่และแสงธรรมชาติจากช่องแสงบนเพดานสูง พวกเขาเดินไปด้วยกัน ดูทีละห้อง ห้องรับแขกโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับครัวเปิด ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานใหญ่รับวิวสวนหลังบ้าน พอขึ้นมาชั้นสอง เธอก็หยุดอยู่หน้าห้องหนึ่ง “ห้องน
เสียงของเขาไม่ได้ดังก้อง แต่น้ำหนักของถ้อยคำแต่ละพยางค์ กลับกรีดอากาศให้บางยิ่งกว่าใบมีด “อย่าให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุขแม้แต่วันเดียว…” “ฉันไม่สนวิธีไหน กด เฆี่ยน ล่อหลอก ดึงจิตใจเธอให้สั่นไหว ทำทุกอย่างที่จำเป็น” เจ้าหน้าที่ชะงักวูบ แววตาเขาสะท้อนความลังเลเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็หายไปทันทีเมื่อสบตารัฐมนตรี “เค้นออกมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้ความเจ็บปวดแค่ไหน” เสียงของเขาต่ำลง “หาที่ซ่อนตัวของลาริสาให้เจอ” จากนั้น เขาเงียบไปครู่ ก่อนพูดประโยคสุดท้ายช้า ชัด และราวกับตอกตรึงไว้ในอากาศ “และในวันที่เธอปริปากบอกเรา…ให้วันนั้นเป็นจุดจบของเธอ” เจ้าหน้าที่ข้างกายพยักหน้ารับเบา ๆ เสียงรองเท้าหนัก ๆ เริ่มเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ ร่างของวิลัยลักษณ์ถูกพาไปยังรถคุมขังที่รออยู่ด้านนอก ใบหน้าเธอยังมีรอยยิ้มเยาะอยู่จาง ๆ แต่ในแววตา…มีบางสิ่งเริ่มเปลี่ยนไป เหมือนเธอกำลังรู้ตัวว่า “เกม” ที่คิดว่าควบคุมได้…อาจกลายเป็น “นรก” ที่เธอสร้างขึ้นไว้ให้ตัวเอง บันไดหินอ่อนภายในคฤหาสน์เดชาสกุลวงศ์ เงาของโคมไฟแก้วระย้าไหวระริกตามแรงลมที่ลอดเข้ามาเพียงแผ่วเบา ภายนอก...รถควบคุมตัวเคลื่อ
คฤหาสน์ตระกูลเดชาสกุลวงศ์ ห้องโถงใหญ่เงียบงัน จอทีวีฉายข่าวแบบเรียลไทม์ น้ำเสียงผู้ประกาศนิ่ง เรียบ แต่อัดแน่นด้วยพลังของ “ความจริง” คุณวิลัยลักษณ์ ยืนมองอยู่กลางห้อง ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร แม้แต่คนสนิทที่สุดของเธอ มือของเธอกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้ากับเนื้อจนเลือดซึม แต่เธอไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว ทุกอย่างที่เธอวางไว้… กลับย้อนใส่ตัวเอง เสียงโทรศัพท์เริ่มดังขึ้นไม่หยุด ทั้งจากนักข่าว หน่วยงานรัฐ และทนายของเธอ แต่เธอไม่รับแม้แต่สายเดียว เธอเพียงหลุบตามองโต๊ะ… ที่วางภาพของ ปกรณ์ ในวันที่ยังยิ้มได้ ภาพที่ไม่เหลือความจริงอยู่ในวันนี้แม้แต่น้อย ... อีกฟากหนึ่ง ที่ซาเลียน อินโนเวชั่น ข่าวเปิดโปงถูกรายงานซ้ำในทุกช่องทาง ทีมงานหลายคนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ อย่างโล่งอก ภานุวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมรายงานล่าสุด “ตอนนี้ฝ่ายข่าวหลักเจ็ดสำนักตรวจสอบแล้ว ทุกอย่างตรงกับที่เราส่ง ไม่มีข้อโต้แย้ง” เขายิ้มบาง “ถ้าข่าวนี้ออกไปเร็วกว่านี้อีกนิด เธอคงไม่ได้ทันปล่อยข่าวปลอมมาปั่นด้วยซ้ำ” ธีภพไม่พูดอะไร เขาหันไปมองนาราที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “ยังไม่หมด
ท่านวิศรุตหรี่ตา ใบหน้าแข็งราวหิน “คุณกำลังจะบอกว่าในประเทศนี้…ไม่มีใครตามรถตู้คันหนึ่งได้เลย?” ไม่มีเสียงตอบ หัวหน้าหน่วยวางซองรายงานสรุปลงเบื้องหน้า “มีข้อมูลชัดเพียงจุดเดียวครับ…” เขาเปิดหน้าแผนที่ขนาดเล็ก “รถคันสุดท้ายถูกพบครั้งสุดท้ายพร้อมศพของชายสองคน ใกล้เขตชายแดนด้านตะวันตก แล้วหลังจากนั้น…ไม่มีร่องรอยอีกเลยครับ” ท่านวิศรุตนิ่งไปครู่ใหญ่ เหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ “หมายความว่า…มันหลุดออกนอกประเทศไปแล้ว?” หัวหน้าหน่วยพยักหน้า “ครับ และเรายังไม่รู้ว่า…หลุดไป ในนามใคร” ... ค่ำวันนั้น กระทรวงฯ เริ่มขยับทั้งระบบ เครือข่ายข่าวกรองพิเศษถูกสั่งระดมทันที หน่วยลับชายแดนถูกขยายกำลัง รายชื่อขบวนการลักพาตัวที่เชื่อมโยงกับการค้าคน ถูกสั่งรื้อทุกแฟ้ม แต่ไม่ว่าจะเร่งแค่ไหน…ก็ยังไม่มีคำว่า “เจอ” ... ยามค่ำในห้องทำงานส่วนตัว ไฟเพดานสลัวลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างจ้า รัฐมนตรีวิศรุตนั่งนิ่ง สองมือทับกันบนโต๊ะ แววตาเขา...เปลี่ยนไป จากนักการเมืองผู้เด็ดขาด กลายเป็นพ่อที่ไร้ความสามารถจะปกป้องสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาก้มหน้าลงช้า
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ลาริสา ยิ้มบางเบา ขณะพูดขอบคุณเจ้าของร้านขนม เธอเพิ่งแวะซื้อขนมกล่องเล็ก ๆ กลับไปฝากคุณแม่ ก่อนจะก้าวไปยังรถที่รออยู่ริมถนน เธอกำลังเก็บกระเป๋าเงิน ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเผลอวางโทรศัพท์ลืมไว้ที่ร้าน เธอหันมาบอกคนขับรถ "ฉันลืมของไว้ เดี๋ยวขอวิ่งกลับไปหยิบก่อนนะคะ” ไม่มีอะไรน่าสงสัย ร้านเงียบ รถราบนถนนมีไม่มาก เสียงบีบแตรเบา ๆ ดังมาจากระยะไกล ขณะที่เธอก้าวหันกลับเพียงไม่กี่ก้าว... ประตูรถตู้สีดำ ก็เปิดออกโดยไร้เสียงเตือน ชายสองคนในชุดเข้ม พุ่งเข้าใส่เธอด้วยความแม่นยำ มือหนึ่งปิดปาก อีกมือรั้งแขนไว้แน่น แรงพอให้เธอทรุดโดยไม่ทันร้อง ลาริสาหายไปในความเงียบ ภายในรถตู้ เธอถูกกดร่างให้นอนราบ แขนขาถูกพันด้วยเทปพันสายไฟอย่างแน่นหนา ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีด น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว เสียงในลำคอเป็นเพียงอากาศแห้งที่ไม่ออกมาเป็นคำ เธอไม่รู้ว่าใครทำ ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกพาไปไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ... ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอเลย ................ ในอีกมุมของเมือง แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ กะพริบเบา ๆ ท่ามกลางความมืดของห้องทำงานใต้ดิน ข่าวปลอมชุดแรก ถ
คุณวิลัยลักษณ์ เดชาสกุลวงศ์ ก้าวลงจากรถแทบจะทันทีที่ประตูเปิด ไม่สนรองเท้าส้นสูง ไม่สนว่าใครอยู่ตรงไหน เธอพุ่งเข้าไปในโกดัง ร่างของหญิงวัยกลางคนวิ่งฝ่าความมืดจนเห็นร่างที่นอนนิ่งอยู่กลางพื้น “ปกรณ์!!” เสียงเธอแทบขาดใจ น้ำเสียงที่เคยสง่างามกลายเป็นเสียงร้องของคนเป็นแม่ ร่างของลูกชายเธอ ถูกทำลายไม่มีชิ้นดี อวัยวะที่เป็นความภาคภูมิใจ ของสายเลือดชายในตระกูล...ไม่มีอีกแล้ว เธอทรุดตัวลงข้างร่างนั้น สองมือสั่นระริกเมื่อแตะร่างที่ยังอุ่น แต่ไม่ตอบสนอง ริมฝีปากเธอสั่นระรัว...ดวงตาเบิกกว้าง คุณวิลัยลักษณ์ทรุดตัวลงข้างร่างของปกรณ์ สองมือเธอสั่นระริกขณะพยายามแตะไหล่ลูกชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นซีเมนต์แข็ง เลือดไหลซึมเปื้อนพื้นอยู่รอบกายเขา และไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย...นอกจากเธอกับเขา เธอกวาดตามองไปรอบโกดังด้วยดวงตาที่สั่นด้วยทั้งความหวาดกลัวและความสับสน ไม่มีเงาของคนที่ลงมือ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของรถ มีเพียง ความเงียบ ที่ราวกับตะโกนกรอกหูเธอว่า สายเกินไปแล้ว “ปกรณ์…ปกรณ์ลูกแม่...” เสียงเธอพร่าแตกขณะพยายามเรียก แต่ไม่มีคำตอบจากร่างที่นอนนิ่ง เธอหันไปสั่งลูกน้องด้วย