“คุณจะซื้อของขวัญให้ดาเหรอคะ”“ใช่” เขาพยักหน้ารับ พร้อมลากเธอไปที่ร้านขายเครื่องเพชร“ความจริงคุณไม่ต้องลำบากก็ได้ ดาเป็นเพื่อนฉัน” เธอพูดอย่างคนที่รู้สึกเกรงใจแทนเพื่อนรัก แต่เขากลับหันมาตอบสั้นๆว่า“ผมจะซื้อ”“จะซื้ออะไรล่ะคะ”“สร้อย ดีมั้ย” เขาหันมาถามความคิดเห็นจากเธอ“ไม่แพงเกินไปเหรอคะ”“ไม่หรอก ผมเป็นคนซื้อนะ ไม่ได้ใช้เงินคุณ จะมาขี้งกทำไม” เขาทำเสียงระอา พร้อมกับก้มลงมองสร้อยขนาดต่างๆที่อวดประกายเพชรวูบวาบอยู่ในตู้กระจก“คุณชอบเส้นไหนมากที่สุด” เขาถาม ในขณะที่หญิงสาวชะเง้อมองสร้อยในตู้ด้วยท่าทางสนอกสนใจตามประสาผู้หญิงอย่างเธอก็คงได้แค่มองนั่นแหละ…คงไม่มีปัญญาซื้อมาสวมใส่หรอกประภาพิณถอนหายใจเฮือกก่อนจะชี้ไปที่สร้อยเส้นหนึ่งที่ดูไม่โดดเด่นเท่าสร้อยเส้นอื่น แต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เธออยากค้นหาตัวสร้อยเป็นแบบเรียบๆโซ่สีทองแท้เส้นเล็กๆพันกันเป็นเกลียวคลื่น จี้สีเหลืองสุกปลั่งรูปกามเทพตัวน้อยมีปีกสีขาวประดับอยู่ด้านหลัง ในมือเล็กๆถือธนูกับคันศร ใบหน้าของคิวปิดสื่อรักดูจะยิ้มแย้มแจ่มใสอมความสุขจนผู้ที่พบเห็นอดจะรู้สึกหลงใหลไม่ได้“คุณชอบเส้นนี้เหรอครับ” ถามพลางเลิกคิ้วเข้ม
“แต่ผมไม่ดีใจเลยอ่ะที่ได้เจอแวว” คำตอบขวานผ่าซากของธัศไนย ทำเอาสองสาวถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆกัน“นี่คุณ” นิ้วเรียวสะกิดยิกๆที่บ่าเขา ทำให้เขาต้องก้มหน้ามามอง“ตัวเตี้ยแล้วยังชอบสะกิดผมอีกนะ ก้มหน้าคุยกับคุณแบบนี้ผมเมื่อยคอนะ” เขาบ่น และเป็นคำบ่นที่ประภาพิณอยากตบหน้าเขาที่สุด“ถ้าคุณว่าฉันเตี้ยอีกคำเดียว ฉันจะถีบคุณ” เธอกระซิบเสียงลอดไรฟัน“ฝันไปเถอะว่าคุณจะได้ถีบผมง่ายๆ ผมคงไม่อยู่เฉยๆให้คุณรังแกได้ตามใจชอบหรอกนะ”“เอ่อ ธัศคะ คนนี้หรือเปล่าที่คุณบอกว่าเป็นแฟนใหม่ของคุณ” แวววรรณทะลุขึ้นมากลางปล้อง รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นธัศไนยดูจะสนิทสนมกับผู้หญิงหน้าหวานๆคนนี้ยิ่งกว่าที่เคยสนิทกับเธอเป็นไหนๆ“เอ่อ คือว่า” ประภาพิณอ้าปากจะปฏิเสธ แต่เสียงทุ้มๆแทรกขึ้นมาก่อนว่า“ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ”ตาคมสบกับตาแวววาวที่ถูกตกแต่งไว้จนคมโตนิ่งนาน ก่อนที่แวววรรณจะเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน“ผมไปล่ะนะแวว” เขาพูดเสียงเรียบพร้อมกับดึงข้อมือประภาพิณให้เดินห่างออกไป ในขณะที่แวววรรณเหยียดริมฝีปากออกอย่างแค้นเคือง“คุณนึกเหรอคะว่าคุณจะทำแบบนี้กับแววได้ แววไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนไหนมาแย่งค
กว่าอเนกจะตัดสินใจยอมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน ชายหนุ่มอำลาสาวที่หมายตาอย่างอ้อยอิ่ง นึกอุ่นใจเล็กๆที่ประภาพิณยิ้มตอบไม่ได้ผลักไสไมตรีจิตเขาอย่างที่นึกกลัวในตอนแรก“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะพี่เอก”“ครับ พี่จะเดินทางอย่างระมัดระวัง” จากที่เคยเรียกตัวเองว่า‘ผม’ก็เปลี่ยนมาเรียก‘พี่’อย่างสนิทสนม ตาตี๋ๆคล้ายๆหนุ่มเกาหลีจับจ้องมองวงหน้าหวานๆอย่างชื่นชมเธอเป็นกุลสตรีตามแบบที่เขาชื่นชอบจริงๆ เธอพูดจาไพเราะ เป็นกันเอง น้ำเสียงน่าฟังส่วนหน้านั้นเล่าก็หวานหยดจนแทบจะละลายเป็นน้ำตาลได้ ยิ่งรอยยิ้มของเธอยิ่งดูบริสุทธ์ราวน้ำค้างที่เพิ่งหล่นลงจากฟากฟ้าสะสวย งดงาม สะอาด บริสุทธิ์ ถ้าเปรียบกัน เธอคงเปรียบเสมือนดอกไม้สีขาว ส่วนแวววรรณเปรียบเสมือนดอกไม้สีแดงที่มีแต่ความร้อนแรงหน้าหล่อแบบเรียบๆส่ายไปมาอย่างแรงเมื่อรู้สึกตัวว่าความคิดของตนเริ่มลอยกลับไปหาแวววรรณ เขาไม่อยากคิดถึงเธอ เพราะการคิดถึงเธอนั้นคือความเจ็บปวด เขาไม่อยากจมอยู่กับความทุกข์อีกต่อไปแล้ว“พี่เอกเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย” เสียงใสๆช่วยฉุดดึงสติของอเนกให้กลับคืนมา เขาหันมามองหน้าหวานๆตรึงใจก่อนจะส่งยิ้มแห้งแ
โฮ่งๆๆ บรู๊ววววววววววววววววววววววววววววววเสียงสุนัขที่ยังคงโก่งคอหอนอย่างไม่ยอมเลิกราไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวมากไปกว่าผู้ชายตรงหน้า ธัศไนยหรี่ตาลงมองประภาพิณอย่างระอาใจพร้อมกับถามเสียงคาดคั้นว่า“ทำไมต้องให้ผมมารับด้วย”“ฉันกลัวเสียงหมาหอน”“แค่หมาหอนเนี่ยนะ!”“มีคนเคยบอกว่าหมาหอนเพราะเห็นผีนะ”ธัศไนยยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งขึ้นมาคลึงสันจมูกโด่งๆของตัวเองไปมา พลางถอนหายใจเฮือก“ยัยคูโบต้าเอ้ย”“เอ๊ะ! อย่ามาเรียกฉันแบบนี้นะ” เธอแหว“อยากเรียก ปากผม ผมมีสิทธิ์จะพูดอะไรก็ได้”“ฉันอยากเย็บปากคุณ” เธอกัดฟันกรอดๆ“อย่าเอาแต่ขู่สิ ลงมือกระทำด้วย” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เล่นเอาหญิงสาวอ้าปากเตรียมกรี๊ด แต่นิ้วแข็งแรงชี้หน้าเธออย่างรู้เท่าทัน“อย่ากรี๊ดนะ ไม่งั้นเจอจูบ”ได้ผล เพราะเธอเงียบเสียงลงทันที แต่ก็ยังไม่วายบ่นอุบอิบ“เกย์อะไร ชอบขู่จะจูบผู้หญิงตลอด”“อะไรนะ เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ” เขาขมวดคิ้ว ขยับเข้าใกล้หญิงสาวพลางจับต้นแขนเรียวยึดไว้มั่น“คุณเป็นเกย์ใช่มั้ยล่ะ”“ไม่ใช่ บอกแล้วไงว่าผมเป็นผู้ชายทั้งตัวและหัวใจ” เขายืนยัน แต่เธอกลับทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ“พี่เอกบอกฉันหมดแล้วค่ะว่าคุณเป็นเก
ความคิดของประภาพิณหยุดชะงักลงเมื่อดวงตาคมๆที่หลับอยู่ได้ลืมขึ้นมามองหน้าเธอเขม็ง“เอ่อ…” หญิงสาวเกิดอาการพูดไม่ออก ในขณะที่เขาขยับปากพูดออกมาว่า“ทำไมยังไม่ไปนอนอีก”“คือว่าฉัน…”“มาจ้องหน้าผมอยู่ได้ แล้วแบบนี้ผมจะหลับลงได้ไง”“ฉันนึกว่าคุณหลับไปแล้ว”“คุณแหกปากร้องเพลงกล่อมนายเมเสียงดังขนาดนั้น ใครจะไปหลับลง” เขาพูดเสียงขุ่น ในขณะที่ประภาพิณตวัดค้อนใส่“งั้นก็หลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่กวนคุณแล้ว” เธอลุกขึ้นยืนพร้อมปิดไฟลงแล้วทรุดลงนอนที่เตียงฝั่งของตัวเอง“คุณแฟน..” เสียงทุ้มๆเรียกเธอเสียงแผ่ว“มีอะไรคะ” เธอถามออกไปด้วยเสียงเบาๆ“กู๊ดไนท์นะครับ”“ค่ะ ฝันดีเช่นกันคะ” เธอตอบเขาพร้อมยิ้มแก้มแทบปริ ร่างบางพลิกตะแคงหันไปอีกทาง มือเรียวยกขึ้นมาแนบแก้มตัวเองด้วยท่าทางขัดเขินความอบอุ่นบางอย่างกำลังแผ่กระจายไปทั่วร่างเธอ ดวงตากลมโตค่อยๆหลับลงอย่างช้าๆทั้งๆที่รอยยิ้มยังคงประดับอยู่ที่เรียวปากอิ่มคืนนี้คงจะเป็นอีกคืน…ที่เธอจะหลับฝันดีติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดเสียงนาฬิการูปนกพิราบร้องปลุกในยามเช้ามืดของวันต่อมา ทำให้มือใหญ่ต้องเอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาปลุกพร้อมกับลืมตาตื่นขึ้นอย่างงัวเงียธัศไนยหาวออกมาครั้งหนึ
“ยัยดา!!” ประภาพิณตะโกนเรียกเสียงดัง ทำให้พีระดาที่กำลังยืนทักทายแขกเหรื่อเคียงคู่กับเจ้าบ่าวอยู่หน้างานต้องหันมาตามเสียงเรียกพีระดามองประภาพิณที่อยู่ในชุดสีหวาน กระโปรงบานพลิ้วสีฟ้า ดูเข้ากับใบหน้าของเธออย่างเหมาะเจาะ ในอ้อมแขนมีเด็กน้อยคนหนึ่งอยู่ด้วย แต่นั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่าผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆประภาพิณ ... ผู้ชายหน้าตาโหดๆมีหนวดเคราเสริมให้ใบหน้าเขาดูดุดันมากยิ่งขึ้นจนพีระดาไม่กล้าสบตากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น...กลัวโดนงับหัวน่ะ ถ้าสบตากับเขานึกแปลกใจอยู่ครามครันว่าผู้ชายคนนี้จะใช่ผู้ชายที่เป็นเจ้าหนี้ของประภาพิณเพื่อนรักเธอหรือเปล่า“นึกว่าแกจะไม่มาเสียแล้ว” พีระดาพยายามไม่หันไปสนใจผู้ชายที่ยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นที่มากับเพื่อนเธอ แต่หันมาคุยกับประภาพิณแทน“งานแต่งงานของแกทั้งที ฉันจะไม่มาได้ไง แต่คงมาได้แค่แปบเดียวนะ ฉันเอาเด็กเล็กมาด้วย คงไม่สะดวกที่จะอยู่นาน” ประภาพิณพูดอย่างยินดี มองพีระดาที่ยืนสง่าในชุดบริสุทธิ์ด้วยสายตาชื่นชม วันนี้พีระดาสวยมากจริงๆ ปกติพีระดาจะเป็นคนที่ชอบมัดผมเป็นหางม้าไว้ข้างหลังเหมือนสาวขาลุยอยู่เสมอ แต่มาวันนี้กลับเกล้าผมขึ้นไปเป็นช่อๆ ทิ้งชายผมเป็น
แล้วประภาพิณก็เดินเข้าไปภายในงานพร้อมธัศไนยที่ยังคงตีหน้าโหดไม่เลิกรา จนเธอต้องหันมาแขวะ“คุณจะหน้างออีกนานมั้ยคะ”“นาน” เขาตอบสั้นๆ เล่นเอาประภาพิณต้องถอนหายใจพรืด“นี่คุณธัศคะ คุณเป็นอะไรของคุณ เมื่อกี้นี้ก็ทำหน้าเหมือนไม่พอใจที่ฉันคุยกับคุณภีม”“มันเรื่องของผม” ชายหนุ่มพูดเสียงสะบัดๆ“เอ๊ะ หรือว่าคุณ…” หญิงสาวละคำพูดเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ ทำเอาคนหน้าโหดชักจะเริ่มร้อนตัว เขาจึงรีบหันมาปฏิเสธทันควัน“เฮ้ย ผมไม่ได้หึงคุณนะ โธ่! ใครจะไปหึงคุณลงกัน สวยก็ไม่สวย แถมผมเองก็ไม่ได้ชอบคุณอีกต่างหาก จริงๆนะ เชื่อผมเถอะ”“เอ่อ ฉันไม่ได้คิดว่าคุณหึงฉันเลยนะ” ประภาพิณพูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ตาโตๆหรี่ลงอย่างจับผิด มองคนหน้าเข้มที่ตอนนี้หน้าถอดสีไปแล้วเรียบร้อยอย่างสังเกต“คุณมองผมแบบนี้หมายความว่าไง” ธัศไนยถามพร้อมหลบตาเธอ“เปล่าค่ะ” ประภาพิณเมินหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะเดินไปทรุดลงนั่งที่โต๊ะด้านหน้าเวทีโดยมีร่างสูงตามมานั่งด้วย“อย่ามาโกหกผม มีอะไรก็พูดมา” เขาคาดคั้น แล้วหันไปขอบคุณผู้ชายร่างสูงผอมที่เดินมาเสิร์ฟอาหารและไวน์ที่โต๊ะเขา“อ๊ะ ของกิน” ดวงตากลมโตฉายประกายวาววับยามเมื่อมองของกินที่ตั้งละลานตา
ริมฝีปากแดงตามธรรมชาติของภีรวัทน์งอหงิกอย่างไม่พอใจก่อนที่สายตาคมๆจะเห็นนักข่าวหลายคนกำลังตั้งกล้องมาทางเขา อยู่ๆความคิดเจ้าเล่ห์ก็เกิดขึ้นมาในสมอง เขาจึงหันไปคว้าเอวเจ้าสาวเข้ามาแนบชิดลำตัวแกร่งก่อนจะบดขยี้เรียวปากอิ่มที่เผยอค้างด้วยความตกใจของเธออย่างรุนแรงลิ้นร้อนๆชอนไชหาความหวานไปจนทั่วโพรงปากอย่างดุดันและเรียกร้องก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานและเว้าวอนจนคนที่มองอยู่ทุกคนแทบจะลืมหายใจไปด้วยกับการมองฉากจุมพิตที่ยาวนานของคู่บ่าวสาว“คุณ!!” พีระดาหน้าแดงก่ำ หลังจากที่เขาถอนปากออกแล้ว มือเรียวยกขึ้นมาตั้งท่าจะฟาดลงบนหน้าคมสักฉาดแต่ว่ามือใหญ่จับไว้ได้ทัน“ขอโทษนะครับ เจ้าสาวของผมคนนี้เขาชอบแนวตบจูบน่ะ” ภีรวัทน์หันไปบอกกับแขกทุกๆคนที่พากันนั่งอมยิ้มอยู่ เล่นเอาพีระดาต้องรู้สึกอับอายจนอยากจะฆ่าผู้ชายตัวโตๆตรงหน้าให้ตายคามือประภาพิณเบิกตากว้างๆมองเพื่อนรักกับเจ้าบ่าวรูปหล่อบนเวทีด้วยสายตาอึ้งๆโดยเฉพาะฉากจุมพิตที่แสนดูดดื่ม งานนี้เห็นทีว่าพีระดาคงจะมีคู่ปรับตัวเก่งเข้าให้เสียแล้วล่ะยิ่งมองทั้งคู่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าพีระดากับภีรวัทน์มีความเหมาะสม มีความลงตัวกันอย่างน่าประหลาดความคิดของเธอชะง
“เหนื่อยมั้ยคะ”เขาหันมามองหน้าเธอก่อนจะตอบเสียงเศร้าๆว่า“ไม่เหนื่อยหรอก ไอ้เอกมันติดยาน่ะ”“อะไรนะคะ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ “ทำไมพี่เอกเขาถึงได้…”“เขาสารภาพออกมาหมดแล้วว่าแวววรรณกลับมาขอคืนดีกับเขาแล้วก็ทิ้งเขาไปอีกครั้ง เขาเลยทั้งเสียใจทั้งผิดหวัง ตอนนั้นมีคนมาเสนอยาบ้าให้เขา เขาเลยลองกินดูเพราะคิดว่าคงไม่ติด แต่ที่ไหนได้…เขาดันติดงอมแงม แล้วเรื่องที่เขามาปล้ำคุณน่ะ เพราะแววจ้างเขาด้วยยาบ้ายี่สิบเม็ดน่ะ”“ตายจริง…ไม่น่าเลยนะ เพราะยาบ้าแท้ๆ” หญิงสาวทำเสียงสลด“ตอนนี้ตำรวจเขาก็ไปจับแววแล้ว เพราะแววเป็นคนบงการ แถมยังมียาบ้าไว้ในครอบครองอีกหลายเม็ด คนรักของแววคนล่าสุดก็ตีตัวออกห่างไปแล้วพอรู้ว่าแววโดนตำรวจจับน่ะ”“เฮ้อ” ประภาพิณถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ ในขณะที่มือใหญ่จับคางเธอให้แหงนหน้าขึ้น“ก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ผมขอจูบทีหนึ่งได้มั้ย” เขาขออนุญาต ยังไม่ทันที่เธอจะตอบอะไรออกมา ริมฝีปากร้อนๆก็แนบประกบเข้าที่เรียวปากอิ่มอย่างแผ่วเบาและเว้าวอน“แฟนรักคุณนะคะ” เธอบอกเมื่อเขาถอนจุมพิตออก ในขณะที่เขาลุกขึ้นยืนแล้วรั้งต้นแขนเธอให้ลุกขึ้นด้วย“พอผมไปแล้ว อย่าลืมลงกลอนให้แน่นหนานะ แล้วพ
เธอคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าสักวันพีระดาจะต้องรักภีรวัทน์ และก็เป็นอย่างที่เธอคิดเอาไว้จริงๆว่าพีระดาคิดจะล้อล่นกับความรู้สึกของตัวเอง แล้วเป็นไงล่ะ...ผลสุดท้ายก็ต้องมารักเขาเพราะความใกล้ชิด แต่เธอคิดว่าพีระดากับภีรวัทน์ก็ดูเหมาะสมกันดี ที่สำคัญ..ในวันแต่งงาน เธอดูออกว่าภีรวัทน์แคร์เพื่อนสาวของเธอมากขนาดไหน บางที...ภีรวัทน์อาจจะรู้สึกเดียวกันกับพีระดาในตอนนี้ก็ได้//ฮือๆๆ// พีระดาไม่ตอบ มีแต่เพียงเสียงสะอื้นไห้ที่ดังแว่วมาทางสายโทรศัพท์จนประภาพิณชักจะเริ่มรู้สึกหนักใจแทน“งั้นอีก1ปีแกก็ต้องเลิกกับเขาน่ะสิ แกควรจะบอกเขาไปตรงๆเลยนะว่าแกรู้สึกยังไงกับเขา อย่าปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเฉยๆไม่งั้นแกอาจจะต้องเสียใจ”//เขาไม่ยอมทำตามสัญญา// พีระดาพูดด้วยเสียงสะอึกๆ เสียงสูดจมูกดังฟืดฟาดชวนให้นึกเวทนา“ห๋า ไม่ทำตามสัญญา”//ใช่ ไม่ทำตามสัญญา เขาฉีกสัญญาทิ้ง บอกว่าจะให้ฉันอยู่กับเขาต่อไป//“งั้นแกก็ควรจะดีใจสิที่เขาอยากอยู่กับแก แกจะมาร้องไห้คร่ำครวญเพื่อ?”//เขาแค่หวงฉัน ไม่ใช่ว่ารักถึงได้หวงนะ แต่เป็นเพราะ...เขาเห็นฉันเป็นแค่ของชิ้นหนึ่ง ไม่อยากให้ฉันไปตกเป็นของคนอื่น ความสำคัญของฉันมีแค่นี้จริงๆ//“เ
โครม!บานประตูห้องนอนถูกถีบออกอย่างแรงก่อนที่คอเสื้อของอเนกจะโดนมือใครคนหนึ่งลากขึ้นมาจากร่างงามที่เขากำลังจะหาความสุขด้วยยังไม่ทันที่อเนกจะได้เห็นหน้าคนที่กล้ามาคว้าคอเสื้อเขา หมัดหนักๆก็ถูกต่อยเข้ามาที่ใบหน้าอย่างแรงจนร่างผอมบางเซแซ่ดๆไปปะทะกับผนังห้อง“คุณธัศ ช่วยแฟนด้วย” ประภาพิณพูดด้วยเสียงสั่นๆพลางพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังจุกอยู่ที่ท้องน้อยตาคู่คมตวัดมามองประภาพิณชั่วแว่บหนึ่งก่อนจะยกเข่ากระแทกที่ท้องของอเนกอย่างเดือดดาล พร้อมกับศอกที่กระแทกเข้าที่ศีรษะอเนกอย่างจัง“เมื่อก่อนฉันเห็นนายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง แต่มาวันนี้…นายกลับมาปล้ำแฟนฉัน ฉันไม่ปล่อยให้นายรอดแน่ เอก”น้ำเสียงนี้อเนกจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร…ชายหนุ่มค่อยๆทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นในสภาพหมดหนทางต่อสู้ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหน้าหล่อเหลาของอาจารย์วิทยาศาตร์ที่กำลังมองเขาอย่างบูดบึ้ง“อะ ไอ้ธัศ”“เออ ฉันเอง ทำไมนายถึงทำแบบนี้วะ” ธัศไนยถามเสียงตะคอก ก่อนจะหันไปทางประภาพิณที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง“คุณแฟน โทรหาตำรวจ”“แต่ว่าเขาเป็นเพื่อนคุณ”“ผมบอกให้โทรก็โทรไปสิ” ชายหนุ่มเริ่มเสียงดัง เล่นเอาหญิงสาวต้อง
16.42น.“แฟนจ๋า เราจะมีลูกด้วยกันกี่คนดีครับ” ธัศไนยนั่งสวีตหวานอยู่กับประภาพิณในร้าน beautiful flower มือใหญ่จับกุมมือบางแล้วใช้หัวนิ้วโป้งคลึงหลังมือเธอเบาๆ ตาคมหวานเชื่อมมองหญิงสาวอย่างแสนรัก“สองคนดีมั้ยคะ”“จะดีเหรอ” คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูงอย่างไม่เห็นด้วย“ทำไมจะไม่ดีล่ะค่ะ ผู้ชายหนึ่งคน ผู้หญิงหนึ่งคน”“แต่ผมว่ามีลูกสักโหลนึงเลยก็ดีนะครับ” เขารั้งร่างบางมาพิงอกกว้างพร้อมจูบขมับหญิงสาวเบาๆ“โห ตั้งโหลนึงเชียวเหรอคะ เยอะเกินไปหรือเปล่า แฟนไม่ไหวหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าหวือ พูดอู้อี้“แต่ผมทำไหวนะ” เขาพูดอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้เธอต้องเงยหน้าออกจากอกหนาแล้วขว้างค้อนใส่เขาอย่างมีจริต“มีโหลนึง คุณคงจนกันพอดี”“ไม่จนหรอกน่า อย่างน้อยผมก็มีเงินเลี้ยงคุณและลูกให้มีความสุขได้ไปจนกว่าจะตาย ไม่มีทางปล่อยให้คุณลำบากแน่ๆ” เขาพูดเสียงหนักแน่น“เซี้ยว”“เซี้ยวที่ไหน ผมพูดตามความเป็นจริงนะ แต่ผมจอให้คุณสัญญากับผมสักข้อได้มั้ยครับคุณแฟน” เขาเอ่ยขอเสียงนุ่ม“ขออะไรคะ”“ถ้าแต่งงานกับผมแล้ว คุณห้ามมีสามีน้อยโดยเด็ดขาด”“อีตาบ้า ใครเขาจะมีสามีน้อยกัน” เธอหยิกหน้าอกเขาแรงๆจนชายหนุ่มร้องลั่น ก่อนที่หน้าคมจะตีหน
ทันทีที่อเนกกลับถึงบ้าน เขาก็ต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นรถคันหรูมาจอดอยู่หน้าประตูบ้านของเขา ก่อนที่คนในรถจะเปิดประตูออกมา“แวว…” อเนกเรียกชื่อเธอเสียงแผ่ว มองหน้าสะสวยที่มีแว่นสีดำอันใหญ่ปกปิดอยู่อย่างเจ็บปวด“ใช่ค่ะ ขอบคุณที่ยังจำแววได้” แวววรรณเหยียดปากอย่างเยาะหยัน กวาดตามองอเนกอย่างสมเพซ“ผมไม่ได้ความจำเสื่อมนี่ครับ จะได้ลืมอะไรง่ายๆ ไม่เหมือนคุณหรอก พูดอะไรก็ลืม…”“ตายจริง นี่คุณหลอกด่าแววเหรอคะ” แวววรรณยกมือทาบอกอย่างมีจริต“แล้วแววเป็นอย่างที่ผมว่าหรือเปล่าล่ะครับ” ย้อนถามอย่างเจ็บแสบแต่แวววรรณไม่อยากถือสา เพราะ…ความแค้นที่เธอมีอยู่ตอนนี้มันสำคัญมากกว่าการต่อล้อต่อเถียงกับอดีตคู่นอนอย่างเขา“วันนี้แววมีเรื่องจะมาคุยกับคุณค่ะ”“นั่นสินะ ถ้าไม่มีธุระ คุณคงไม่มาหาผมหรอก”“คุณเลิกด่าแววสักทีได้มั้ยคะ” แวววรรณเริ่มขึ้นเสียงสูงอย่างไม่พอใจ“ผมไม่ได้ด่า ผมพูดความจริง”“ความจริงของคุณ แววไม่อยากฟัง”“ ถอยไป ผมจะเข้าบ้าน” อเนกผลักร่างอวบอิ่มที่เขาเคยหลงใหลในอดีตให้พ้นทางพร้อมกับไขกุญแจประตูบ้านแล้วเปิดออก“แต่แววมั่นใจว่าคุณจะต้องสนใจในสิ่งที่แววมาเสนอ” แวววรรณเดินตามเขาเข้าไปในบ้า
“ว้าย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะคุณธัศ”“ไม่เอา ผมคิดถึงคุณจะแย่ รู้มั้ย?”“ฉันจะกลับแล้วนะคะ มันมืดแล้ว คุณไม่เห็นเหรอไง”“คุณนอนที่นี่ก็ได้นี่นา” เขาทำเสียงออดอย่างเอาแต่ใจ“ไม่ได้แล้วค่ะ เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นพี่เลี้ยงเด็กเหมือนเคย จะให้มาอยู่ที่บ้านคุณได้ไง เห็นฉันเป็นผู้หญิงใจง่ายเหรอคะ”ได้ฟังประโยคนี้เข้าไป ชายหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำนน“โอเคๆ ผมยอมก็ได้ แต่ว่าคุณต้อง…” เขาเริ่มมีเงื่อนไขเล่นเอาประภาพิณต้องถามกลับอย่างหวาดระแวง“แต่ว่าอะไรคะ” เธอช้อนตาขึ้นมองเขา“แต่ว่า…จูบผมก่อนสิ แล้วจะปล่อย”“ไม่เอาหรอก ตาบ้า” เธอเบือนหน้าไปอีกทางอย่างขัดเขิน“ก็ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนี่นา แค่จูบเองนะ นะครับ” เขาอ้อนเสียงอ่อน ตาคู่คมพราวระยับจนหญิงสาวใจอ่อนยวบ“ก็ได้ค่ะ” เธอพูดพร้อมโน้มต้นคอเขาให้ก้มลงต่ำมากขึ้นแล้วยกศีรษะขึ้นจุมพิตปากเขาเบาๆแล้วรีบถอยหน้าออกห่าง“ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ”“เดี๋ยวสิ เรียกตัวเองว่าแฟนก่อน” เขายังมีเงื่อนไขอีกข้อ ทำเอาหญิงสาวตีหน้าบูด“เอาน่า อย่าหน้างอสิครับ น่านะ เรียกตัวเองว่าแฟน ผมว่ามันฟังดูน่ารักดีออกนะ” เขาก้มหน้าลงพูดใกล้ๆเธอโดยไม่สนใจสักนิดว่าร่างบางที่เข
อเนกยิ้มออกมาอย่างคนเมาๆเบลอๆ ตาฉ่ำไปหมด ในขณะที่โจ้เหยียดริมฝีปากออกอีกครั้งอย่างหยันๆ“ไหนล่ะครับพี่ ค่ายาแห่งความสุข” โจ้แบมือตรงหน้าเขาพลางกระดิกไปมา“อยู่ในลิ้นชัก เป็นเงินที่ผมเก็บไว้มานาน คุณไปหยิบสิ” อเนกบอกพร้อมยิ้มแหะๆอย่างมีความสุขโจ้เดินตรงไปเปิดลิ้นชักพร้อมกับหยิบกระปุกชินจังออกมาเปิดฝาในนี้ไม่มีเหรียญสักเหรียญเดียว มีแต่ธนบัตรใบละหนึ่งร้อยเต็มไปหมดโจ้หันไปมองอเนกอีกครั้งก่อนจะหยิบเงินออกมาหมดกระปุกเงินทั้งกระปุกนี่คงเกือบหมื่น….เขาขอไปหมดเลยก็แล้วกันโจ้รีบเก็บธนบัตรใบแดงๆยัดใส่กระเป๋าสะพายของตัวเองอย่างว่องไวพร้อมกับหันไปบอกอเนกตามมารยาทว่า“ผมกลับก่อนนะพี่”“อือ” อเนกชูสองนิ้วให้โจ้แล้วมองตามหลังโจ้ที่เปิดประตูออกไปจากบ้านของเขาแล้วด้วยสายตาขอบคุณอนิจจา…อาจารย์หนุ่มผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์…ตอนนี้เขามีสภาพไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่งที่หลงมัวเมาอยู่กับสารเสพย์ติดจนถอนตัวไม่ขึ้นณ วันนี้ อเนกได้ก้าวเข้าสู่นรกเต็มตัวแล้วอย่างสมบูรณ์!!ตอนเย็นของวันต่อมาธัศไนยขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรู้สึกว่าช่วงนี้อเนกจะไม่ค่อยไปโรงเรียนโดยอ้างว่าไม่สบายมาหลายวันแล้ว หลังเลิกงาน เขาจึงขับรถแวะมาเย
ร่างสูงถอดแว่นตาสีชาออกจากใบหน้าคมคาย ดวงตาเพ่งมองไปที่ป้ายประกาศหน้าร้านดอกไม้เล็กๆอย่างงงๆ ‘ปิดร้านชั่วคราว’ เธอปิดร้านทำไม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า1อาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อเลิกจากงาน เขาจะต้องรีบมาที่ร้านของประภาพิณเสมอ แต่ทุกครั้งที่มา…เขาก็จะได้เห็นแต่ป้ายปิดร้านชั่วคราวแปะอยู่ที่หน้าร้าน beautiful flowerทั้งรักทั้งคิดถึง อยากเห็นหน้า อยากเจอ อยากพูดคุยด้วย แต่ก็เห็นได้แค่หน้าร้าน…แค่ได้มองร้านดอกไม้ ก็รู้สึกสุขใจ แม้ว่าจะมีความเศร้าแฝงอยู่บ้างก็ตามเขาเป็นอาจารย์มีหน้าที่สอนนักเรียน ต่อให้สภาพจิตใจของเขาจะย่ำแย่ขนาดไหน เขาก็หยุดงานไม่ได้แต่ถึงเขาจะไปทำงานตามปกติ แต่หัวใจเขากลับไม่ปกติ อาหารเขาก็ทานไม่ได้เยอะเหมือนเก่า หน้าหล่อๆก็เริ่มซูบลงเพราะตอนกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับเมื่อไหร่นะ…ความทรมานที่เขาได้รับมันจะหายไปเสียทีธัศไนยถอนหายใจเฮือก ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งในรถยนต์ตามเดิมแล้วค่อยๆขับจากไปด้วยหัวใจที่ยังหนักอึ้งเหมือนมีหินนับพันก้อนมากดทับเอาไว้จนเขาหายใจไม่สะดวกวันเวลาคือยาวิเศษที่จะสามารถรักษาแผลใจให้เขาได้ แต่กว่าเขาจะลืมรักเธอได้ เขากลัวว่า…ลมหายใจเขาจะหมดลงเสียก่อนน่ะสิ!!อ
คำว่ารักที่เขาบอกเธอไป มันไม่มีค่าเลย เธอไม่เคยมองเห็นความรู้สึกที่เขามีต่อเธอ ไม่เคยมอง…และก็คงไม่อยากมอง“พาฉันไปส่งที่ร้านดอกไม้หน่อยค่ะ ต่อไปนี้เราสองคนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนวันที่เราไม่เคยรู้จักกัน เพราะฉัน…ไม่อยากรู้จักกับผู้ชายที่ชอบล่วงเกินฉันอย่างคุณ!!”ประโยคนี้ของเธอมันยังดังก้องอยู่ในหูเขา คำพูดที่อยากจะกล่าวออกมาเพื่อรั้งเธอเอาไว้ก็ไม่ยอมหลุดพ้นออกจากริมฝีปากในเมื่อเธอไม่อยากรู้จักกับเขาอีกต่อไป ในเมื่อเธออยากไปจากเขาเสียเต็มประดา แล้วเขาจะรั้งเธอไว้ทำไมล่ะ จริงไหม?เธอคงอยากกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมโดยไม่มีเขาไปคอยสร้างความรำคาญใจความสุขของเธอคือการไม่ได้เห็นหน้าเขา เขาก็ควรจะปล่อยเธอไปถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเจ็บมากขนาดไหนก็ตามเจ็บอย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกแบบนี้ได้ ผู้หญิงคนอื่นๆหรือแม้แต่แวววรรณ ผู้หญิงที่เขาคบด้วยคนล่าสุดก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกแย่ได้ถึงขนาดนี้มีประภาพิณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาร้องไห้ได้เพียงแค่คิด น้ำบางๆก็ฉาบที่ดวงตาคู่คม เขาก้มหน้าลงพร้อมซบหน้าลงกับเข่า นั่งลงบนสนามหญ้าสีเขียวข้างๆแปลงผักด้วยความเจ็บปวดและอ้างว้างที่สุดดวงตะวั