ศิลาขยับตัวขึ้นนั่ง กดรีโมทเปิดไฟจนสว่างไปทั่วทั้งห้อง เขาขยับเข้าใกล้ชมพู่ แต่รายนั้นกลับขยับออกห่างพร้อมกับทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ หมอหนุ่มถอนหายใจ เขาเลิกล้มความพยายามที่จะเข้าหาเธอในตอนนี้ ชมพู่กำลังโกรธจนไม่ยอมให้เขาแตะตัวแล้ว“ค่ะ พี่รู้อยู่แล้วว่าคืนนั้นมันไม่มีอะไร”“รู้อยู่แล้ว? แล้วทำไมถึงได้ยอมแต่งงานกับฉันล่ะคะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นฉันก็บอกไปแล้วว่าไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้ แต่คุณก็ยังปฏิเสธ หรือคุณแค่เห็นฉันเป็นตัวตลก เป็นผู้หญิงโง่ๆ คนหนึ่งที่คิดว่าเลือดประจำเดือนคือเลือดบริสุทธิ์ เลยร้องห่มร้องไห้บังคับให้ผู้ชายมาแต่งงานด้วย”“ชมพู่! พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น” ศิลาขึ้นเสียงกับภรรยาเป็นครั้งแรก แต่จะเรียกว่าขึ้นเสียงก็คงไม่ถูก เพราะศิลาแค่ส่งเสียงดังกว่าปกตินิดเดียว...“แล้วคุณคิดแบบไหนล่ะคะ”"ถ้าพี่ตอบ เราพร้อมจะฟังพี่ไหมล่ะ""ฉันก็ฟังอยู่นี่ไงคะ"“โอเคค่ะ ก่อนอื่น... ตอนแรกพี่ไม่รู้ว่านั่นคือเลือดประจำเดือน จนกระทั่งตอนที่เข้าไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้ชมพู่ พี่เห็นห่อผ้าอนามัย”“.....”“แต่ที่พี่ยังปล่อยให้เรื่องมันดำเนินจนมาถึงจุดนี้ เพราะพี่ตั้งใจ”“หมายความว่ายังไงคะ”“สามเดือนกว่าท
“แวะห้างนี้ก่อนได้ไหมคะพี่หมอ ชมพู่อยากกินก๋วยเตี๋ยวร้านประจำ”ชมพู่เอ่ยขอเมื่อศิลากำลังจะขับรถผ่านห้างชื่อดังที่เป็นห้างประจำของเธอสมัยเรียน เธอไม่ได้มาเดินซื้อของแพงๆ หรอก แต่ที่นี่มีร้านก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกเจ้าอร่อยและราคาไม่แพงซ่อนอยู่ น้อยคนนักที่จะรู้ เพราะส่วนมากคนที่มาเดินห้างนี้ก็เข้าแต่ร้านหรูๆ กันทั้งนั้นศิลาเลี้ยวรถเข้าห้างที่ชมพู่บอกอย่างตามใจ พวกเขาอยู่กรุงเทพฯ มาได้สี่วันแล้ว หลังจากวันนั้นพอลองชุดเสร็จชมพู่ก็ไข้ขึ้น เขาเลยต้องรีบพาภรรยาตัวน้อยกลับบ้านไปพักผ่อน ป้อนข้าวป้อนยาให้ไม่เคยขาด กว่าจะหายเป็นปกติจนออกมาข้างนอกได้แบบนี้ก็สามวันเต็มๆ ชมพู่บ่นแล้วบ่นอีกว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เธอป่วย ศิลาไม่ปฏิเสธ วันนั้นเขาไม่ได้ถนอมชมพู่เท่าไหร่ เขาเลยไถ่โทษด้วยการดูแลเธออย่างดีตลอดสามวันมานี้“ร้านนี้แหละค่ะ” ชมพู่เอ่ยเสียงตื่นเต้น ก่อนจะดึงแขนหมอศิลาเข้าไปในร้าน ตากลมมองไปรอบๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมอยู่เลย ก็แน่ล่ะ... เธอจากกรุงเทพฯ ไปได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ“ชมพู่ชอบร้านนี้เหรอ”“รักเลยล่ะค่ะ” หญิงสาวตอบเจือยแจ้ว หลังจากดูดน้ำอัญชันมะนาวด้วยหลอดผักจนสดชื่นแล้ว “ที่นี่ถิ่นเก่าชมพู่ ใก
ประเทศเกาหลีใต้เป็นประเทศในฝันของใครหลายคนว่าต้องได้มาเยือนซักครั้งในชีวิต ทั้งอากาศที่ดี การเดินทางที่สะดวกสบาย ความเป็นระเบียบของบ้านเมือง คนหล่อสวยที่เดินพลุกพล่านไปมา หรือแม้แต่อาหารที่มีเอกลักษณ์และน่าลิ้มลองชมพู่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เธออยากลองมาเที่ยวที่ประเทศนี้ตั้งนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส ชมพู่เป็นแฟนซีรีส์แนวสืบสวนของเกาหลี บางเรื่องสนุกจนเธอดูไม่ยอมหลับยอมนอนเลยก็มี พอได้มีโอกาสมาเยือนประเทศที่ชอบละครของเขาเธอเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ“หนาวไหมคะ” ศิลาถาม เขากระชับผ้าพันคอให้ชมพู่เมื่อออกมาจากสนามบิน ตอนนี้อยู่ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน อากาศหนาวจัดเกือบติดลบ หนาวจนต้องใส่เสื้อผ้าสี่ห้าชั้น ไม่รู้ว่าจะได้เที่ยวบ้างไหมอากาศเพราะไม่ค่อยเป็นใจแบบนี้“หนาวค่ะ” ชมพู่ตอบพลางทำหัวสั่นๆ ไปมาให้คนเป็นสามีรู้สึกเอ็นดู ยิ่งแต่งงานชมพู่ยิ่งเด็กลง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทั้งสองยืนหนาวเพียงไม่นานรถของทางโรงแรมก็มารับ ศิลาเลือกการมาฮันนีมูนครั้งนี้เป็นทริปแบบสบายๆ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายมันสูงกว่าปกติ แต่เขาไม่อยากให้ชมพู่ต้องลำบากเกือบสองชั่วโมงทั้งคู่ก็มาถึงโรงแรม เข้าเช็กอินเรียบร้อยก็ตัดสินใจนอนเ
วันฮันนีมูนที่แสนหวานของคู่สามีภรรยามือใหม่จบลงอย่างรวดเร็ว ศิลาและชมพู่บินกลับมาที่ประเทศไทยอย่างสวัสดิภาพ ได้พักเพียงแค่วันเดียวก็ต้องเดินทางไปค้างแรมที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงฉลองในอีกสองวันข้างหน้า ทุกอย่างพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อม เพราะงานทั้งหมดคุณหญิงศศิมาจัดการเอง ไม่ต้องให้คู่แต่งงานใหม่ที่อยากดื่มด่ำความหวานต้องมาเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อยและเพราะมอบหน้าที่จัดงานทั้งหมดให้แม่สามีไปแล้ว ชมพู่ที่เป็นเจ้าสาวจึงไม่คิดคัดค้านอะไร แม้ว่าภาพของงานตรงหน้านี้จะทำให้เธออึ้งไปซักพัก แต่เมื่อตั้งสติได้ก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คุณหญิงศศิมา และหันกลับไปมองที่ทิศทางเดิมอีกครั้ง...ห้องบอลรูมขนาดใหญ่จุคนได้ประมาณห้าร้อยถึงหนึ่งพันคนถูกเนรมิตจนไม่เหลือเค้าเดิม ทั้งห้องถูกประดับประดาไปด้วยคริสตัลหลากหลายรูปทรง และคริสตัลนับพันนับหมื่นนั้น เมื่อกระทบกับแสงไฟก็เปล่งประกายจนตาพร่าไปหมด ทางเดินตรงกลางปูด้วยพรมสีแดง ข้างๆ พรมมีต้นกุหลาบจริงตั้งอยู่ตั้งแต่ปลายพรมจนถึงเวทีเหมือนจำลองเป็นสวนขนาดย่อม โต๊ะของแขกเป็นโต๊ะยาวตั้งขนาบข้างกับพรมสีแดงสด บนโต๊ะประดับด้วยเชิงเทียน ลูกแก้ว ผ้าลูกไม้ และด
บ่าวสาวก้มจูบกันอีกหลายครั้งจนพิธีกรเอ่ยแซวถึงได้หยุด บรรยากาศการเลี้ยงฉลองเต็มไปด้วยความชื่นมื่น ศิลาและชมพู่สวยหล่อเหมาะสมกันจนคนที่มาร่วมงานเอ่ยชมไม่หยุดญาณินหันหน้าหนีภาพนั้น เธอกลั้นก้อนสะอื้นที่แล่นมาจุกที่คออย่างทรมาน ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลาที่ขาดน้ำ หายใจไม่ออก ไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวเดิน“เจน”แต่แล้วเสียงทุ้มของใครบางคนก็เหมือนอุ้งมือที่อุ้มประคองปลาที่กำลังขาดน้ำอย่างเธอให้ลงน้ำได้อีกครั้ง ญาณินสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้เจ้าของเสียงนั้น“วะ...ว่า”“ทำไมมาอยู่ตรงนี้”ไตรทศถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง สีหน้าญาณินไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขารู้มาว่าเธอไม่ได้นอนเลยก่อนมางานนี้ เพราะต้องอยู่เวรติดกันเกือบห้าสิบชั่วโมง ได้งีบหลับบ้างแต่ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงคนเป็นหมอก็แบบนี้ ทำงานจนร่างกายแทบพัง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อรักษาคนเจ็บคนป่วยต่อไป“คนเยอะ อึดอัดน่ะ”“กลับก่อนไหม”“ไม่เป็นไร” ญาณินตอบเสียงเบา ก่อนจะเอ่ยขอตัวจากอีกฝ่าย “ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”..“ฮึก!”เมื่อพ้นสายตาผู้คน น้ำตาที่พยายามเก็บกลั้นไว้ก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย ญาณินพิงร่างกับกำแพงเย็นเฉียบ
หลังจากงานเลี้ยงที่กรุงเทพฯ ผ่านพ้นไป คู่แต่งงานใหม่ก็เดินทางกลับต่างจังหวัดทันที ชมพู่เดินทางกลับมาพร้อมศิลาแค่สองคน ส่วนคนที่เหลือตั้งใจว่าจะอยู่เที่ยวที่กรุงเทพฯ ต่อ เพราะไม่ได้มีโอกาสไปบ่อยๆ“ไหวไหม” ศิลาถามคนที่หน้าซีดเผือดด้วยความเป็นห่วง เขาประคองชมพู่ไปนั่งบนโซฟาไม้ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน สีหน้าของชมพู่ไม่ดีเลยจนเขาร้อนใจ“ไหวค่ะ” ชมพู่พยักหน้ารับเบาๆ ประคองถุงน้ำร้อนที่วางอยู่บนหน้าท้องไว้แน่น “วันแรกๆ ก็แบบนี้ อีกซักพักก็จะหาย”“แต่ปวดท้องประจำเดือนมากๆ มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยนะ พี่ว่าเราควรไปตรวจ...”“ไม่เอาค่ะ” ชมพู่ส่ายหน้ารัวๆ ให้เธอไปนอนอ้าขาให้คนอื่นมาดูน้องสาวแบบนั้นเธอไม่กล้าจริงๆ “มันเป็นเรื่องปกติของผู้หญิง พี่หมออย่ากังวลไปเลยค่ะ”“ไม่ให้พี่กังวลได้ยังไง เมียพี่เจ็บแบบนี้” สีหน้าของหมอหนุ่มเต็มไปด้วยความกังวลอย่างไม่ปิดบัง เขาเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ร่วงลงมาปรกใบหน้าของชมพู่ออกให้แผ่วเบา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นจนชมพู่ต้องรีบยิ้มประจบ“ไม่เครียดสิคะพี่หมอ~” หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ร่างใหญ่ที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น “ไหน ทำไมคิ้วติดกันแบบนั้นคะ ใครทำให้พี่หมอของชมพู่เคร
“ช่วงนี้ชมพู่กลับไปที่บ้านบ่อยเหรอ”ศิลาถามขึ้นในวันที่เขาได้กลับมากินข้าวบ้านพร้อมกับภรรยาครั้งแรกในรอบอาทิตย์ ช่วงนี้เข้าใกล้เทศกาลปีใหม่แล้ว และสิ่งที่ตามมาพร้อมเทศกาลเหล่านี้ก็คืออุบัติเหตุ หมอแบบเขาแทบไม่มีเวลาได้พัก เพราะคนเจ็บเข้ามาไม่ขาดสายเหมือนโรงพยาบาลมีของแจกฟรี“ค่ะ อยู่บ้านคนเดียวมันเบื่อๆ ก็เลยกลับไปช่วยงานพี่พร้าว”“พี่ขอโทษนะที่ไม่มีเวลาให้เราเลย” ศิลาเอ่ยเสียงแผ่ว เขามีความสุขกับการทำงานมาโดยตลอด แต่พอมีครอบครัว เขาก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันเกินตัวเกินไป แต่เขาก็หยุดไม่ได้ ถ้าเขาหยุด... คนเจ็บที่รอความช่วยเหลือจากเขาคงลำบาก“ชมพู่ไม่ได้ว่าอะไร ชมพู่เข้าใจงานของพี่หมอ”“แต่พี่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี” ศิลาทำหน้าเครียดจนชมพู่ต้องเอื้อมมือมาจับมือหนาไว้ เธอออกแรงบีบมือนั้นเบาๆ ไม่อยากให้หมอศิลาต้องมากังวลเพราะเธอ แค่งานที่ทำอยู่ก็หนักจะแย่แล้ว “ไว้หลังปีใหม่เราไปเที่ยวกันดีไหม ไปต่างประเทศหรือว่าขึ้นดอยดี อากาศกำลังดี”“ยังไงก็ได้ค่ะ” ชมพู่ไม่เรื่องมาก ไปที่ไหนก็ได้แค่มีหมอศิลาอยู่ก็พอชีวิตหลังแต่งงานมันไม่ได้เป็นแบบที่ชมพู่คิดไว้ ได้มีเวลาหวานกันแค่ไม่กี่สัปดาห์ทุ
เสียงอึกทึกดังลั่นไปทั่ว การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในปีนี้คึกคักกว่าทุกปี ตั้งแต่ตอนเช้าที่วัดจะมีการทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ พอตกค่ำก็จะมีงานวัดและตามบ้านก็เริ่มตั้งวงเหล้าตามประสา หรือหนุ่มสาวคู่รักก็อาจจะไปเที่ยวตามงานที่จัดไกลๆ หน่อย ไม่ก็ขึ้นดอยไปนับถอยหลังเข้าปีใหม่ด้วยกันหรือปล่อยโคมเช้าวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม ชมพู่ตื่นขึ้นมาช่วยงานแม่ตั้งแต่เช้ามืด เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนที่บ้านหมอศิลา เพราะหมอศิลาเองก็ไม่ได้กลับบ้าน เธอจึงตัดสินใจกลับมานอนที่บ้านพ่อเพราะจะช่วยแม่เตรียมของใส่บาตรพระในตอนเช้า กว่าจะเตรียมทุกอย่างเสร็จก็ปาไปเกือบหกโมงแล้ว ทั้งบ้านรีบเดินทางไปที่วัดเพื่อรอตักบาตรครั้งใหญ่ในรอบปี“ค่าพี่หมอ” ชมพู่รับโทรศัพท์จากหมอศิลา เธอเดินเลี่ยงเสียงดังเพื่อที่จะได้คุยกับปลายสายได้ถนัด‘ชมพู่อยู่ไหนคะ’“วัดค่ะ ชมพู่มาใส่บาตรกับแม่” เธอตอบเสียงสดชื่น ทำให้คนที่เพิ่งเลิกงานรู้สึกสดชื่นตามไปด้วยแม้ร่างกายจะอ่อนล้ามากแค่ไหน “พี่หมออยู่ไหนคะ”'พี่เพิ่งถึงบ้าน เดี๋ยวพี่ไปหาชมพู่นะ จะทันหรือเปล่า’“จะมาหรอคะ!?” ชมพู่ถามเสียงหลง ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าหมอศิลาเหนื่อยล้าแค่ไหน เธออยากให้เขาได้น
“อะไรนะพี่มิว? ท้องอีกแล้ว!?”“ใช่จ้ะ” มือบางลูบหน้าท้องที่ยังแบนเรียบของตัวเองเบาๆ ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสุขจนชมพู่เปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทันเธอตกใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้...“หมอเจนบอกว่าสองเดือนแล้ว”“แต่... น้องพิมเพิ่งจะได้ขวบเดียวเองนะพี่มิว แบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?”ชมพู่พูดพลางมองไปที่เด็กน้อยที่กล่าวถึงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะมองเลยไปที่เด็กชายอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ทั้งหมดเกิดจากพ่อและแม่คนเดียวกัน และที่สำคัญ... ทั้งสามคนอายุห่างกันไม่ถึงปีมีลูกหัวปีท้ายปี พี่ชายเธอจะขยันเอาเหรียญทองหรือยังไง...“ไหวสิ พี่ไม่ได้ทำงานที่ไหนอยู่แล้ว อีกอย่าง... น้องพิมเองก็เริ่มโตแล้ว”“แต่... ขวบเดียวเองนะ...” ชมพู่จะเป็นลม หนึ่งขวบนี่นะเรียกว่าโตแล้ว เพิ่งเดินได้ เพิ่งหัดเรียกพ่อกับแม่ได้เอง ยังไม่หย่านมด้วยซ้ำ...แต่เอาเถอะ เรื่องครอบครัวของพี่ชายเธอจะไม่ยุ่ง ถ้าทั้งคู่บอกว่าเลี้ยงไหวก็คือไหว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่พร้าวและพี่มิวก็ไม่เคยรบกวนให้คนอื่นมาช่วยเลี้ยงลูกเลย มีแต่จะโดนปู่กับย่าแย่งตัวหลานๆ ไปเลี้ยงเองเสียมากกว่าพี่พร้าวของเธอสละโสดเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แล
เช้าวันจันทร์ ชมพู่ลืมตาขึ้นมาในช่วงเวลาเดิม เสียงไก่ที่เริ่มขันดังอยู่ไกลๆ แสงพระอาทิตย์จางๆ เริ่มกระจายตัวไปทั่วหญิงสาวก้มมองมือที่พาดอยู่บนเอว ความอบอุ่นจากเนื้อตัวของอีกฝ่ายช่วยไล่อากาศหนาวๆ ออกไปจนไม่อยากออกห่างจากอ้อมแขนนี้แม้แต่วินาทีเดียว ลมหายใจอุ่นๆ รินรดอยู่ที่ซอกคอ สามีเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม ชอบนอนซุกซอกคอเธอเหมือนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไม่มีผิดหญิงสาวพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เพราะหน้าที่ของคนเป็นแม่ทำให้เธอเกียจคร้านนอนซุกอ้อมกอดอุ่นๆ ของสามีจนสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ชมพู่ตัดใจยกแขนแกร่งออกจากเอว หมอศิลาที่เพิ่งได้นอนขยับตัวเล็กน้อย ชมพู่ชะงักค้าง เพราะกลัวว่าจะทำให้สามีที่เหน็ดเหนื่อยจากงานต้องตื่นจากฝันดีแต่สุดท้ายหมอศิลาก็หลับต่อ ดวงตาคู่คมยังปิดแน่นสนิท หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ชมพู่ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ย่องลงจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวชมพู่มองตัวเองในกระจกหลังจากแปรงฟันเสร็จ เธอส่งยิ้มให้คนในกระจกเหมือนกับทุกๆ เช้า เธอทำแบบนี้ตั้งแต่คลอดพระพาย เพราะมีความเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นวันด้วยรอยยิ้ม ก็จะทำให้วันนั้นทั้งวันมีแต่เรื่องที่มีความสุข... แต่การยิ้มบ่อยๆ
แอ๊ะ~“ยัยหนู น่าเกลียดน่าชังจังเลยหลานย่า” คุณหญิงศศิมาร้องออกมาเบาๆ ดวงตาจ้องมองเด็กน้อยตัวชมพู่ที่นอนอยู่บนที่นอนของตัวเองไม่วางตาเมื่อคืนกลางดึกเธอได้รู้ข่าวเรื่องที่ชมพู่กำลังจะคลอดจากลม น้องชายของชมพู่ที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยเพราะเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ทั้งครอบครัวพากันแตกตื่นไปหมด รีบหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุด เพื่อเดินทางมาเยี่ยมสะใภ้และหลานคนใหม่ทันทีแต่กว่าจะมาถึงได้ก็บ่ายแก่ๆ เข้าไปแล้ว ไม่ทันได้ลุ้นตอนชมพู่คลอดลูก แต่ความน่ารักของหลานก็ทำให้ความเสียดายนั้นมลายหายไปและโชคดีที่เด็กหญิงพระพายปลอดภัยดี แข็งแรง ร้องเสียงดัง น้ำหนักตอนคลอดปาไปสามกิโลถ้วน ไม่ต้องเข้าเตาอบ ตัวชมพู หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา“ชื่อพระพายหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามลูกชาย ตั้งแต่มาถึงเขาเห็นศิลายิ้มไม่หุบ ทำให้นึกถึงตัวเองเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนตอนนั้นเขาก็ยิ้มกว้างแบบนี้ ยิ้มจนพ่อตาแม่ยายพอกันล้อเลียน แต่เขาก็หุบยิ้มไม่ได้ได้เห็นหน้าลูกครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจนบรรยายออกมาไม่ถูกจริงๆ“ครับคุณพ่อ ชื่อพระพาย แปลว่าเทพเจ้าแห่งลม”“ชื่อน่ารัก ความหมายดี แล้วชื่อจริงล่ะ”“ยังไม่ได้คิดครับ ไว้ออกจากโรงพยา
ศิลาเป็นหมอ เวลาทุกวินาทีของเขามีค่ามาก เพราะนั่นหมายถึงความเป็นความตายของคนไข้ เขาไม่ชอบการรอคอย เพราะมันทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แต่ครั้งนี้หมอหนุ่มกลับยินดีที่จะเสียเวลารอคอยอะไรบางอย่าง สี่สิบสัปดาห์ สองร้อยแปดสิบวัน เขาไม่เคยคิดว่าเวลาที่ยาวนานนี้มันจะทำให้เขาต้องเสียเวลาเปล่าเลย กลับกัน... เขากลับรู้สึกว่าต่อให้ต้องรอนานกว่านี้ เขาก็ยินดีที่จะรอ“กู๊ดไนท์นะคะ คุณแม่” ปากหยักจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากเนียน ชมพู่ยิ้มจนตาปิด พี่หมอบอกฝันดี นั่นแปลว่าคืนนี้เธอจะต้องฝันดีแน่ๆ และรอยยิ้มของภรรยาก็ทำให้ศิลาอดใจไม่ไหว คุณหมอหนุ่มก้มลงหอมแก้มนุ่มหลายที ก่อนจะกระถดกายลงไปที่หน้าท้องใหญ่ “ฝันดีนะคะ พระพายของพ่อ”ศิลากดทั้งปากและจมูกลงบนหน้าท้องของภรรยา ป่านนี้ลูกเขาคงหลับแล้ว เพราะไม่มีการตอบรับใดๆ นอกจากแรงหายใจของคนเป็นแม่ ศิลาซุกหน้าอยู่แบบนั้นหลายนาที ก่อนจะขยับออกห่าง เขาปิดเสื้อนอนให้ภรรยา ห่มผ้าให้จนถึงคอ และทิ้งตัวนอนข้างๆ“พี่หมอ ฝันดีนะคะ”“งั้นขอจ้องหน้าชมพู่นานๆ หน่อยนะคะ พี่จะได้ฝันถึงชมพู่”“ทำไมคะ?”“ก็ฝันดีของพี่คือฝันถึงชมพู่นี่คะ”“พี่หมอ... จนลูกจะคลอดแล้วยังปากหวานอีกเหรอ
ตึง! ตึง! ตึง!“ติณณ์! อย่าวิ่ง!”“คิกคิก”“อย่าวิ่ง เดี๋ยวล้ม!”“ม่ายล้ม อ๊ะ!”ยังพูดไม่ทันขาดคำ ร่างเล็กๆ ที่วิ่งซนไม่ดูทางก็ชนเข้ากับร่างหนึ่งจนได้ เด็กน้อยโซเซจนล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น ส่วนอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเพราะตัวโตกว่าและตั้งตัวได้ทัน“น้องชมพู่!” ดาวเบิกตากว้าง รีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายก่อนใคร ตัดใจมองข้ามลูกชายที่นั่งแหมะอยู่ที่พื้น ไม่ใช่เพราะลูกสำคัญน้อยกว่า แต่ชมพู่กำลังท้อง แล้วเมื่อกี้ติณณ์วิ่งชนเข้าเต็มๆ “เป็นอะไรไหมคะ?”“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ฉันเอนหลบทัน เลยไม่โดนท้อง” ชมพู่ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะนั่งลงยองๆ แล้วเอื้อมมือไปจับแขนเล็กไว้ “ติณณ์ล่ะ เจ็บหรือเปล่า?”“ฮึ่ก มะ...” เด็กน้อยเบะปากเตรียมร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาแรงๆ“ไม่เจ็บก็ไม่ต้องร้องนะ น้ายังไม่ร้องเลยเห็นไหม”“หะ...เห็นคับ” เด็กน้อยว่าง่ายรีบเม้มปากแน่นกลั้นสะอื้น ไม่อยากร้องไห้เพราะคุณน้าคนสวยที่โดนชนก็ไม่ร้องเหมือนกัน ก่อนร่างเล็กจะลุกขึ้นตามแรงจับของชมพู่“นั่งนี่ก่อนนะ” ชมพู่ดันไหล่เล็กให้นั่งลงบนโซฟาไม้ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปข้างๆ “เมื่อกี้ที่วิ่งแบบนั้น ติณณ์ทำไม่ถูกนะรู้ไหม?”ดวงตาแป๋วจ้องมองชมพู่อย่างสงสัย เด็
“พี่ดาว เอาอันนี้ไปวางตรงนั้นให้ฉันทีนะ”“ค่ะน้องพู่” ดาวรับของจากมือของหญิงสาว ก่อนจะเดินไปจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายไหว้วาน ร่างบางค้อมตัวลงเล็กน้อยเมื่อเดินผ่านศิลาที่เดินสวนมา“ชมพู่ พี่บอกไม่ให้ทำ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง”คุณหมอหนุ่มตอนนี้ขมวดคิ้วแน่นกว่าตอนที่เจอเคสยากๆ เสียอีก เพราะความดื้อรั้นของภรรยามันเกินที่จะเยียวยาแล้ววันนี้เป็นวันแต่งงานของญาณินและปลัดภคิน ทั้งสองทำพิธีการที่สำคัญรวมถึงสวมแหวนกันไปแล้วตั้งแต่เช้า และช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ระหว่างนี้บ่าวสาวกำลังพักผ่อนอยู่ แต่เพื่อนเจ้าสาวอย่างชมพู่กลับออกมาจัดการเรื่องงานเลี้ยงตอนเย็นแทนเจ้าของงานเสียอย่างนั้น ศิลารู้ว่าภรรยาเขาหวังดี แต่แดดที่ร้อนจัดตอนนี้ก็ทำให้เขาเป็นห่วงเหลือเกิน“เสร็จแล้วค่า” ชมพู่รีบวางงานทุกอย่างลง แล้วหันมากอดเอวสอบของสามีไว้ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างออดอ้อน “ชมพู่ออกมาเดี๋ยวเดียวเองน้า”“มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา เจนกับปลัดเขามีเจ้าหน้าที่ช่วยอยู่แล้ว”“แต่ชมพู่รับปากไว้แล้ว...”“นั่นคือตอนที่ชมพู่ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อง แต่ตอนนี้ชมพู่ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ออกมาตากแดดร้อนๆ แบบนี้ถ้าเป็นลมไปจะ
เสียงบางอย่างที่ตกใส่กระทะร้อนๆ และตามมาด้วยกลิ่นหอมของเครื่องแกงทำให้คนที่เพิ่งตื่นท้องร้องจ๊อก เด็กหนุ่มหัวฟูหน้ามันเยิ้ม เดินเกาพุงโซเซเข้าห้องครัวตามกลิ่นของอาหารไป“พี่พู่~”เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดง่ายๆ อย่างเสื้อยืด กางเกงสามส่วนยืนอยู่หน้าเตา แขนเล็กขยับหยิบนู่นนี่นั่นใส่กระทะไปมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองตามไม่ทัน“ว่า” เจ้าของชื่อตอบกลับ แต่ไม่ยอมหันกลับมาหาคนเรียก มือจับตะหลิวพลิกสิ่งที่อยู่ในกระทะไปมาอย่างขะมักเขม้น“ทำอะไรอ่า”“ไม่มีตาหรือไง”“โธ่ ฉันถามดีๆ นะพี่”“แล้วฉันตอบไม่ดีตรงไหน”“...ยังจะมาถามอีก...” เปี๊ยกขมุบขมิบปากนินทาลูกพี่สาวเบาๆ เพราะไม่ต้องการให้คนถูกนินทาได้ยิน ถึงพี่พู่จะท้องอยู่ แต่พี่พู่ก็เตะก้นมันได้เหมือนเดิม ไม่เสี่ยงดีกว่า “ทำกับข้าวให้พี่หมอหรือจ๊ะ”“อืม ทำให้พวกเอ็งด้วย”“แต่พี่หมอบอกไม่ให้พี่พู่ตื่นเช้า อยากให้นอนให้เต็มที่” เปี๊ยกว่าตามที่เจ้าของบ้านสั่งอย่างเคร่งครัด แม้จะอยากกินฝีมือพี่พู่แค่ไหน แต่ถ้าพี่พู่เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมามันคงไม่แคล้วถูกพี่หมอไล่ออกจากบ้านเป็นแน่พี่หมอเห็นใจดีแบบนั้นแต่ก็เด็ดขาดกว่าใคร บางครั้งพี่พ
เจ็ดโมงเช้า คุณหมอศิลาเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยสภาพเหนื่อยล้า ใบหน้าคมอิดโรย เพราะเมื่อคืนมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉุกเฉินวุ่นวายไปหมด“กลับไหวไหมหิน” ญาณินถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอถูกโทรตามมากลางดึก แต่ศิลาเข้าเวรมาตั้งแต่เช้าเมื่อวาน เกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้วที่ไม่ได้นอนหรือแอบงีบเลย เขาดูเหนื่อยมากจนน่าเป็นห่วง“ไหว เจนอยู่ได้ใช่ไหม”“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะ ทุกอย่างเริ่มปกติแล้ว หินรีบกลับไปพักเถอะ หน้าซีดมากเลย”“อืม...”ศิลาพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินโงนเงนไปที่หน้าโรงพยาบาล เขาง่วงจนเดินไม่ตรง แต่เพราะเมื่อวานไม่ได้เอารถมา วันนี้เลยต้องเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปราวสองกิโลปกติระยะทางแค่นี้มันไม่ได้ไกลมากสำหรับศิลา แต่เพราะวันนี้ร่างกายคุณหมอคนเก่งประท้วงอย่างหนัก แค่เดินออกมาหน้าโรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนจะไม่ไหวแล้ว“คุณพ่อขา...”ในตอนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหมดแรงนั้นเอง เสียงใสๆ ของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิลาหันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องสนใจเสียงนั้นด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อยแต่ร่างเล็กๆ ที่กำลังวิ่งเข้ามาก็ทำให้เขาไม่สามารถเดินจาก
ตึง! ตึง! ตึง!เสียงตึงตังจากบนบ้านทำให้สองหนุ่มน้อยที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ตกใจจนเกือบวิ่งหนี ถ้าไม่เห็นว่าคนที่เดินลงจากบันไดมาคือพี่ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตพวกมันคงด่าไปแล้ว เสียงดังจนเหมือนว่ามีขโมยขึ้นบ้าน“พี่พู่ ตกใจหมด”“แหม พ่อคนขวัญอ่อน” ชมพู่กระแหนะกระแหนน้องรักพอเป็นพิธี เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในทุกเช้าเวลาที่ลมกับเปี๊ยกมานอนด้วยเพราะหมอศิลาเข้าเวรดึก“พี่จะรีบไปไหน ทำไมวิ่งเสียงดังแบบนั้น ถ้าคุณอรอนงค์มาเจอโดนตีขาลายแน่”“หน๊อย! เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งนะไอ้ลม ขู่ฉันด้วย ตั้งแต่สนิทกับผัวฉันนี่เก่งขึ้นเชียว”ชมพู่ชี้หน้าว่าที่คุณหมอ เดี๋ยวนี้ลมมันปีกกล้าขาแข็ง สุขุมนุ่มลึกขึ้นผิดหูผิดตา ไม่เหมือนลมที่เธอเคยรู้จักมาก่อนเลยหมอศิลาอาจจะไม่ได้ถ่ายทอดแค่ความรู้ให้น้องเธอ แต่อาจจะถ่ายทอดความเป็นผู้ใหญ่ให้ด้วย เพราะเมื่อเทียบกับเปี๊ยกที่เคยวิ่งเล่นมาด้วยกัน ตอนนี้ลมดูโตขึ้นมากจริงๆ“ไม่ได้ขู่ ฉันแค่เป็นห่วง”“เออๆ” พอพูดตรงๆ แบบนี้ชมพู่ก็รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ เธอแสร้งพยักหน้ารับไม่สนใจทั้งๆ ที่หูกำลังขึ้นสีแดงจัด “ฉันจะไปตลาด สายแล้ว”“ไปทำไมอะพี่” เปี๊ยกรีบถาม เพราะหมอศิลาบอกกับม