“ฉันพูด ฉันพูดแล้ว ฉันยอมพูดทุกอย่างแล้ว”ขาของจ้าวอู๋จี๋อ่อนลง และคุกเข่าลงบนพื้นทันที"เมื่อปีนั้น..."ก่อนที่เขาจะพูดจบ คอของจ้าวอู๋จี๋ก็บิดและหายใจไม่ออก“เป็นแบบนี้อีกแล้ว!”สายตาของฉู่เฉินเย็นชาทันทีดูเหมือนว่าวิธีการของคนที่อยู่เบื้องหลังนั้น น่ากลัวเกินกว่าที่ตัวเองจะจินตนาการไว้เสียอีกตอนที่ทุกคนที่กำลังจะเปิดเผยความจริง จะต้องพบกับความตายทันทีที่พวกเขาพูดถึงมันเหตุเพลิงไหม้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กชิงซานในตอนนั้น มีความลับมากมายอยู่เบื้องหลังพอฉู่เฉินคิดถึงสิ่งนี้ ก็รู้สึกได้กลิ่นแปลกๆ ว่าเรื่องไฟไหมในอดีตอาจเป็นเพราะเขา และทำให้คนอื่นๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กโดนลูกหลงไปด้วย“คุณปู่คณบดีและเพื่อนๆ ไม่ต้องห่วง ฉัน ฉู่เฉิน คนนี้ขอสาบานต่อฟ้าดินว่า ถึงแม้เรื่องมันจะซับซ้อนยุ่งยากแค่ไหนก็ตาม ฉันจะล้างแค้นให้พวกคุณทุกคนเอง!”ฉู่เฉินพูดอย่างเคร่งขรึม จากนั้นจึงตัดหัวคนสองคนแล้วจากไปไม่นานหลังจากที่ฉู่เฉินจากไป ก็มีร่างหลายร่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าพวกเขาเป็นปรมาจารย์ที่แฝงตัวอยู่ เพื่อเฝ้าดูการต่อสู้ริมแม่น้ำเจียนเจียง“ตรงนี้มีศพไร้ศรีษะสามศพ”“ทำไมมีสามศพได้ นอกจากจ้าวอู
“พี่เจ็ด” ฉู่เฉินมองไปที่หนิงชิงเสว่ ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ พร้อมแสดงท่าทีที่ซับซ้อนอย่างมาก“เสี่ยวสือโถว ไอ้ตัวแสบ ทำไมไม่บอกฉันว่านายคือเสี่ยวสือโถวห้ะ!” หนิงชิงเสว่พูดอย่างขุ่นเคือง“เพราะตอนนั้นคุณไม่เชื่อสิ่งที่ฉันพูด คุณเลือกที่จะหย่ากับฉันเอง และอีกอย่าง ฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นพี่เจ็ดสักหน่อย” ฉู่เฉินพูดอย่างเขินอาย ขณะที่เกาหัวเมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงชิงเสว่ก็หน้าแดงด้วยความเขินอายเช่นกันจริงๆ แล้วตัวเองแต่งงานกับเสี่ยวเฉินอย่างที่เคยบอกไว้ตอนเป็นเด็ก แต่น่าเสียดายที่ได้หย่ากันแล้ว“พวกพี่อยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว?” เสียงของฉู่เฉินเปลี่ยนไปและถามว่า“สิบนาทีกว่า” ฉู่เมิ่งเหยาคิดก่อนครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบไป“เห็นคนแปลกหน้ามาที่นี่บ้างไหม?” ฉู่เฉินยังคงถามต่อ“คนแปลกหน้า? ไม่นะ ฉันไม่เห็นใครเลย เกิดอะไรขึ้นเหรอ? เสี่ยวเฉิน”“ไม่มีอะไร”ฉู่เฉินส่ายหัวและไม่ได้ถามต่อ เหมือนว่าตัวเองจะคิดมากเกินไปจากนั้นเขาก็พาทั้งสองคนกลับไปที่อวี้หลงวานป้าหลานก็มีความสุขมากที่ได้พบกับหนิงชิงเสว่ เธอไม่เพียงแต่สั่งแม่บ้านจัดเตรียมห้อง แต่บอกให้หนิงชิงเสว่อยู่ที่นี่ด้วยหลังอาหารเย็น ฉู่เ
สนามบินจินหลิงขณะที่เครื่องบินลงจอดชายหนุ่มสวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะปรากฏตัวที่อาคารผู้โดยสารชายหนุ่มคนนี้คือฉู่เฉินเมื่อมาถึงจินหลิงแล้ว นอกจากบัตรเครดิตฉู่เซี่ยงตงยัดใส่มือเขาแล้ว ฉู่เฉินไม่ได้พกกระเป๋าเดินทางอื่น ๆ มาด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรอรับสัมภาระเขาปรากฏตัวตรงในอาคารผู้โดยสาร พร้อมที่จะขึ้นรถบัสของสนามบินและออกไป"สุดหล่อ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างๆฉู่เฉินหันไปมองและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมหน้ากากอนามัย แว่นกันแดดและหมวกแก๊ป สวมเสื้อผ้าจัดเต็มแม้จะต้องเผชิญหน้ากับคลื่นความร้อนในฤดูร้อนก็ตามและกำลังจ้องมาที่เขา ฉู่เฉินมองไปรอบ ๆ พร้อมชี้ไปที่ตัวเองนอกจากเขาแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่รอบๆ แล้ว เพราะผู้โดยสารคนอื่นๆ กำลังรอรับกระเป๋ากันอยู่“ใช่แล้ว คุณนั่นแหละสุดหล่อ ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม!”เสียงของผู้หญิงเต็มไปด้วยความอ้อนวอน“คุณต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร?” ฉู่เฉินไม่ปฏิเสธทันที“คุณช่วยฉันยกกระเป๋าหน่อยได้ไหมคะ?” ผู้หญิงคนนั้นพูดและล้วงตั๋วออกมาจากกระเป๋า“ทำไมคุณไม่เอามันเองล่ะ? ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายใช่ไหม?” ฉู่เฉินขมวดคิ้วเ
ฉู่เฉินก้มลงสำรวจดูตัวเอง ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติกับชุด แล้วทำไมถึงกล่าวหาว่าแต่งกายไม่เหมาะสม?"เขาเป็นเพื่อนของฉัน"โชคดีที่หลินอีนัวเข้ามาขัดอย่างรวดเร็วด้วยการโชว์บัตร ทำให้ไม่ต้องลำบากใจอีกต่อไป“ขอโทษครับ เชิญทางนี้ครับ!” เมื่อเห็นบัตรสีดำ บริกรก็ขอโทษทันทีและเดินนำทางพวกเขาเข้าไปนี่เป็นบัตรสีดำที่ออกร่วมกันจากธนาคารขนาดใหญ่ทุกแห่งในต้าเซี่ย ซึ่งมีสิทธิ์พิเศษในการรูดบัตรโดยไม่จำกัดวงเงิน ไม่ใช่แค่ใช้จ่ายได้ในร้านอาหารเท่านั้น แม้แต่โรงแรมสี่ฤดูก็ยังสามารถซื้อได้ด้วยโดยเลือกโต๊ะที่ติดหน้าต่าง ซึ่งทำให้สามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์และยังอยู่ตรงหัวมุมอีกด้วยหลินอีนัวยื่นเมนูให้ฉู่เฉิน “สั่งอะไรก็ได้ที่คุณต้องการค่ะ”“ข้าวผัดไข่” ฉู่เฉินพูดออกมาสามคำ โดยที่ไม่ได้ดูเมนู“อืม….ได้ค่ะ ข้าวผัดไข่สองจาน” หลินอีนัวพูดกับบริกรไม่มีใครเคยสั่งแค่ข้าวผัดไข่ที่นี่มาก่อนเมื่อพบกับฉู่เฉินเป็นครั้งแรก หลินอีนัวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไม่ได้ระวังตัว และได้ถอดอุปกรณ์ปลอมออกทันใดนั้น ใบหน้าที่สวยงามก็ถูกเปิดเผย ในขณะที่ถอดหมวกออกนั้น ผมยาวสีเข้มของเธอก็หล่นลงมาพาดไหล่และบ่า ท
“แก แกพูดว่าอะไรนะ? ไหนพูดอีกครั้งสิ” นายน้อยหยางแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน“ฉันบอกว่าออกไปให้พ้นหน้าฉัน ได้ยินชัดหรือยัง?” ฉู่เฉินจ้องมองนายน้อยหยางแล้วพูดอีกครั้ง“ไอ้หน้าอ่อน รนหาที่ตายซะแล้ว! ในจินหลิงไม่มีใครกล้าพูดกับฉันแบบนั้น แกเป็นคนแรกและจะเป็นคนสุดท้าย ฉันอยากให้แกตาย!” นายน้อยหยางตะโกนใส่หน้าฉู่เฉิน ฉู่เฉินตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการตบหน้านายน้อยหยาง"เพี้ยะ"เสียงตบดังก้องไปทั่วทั้งร้านอาหาร“แก แกกล้าตบฉันเหรอ?” นายน้อยหยางกุมหน้าที่ถูกตบไว้ “หวังลี่ ฆ่ามัน!”หวังลี่เป็นชื่อของชายที่ยืนอยู่ข้างหลังนายน้อยหยางเมื่อได้ยินคำสั่งของนายน้อยหยาง หวังลี่ก็ไม่ลังเล เอื้อมมือไปที่เอวแล้วดึงปืนพกออกมา“ฉู่เฉิน ระวัง!” หลินอีนัวตะโกนออกด้วยความตกใจ"ปัง!"หวังลี่ยิงปืนออกมา!เสียงปืนดังก้องไปทั่วร้านอาหาร"มีคนฆ่ากัน!"ทันใดนั้น ลูกค้าในร้านอาหารก็เหมือนมดรังแตก ต่างก็วิ่งหนีเอาตัวรอดมีเพียงนายน้อยหยางเท่านั้นที่ยังจ้องไปที่ฉู่เฉิน“ไอ้เด็กนรก แกยังไม่ตายอีกเหรอ!”นายน้อยหยางตกใจมาก เขาเห็นฉู่เฉินหยุดกระสุน โดยคีบไว้ระหว่างนิ้ว“คีบกระสุนด้วยมือเปล่า แกเป็นนักสู้โบร
“เฮ้อ ช่างมันเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลยค่ะ ฉู่เฉิน เอางี้ไหมฉันไปส่งคุณที่สนามบินเดี๋ยวนี้เลย คุณควรรีบออกจากจินหลิงนะคะ เรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะฉัน ที่ทำให้คุณอยู่ตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ อย่างน้อยฉันก็เป็นบุคคลสาธารณะ ตระกูลหยางคงไม่แตะต้องฉันท่ามกลางสายประชาชนเป็นแน่ เพียงแต่คงไม่สามารถมีอิสระได้เหมือนตอนนี้อีก" หลินอีนัวคิดทบทวนอยู่สักพัก ทำได้เพียงช่วยเหลือฉู่เฉินหลบหนี“ไม่จำเป็น แค่ไปส่งฉันที่ริมถนนก็พอ” ฉู่เฉินพูดอย่างส่งๆ และไม่มีท่าทางที่กังวล“คุณไม่กลัวตายจริงๆเหรอ?” หลินอีนัวยังคงกังวล“คนที่ควรกังวลก็คือพวกเขา!” ฉู่เฉินพูดขณะที่ก้าวเท้าลงจากรถ และไม่ได้อธิบายต่อ“เห้อ เอาที่สบายใจเลย” หลินอีนัวคิดในใจ รู้สึกว่าแม้ว่าเหตุการณ์นี้เธอจะเป็นต้นเหตุ แต่ก็ทำทุกอย่างสุดความสามารถแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถโน้มน้าวใจเขาได้ก็ตามหลังจากแยกกับหลินอีนัวแล้ว ฉู่เฉินก็ได้กลับไปที่โรงแรมสี่ฤดูฉู่เฉินกลับมาที่นี่ เพราะเชื่อว่าไอ้หยางเจี้ยนอะไรนั่นจะกลับมาอย่างแน่นอน“จองห้องพัก” ฉู่เฉินดึงของสิ่งเดียวที่เขามีออกมา นั่นก็คือบัตรเครดิตพนักงานต้อนรับไม่สนใจ จนกระทั่งเงยหน้า
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉู่เฉินก็มาถึงย่านที่อยู่อาศัยหรูหราเขาสัมผัสได้ว่าลมปราณเหลืออยู่ที่เขาเป่ามนต์ใส่ไว้ก่อนหน้านี้ อยู่ในระแวกชุมชนนี้ฉู่เฉินไม่ได้ทําให้ใครตกใจ แอบเข้าไปในชุมชนอย่างลับ ๆในวิลล่าสุดหรู ชายและหญิงสี่หรือห้าคู่รวมตัวกันในสระว่ายน้ำหยางเจี้ยนกำลังอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่มีแต่ความเย่อหยิ่ง ตอนนี้เขาดูเหมือนคนรับใช้มากกว่า“พี่ฮวา ปาร์ตี้ที่ผมจัดเป็นยังไงบ้าง?” หยางเจี้ยนกำลังประจบประแจงกับผู้ชายคนหนึ่งขณะรินเครื่องดื่มผู้ชายที่แขนข้างหนึ่งโอบเอวของผู้หญิงเอาไว้ และอีกข้างถือแก้วเครื่องดื่ม "ไม่เลวเลย หยางเจี้ยน ต้องบอกว่านายใช้ได้เลย ไม่เหมือนพวกเราที่ถูกผู้อาวุโสกดดันให้ฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา"“พี่เฉาอวิ๋นถ่อมตัวเกินไปแล้ว ทุกคนล้วนมีแรงบันดาลใจ ผมเองก็อยากจะเป็นปรมาจารย์วรยุทธเหมือนพวกคุณเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นผมจึงต้องค้นหาเส้นทางอื่น” หยางเจี้ยนฝืนยิ้มออกมา“ค่าใช้จ่ายในการเชิญคนดังเหล่านี้มาในครั้งนี้ ฉันก็จ่ายไปค่อนข้างสูงเช่นกัน”“ฮ่าๆ เป็นเพราะหยางเจี้ยนผู้รู้วิธีจัดการสิ่งต่างๆ ถ้าไ
“แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์ฉู่แห่งหนานเจียงอะไรนั่น แต่เมื่อพวกเราสี่คนร่วมมือกันก็ต้องวิ่งหนีเท่านั้น!”……"ก็ฉันนี่แหละ!" ฉู่เฉินพูดเรียบๆ ออกไปทันทีที่คำพูดจบลง ทั้งสี่คนก็มองหน้ากัน“ฮ่าๆ ขำจนท้องแข็งแล้วนิ พอแกอยู่ที่จินหลิง ก็บอกว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ฉู่ ฮ่าๆ แกรู้ไหมว่าถ้ามีคนมาได้ยินเข้า เพียงไม่กี่นาที ก็จะมีปรมาจารย์วรยุทธจำนวนหนึ่งตามไล่ล่าแก”“ฮ่าๆ แม้ว่าฉันจะบอกแกไปแต่แกคงจะไม่เข้าใจ งั้นเอางี้ฉันจะอธิบายแกแบบนี้แล้วกัน แม้ว่าจินหลิงและหนานเจียงจะอยู่ห่างกันหลายพันกิโลเมตร แต่ก็มีคนจำนวนมากมุ่งหน้าจากที่นี่ไปหนานเจียง เพื่อเหตุผลเดียวซึ่งก็คือการเด็ดหัวของปรมาจารย์ฉู่คนนั้น”“ถ้าไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าคนทรงอำนาจคนไหนที่อยู่เบื้องหลังปรมาจารย์ฉู่ จินหลิงคงเปิดการโจมตีแบบเต็มรูปไปนานแล้ว”เมื่อพูดถึงคนทรงอำนาจคนนั้น เฉาอวิ๋นก็หยุดพูดไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว“ตอนนี้ ค่าหัวมีมูลค่าถึงห้าหมื่นล้าน!”เมื่อพูดถึงเงินจำนวนนั้น แม้แต่เฉาอวิ๋นก็กลืนน้ำลาย แน่นอนว่าจำนวนเงินนี้ดึงดูดใจใครๆ หลายคน“ยังไงก็ตาม เนื่องจากแกเป็นคนที่ตลก แค่คุกเข่าขอโทษและใ
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่