หลังจากที่จ้าวอู๋จี๋จากไปแล้ว ฉินปิงเยว่ก็พูดกับคุณปู่ของเธอด้วยความกังวลใจ "คุณปู่คะ เราจะทำยังไงดี!”เธอไม่รู้ว่าตระกูลฉินจะรับมือกับสถานการณ์ตอนนี้อย่างไรหากบอกฉู่เฉินไป เกี่ยวกับการท้าประลองของจ้าวอู๋จี๋ ก็จะเกิดการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองคนอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากมุมมองของเธอ ฉู่เฉินยังเด็กเกินไปและไม่น่าจะเทียบได้กับคนมากประสบการณ์อย่างจ้าวอู๋จี๋หากพวกเขาไม่ได้บอกฉู่เฉิน ตระกูลฉินก็เสี่ยงต่อการถูกฆ่าล้างโคตรฉินปิงเยว่อดไม่ได้ที่จะพูด: "คุณปู่ หรือพวกเราควรหนีไปดีคะ?"“เห้อ เด็กโง่เอ้ย จะหนีไปไหนได้ล่ะ แม้ว่าพวกเราจะหนีไปได้ แล้วญาติคนอื่น ๆ ของตระกูลฉินจะทำยังไงล่ะ?” ฉินเหวินเทียนถอนหายใจเบา ๆในที่สุดตระกูลฉินก็มีหน้ามีตาในหนานเจียงจากพลังอำนาจของฉู่เฉิน และมีแนวโน้มจะกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมือง แต่ทันใดนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามเช่นนี้คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ฉินเหวินเทียนรู้อยู่แก่ใจดีแขกไม่ได้รับเชิญสองคนนั้น ทิ้งไว้เพียงชื่อปรมาจารย์จ้าวเท่านั้นแต่สำหรับคนที่เกิดและเติบโตมาในหนานเจียง ฉินเหวินเทียนรู้จักจ้าวอู๋จี๋บรรพบุรุษของตระกูลจ้าว
มีเพียงเรื่องเดียว หัวหน้าผู้ฝึกสอนมีบางอย่างที่อยากจะพูด!ในอดีต จากการเรียกทุกคนมารวมตัวกันในครั้งก่อน เป็นเพราะฉู่เฉินต้องการแสดงทักษะให้ทุกคนเห็นก่อนหน้านั้นก็คือตอนที่เย่ชิงเทียนยังมีชีวิตอยู่สุดท้ายแล้วก่อนที่ฉู่เฉินจะรับตําแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่ สี่ราชาสวรรค์ไม่เชื่อฟังใครสักคน“ไม่รู้สิ นายถามผิดคนแล้ว”ราชวงศ์อัคคีสวรรค์ขยิบตาไปยังใครบางคนที่อยู่ข้างๆ ในสำนักงาน ไม่เพียงแต่สี่ราชาแห่งสวรรค์เท่านั้น แต่ยังมีเยว่ฟู่หลงและเว่ยอิงลั่วอยู่ด้วยเห็นได้ชัดว่าราชาอัคคีสวรรค์หมายถึงคนสองคนนี้คนอื่นอาจไม่รู้ แต่ราชาอัคคีสวรรค์รู้ว่าคนสองคนนี้ที่ปรากฏตัวที่นี่ เพราะพวกเขามีสนิทสนมกับหัวหน้าผู้ฝึกสอนเมื่อเห็นราชาแห่งสวรรค์ทั้งสี่แห่งซวนหวู่ เยว่ฟู่หลงและเว่ยอิงลั่วก็ดูสับสน และในใจทั้งสองคนก็งุนงงไม่แพ้กันเว่ยอิงลั่วเหมือนว่าจะจำอะไรบางอย่างได้ และพูดอย่างไม่แน่ใจว่า: ไม่ใช่ว่าเกี่ยวกับข่าวลือเมื่อวานหรือเปล่าคะ?"“ข่าวลืออะไร?” ราชาวายุสวรรค์ถามอย่างรวดเร็ว“ มีข่าวลือในเมืองหนานเจียงว่า จ้าวอู๋จี๋ บรรพบุรุษของตระกูลจ้าวที่ถูกทำลายไปเมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆ ก็ปราก
วิชาซวนหยางเจว่!ผู้เฒ่าได้ถ่ายทอด"เคล็ดวิชาสวรรค์ชั้นเก้า ซวนหยางเจว่" ให้กับฉู่เฉิน และความลึกลับของ "เคล็ดวิชาเก้าสวรรค์ซวนหยางเจว่" อยู่ที่ความสามารถในการกลืนกินพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกมนุษย์ เพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานของตัวมันเองแน่นอนว่าสิ่งที่ฉู่เฉินนำออกมาไม่ใช่ "เคล็ดวิชาเก้าสวรรค์ซวนหยางเจว่" ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เกือบจะเหมือนกับวิชาแขนงย่อย แต่มันก็ยังมีความสามารถในการดูดกลืนพลังจิตวิญญาณวิชาแขนงย่อยคืออะไร?ไม่ว่าใครก็ตามที่ฝึก “วิชาซวนหยางเจว่” ไม่ว่าระดับวรยุทธจะอยู่ขั้นไหน ชีวิตและสมดุลล้วนตกอยู่ในห้วงความคิดของฉู่เฉินและจากห้วงความคิดฉู่เฉิน ถ้าเขาต้องการให้ผู้ที่ฝึกฝน “วิชาซวนหยางเจว่” นั้น สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นหุ่นกระบอกได้ทุกเวลานี่คือความโดดเด่นของ "เคล็ดวิชาสวรรค์ชั้นเก้า ซวนหยางเจว่"ผู้เฒ่าเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าต้องการฝึกฝนคนใต้บังคังบัญชา "วิชาซวนหยางเจว่" ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งไม่เพียงแต่ทำให้คนเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังช่วยให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความภักดีอีกด้วยนี่คือเหตุผลที่ฉู่เฉิน เขียนมันลงในสมุดเรียงความข
ฉู่เฉินรู้ว่าคนอื่นๆ กำลังคิดอะไรอยู่ และหลังจากอธิบายไปไม่กี่คำ ก็ปล่อยให้พวกเขาทั้งหมดไปเก็บตัวฝึกฝนวิชาเหลือเพียงเว่ยอิงลั่วและเยว่ฟู่หลงเท่านั้นเมื่อเห็นราชาสวรรค์ทั้งสี่แยกกันไปฝึกฝนวิชาทีละคน หัวหน้าผู้ฝึกสอนก็เรียกคนทั้งสองมาคุยเป็นการส่วนตัวเยว่ฟู่หลงไม่สามารถระงับความอดทนของตนได้ จึงถามอย่างกระตือรือร้นว่า "หัวหน้า เราฝึกฝน 'วิชาซวนหยางเจ่ว' ด้วยได้ไหมครับ?"เมื่อมองดูสีหน้าท่าทางของเยว่ฟู่หลง ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและลืมนิสัยใจร้อนของเขาไปแล้วเขายังคงจำได้ว่าเป็นเพราะนิสัยใจร้อนของเย่ว่ฟู่หลงนั่นเอง ที่ทำให้เขาตอบตกลงรับปากที่จะเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่ความรักชาติและความจงภักดีต่อต้าเซี่ย!ฉู่เฉินแสดงสีหน้าจริงจัง และพูดอย่างเคร่งขรึม: "เยว่ฟู่หลง เว่ยอิงลั่ว ฉันสามารถสอนวิชาขั้นสูงให้กับพวกคุณได้ แต่มีข้อแม้คือต้องมาเป็นลูกศิษย์ของฉัน พวกคุณจะเต็มใจหรือเปล่า?"ฉู่เฉินมีความคิดที่จะฝึกฝนทั้งสองคนต่างจากสี่ราชาแห่งสวรรค์และผู้พิทักษ์ทั้งแปด เยว่ฟู่หลงและเว่ยอิงลั่วแต่เดิมทีเป็นเด็กกำพร้าที่มีภูมิหลังคล้ายกัน และตอนนี้พวกเขากำลังหลั่งเลือดและเนื้อ เพ
“เสี่ยวเฉิน รอพี่หน่อยไม่ได้เหรอ? ถ้าฉันแต่งตัวไม่สวย แล้วจะทำให้ผู้หญิงคนอื่นยอมหลีกทางได้ยังไง”“นายก็รู้ว่าในฉู่โจว ตอนนี้นายคืออัญมณีล้ำค่าที่เป็นที่หมายปองของคุณหนูจากตระกูลที่มีชื่อเสียง!”ก่อนที่ฉู่เมิ่งเหยาจะปรากฏตัว เสียงก็ดังทะลุออกมาจากห้องแล้ว“พี่ คนอื่นไม่รู้จักผมสักหน่อย”“ถ้าพี่ยังไม่ออกมาอีก ร้านอาหารที่ผมจองไว้จะปิดก่อนนะ!”แค่ต่อหน้าครอบครัวเท่านั้น ที่ฉู่เฉินจะแสดงด้านที่เป็นเด็กออกมา"เอาล่ะ ฉันมาแล้ว"เมื่อประตูเปิดออกพร้อมกับเสียง ฉู่เมิ่งเหยาก็ก้าวเท้าออกมาฉู่เมิ่งเหยาที่สง่างามได้แต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ความสวยนั้นไม่น้อยว่าดาราแนวหน้าของประเทศเลยปกติแล้วจะเห็นในชุดเครื่องแบบทหาร ซึ่งปล่อยออร่ากล้าหาญที่แผ่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนนี้เธอสวมชุดเดรส ทำให้ออร่าของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และชุดหลังนี้สามารถอธิบายได้ว่าเป็นความงามน่าดึงดูดแม้แต่ฉู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความตกตะลึง: “พี่หก พี่เหมือนนางฟ้าที่ลงมาจากสวรรค์เลย”บางทีอาจเป็นเพราะได้เห็นฉู่เฉินกลายเป็นบุคคลสำคัญในฉู่โจว หรืออาจเป็นเพราะฉู่เมิ่งเหยาไม่ได้มีแรงกดดันใดๆ แล้วในตอนนี้
ไม่นานนัก รถยนต์หรูก็ขับมาที่ทางเข้าโรงแรมทีละคันและไม่ใช่ใครอื่นนอกคนที่มาจากตระกูลเว่ยคนที่นำมาคือเว่ยเหล่าไท่ไท่จากตระกูลเว่ย ตามมาด้วยเว่ยไห่หลง เว่ยถงซานและคนอื่น ๆ “ชือยวี่ ชือยวี่ ฉู่เมิ่งเหยาอยู่ที่ไหน? รีบพาฉันไปที่นั่นเร็วเข้า!”ย่างก้าวของเว่ยเหล่าไท่ไท่ไม่เหมือนกับหญิงชราเลยนับตั้งแต่พิธีเข้ารับตำแหน่งซวนหวู่ครั้งใหญ่ เมื่อกลับไปที่ตระกูล เว่ยเหล่าไท่ไท่ก็รู้สึกกระสับกระส่ายและเป็นกังวลใจเธอกลัวอย่างยิ่งว่าหัวหน้าผู้ฝึกสอนของซวนหวู่จะมาสร้างปัญหาให้กับตัวเองยังไงแล้วสิ่งที่เธอทำในตอนนั้น จะต้องได้รับการกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอนหลังจากรอหนึ่งหรือสองวัน คนจากซวนหวู่ก็ไม่ได้มาสร้างปัญหาอะไรให้แก่ตระกูลเว่ยเว่ยเหล่าไท่ไท่ก็สัมผัสว่าไม่มีหนทางกลับไปคืนดีตราบใดที่สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับฉู่เมิ่งเหยาได้ ตระกูลเว่ยแห่งฉู่โจวจะยังคงเป็นตระกูลเว่ยอยู่ และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอิทธิพลและอำนาจในการปกครองฉู่โจวอีกด้วยก็ได้เธอคิดไม่ถึงเลยว่าชะตากรรมของตระกูลเว่ยจะต้องพึ่งพาคนนอกถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก คงไม่ปฏิบัติต่อฉู่เมิ่งเหยาและฉู่เฉินแบบนั้นแน่นอนเมื่อใดก็ตามที่
ขณะที่เว่ยเหล่าไท่ไท่กำลังพูด เธอกำลังจะเดินเข้ามากอดฉู่เมิ่งเหยา"นี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่?"ทุกคนต่างก็ดูสับสน“หญิงสาวคนนี้คือใคร ผู้นำตระกูลเว่ยซึ่งเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในปัจจุบันของเมืองฉู่โจวกำลังขอโทษหญิงสาวคนนี้จริงๆ เหรอ? โอ้คุณพระ ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ฉันเห็นอะไรอยู่เนี่ย!”“นายไม่ได้ยินหญิงชราเรียกเธอว่า 'หลานสาว' เหรอ? แน่นอนว่าเธอเป็นคนตระกูลเว่ยด้วย”“นายขอโทษหลานสาวตัวเองในที่สาธารณะ? และด้วยท่าทางแบบนี้เนี้ยนะ!”“นั่นก็จริง แล้วหญิงสาวคนนี้คือใครกันแน่?”“เมิ่งเหยา ฉู่เมิ่งเหยา ชื่อนั้นฟังดูคุ้นๆ นะ หรือว่าจะเป็นราชินีแห่งฉู่โจว?”เห็นได้ชัดว่าข่าวเกี่ยวกับการล่มสลายของตระกูลเจียง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในฉู่โจวยังไม่ได้รั่วไหลออกไป คนธรรมดารู้เพียงว่าการล่มสลายของตระกูลเจียงนั้นเกี่ยวข้องกับหญิงสาวคนหนึ่งส่วนคนรู้ความจริงต่างปิดปากเงียบ เนื่องจากสัญญาการรักษาความลับ และทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องลึกลับมากขึ้นไปอีกแต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า หญิงสาวคนนั้นเป็นเพียงตัวเร่งปฏิกิริยาเท่านั้นฉู่เมิ่งเหยาหลบเลี่ยงอ้อมกอดของเว่ยเหล่าไท่
เว่ยซือยวี่รีบทำตามคำพูดของเว่ยเหล่าไท่ไท่ แล้วคุกเข่าลงกระแทกพื้นเสียงดัง“เมิ่งเหยา กลับมาเถอะ ฉันขอโทษ!”เว่ยไห่หลงก็ได้คุกเข่าลงทันที“เมิ่งเหยา กลับมาเถอะ ฉันก็ขอโทษเธอเหมือนกัน”เว่ยถงซานก็คุกเข่าลงกระแทกพื้นเสียงดังเช่นกันเมื่อเห็นว่าฉู่เมิ่งเหยายังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เว่ยเหล่าไท่ไท่ก็ทำท่าทางเหมือนว่าเธอก็กำลังจะคุกเข่าลงด้วย“คุณพระคุณเจ้า ฉันกำลังดูอะไรอยู่กันแน่ หญิงสาวคนนี้เป็นใครกันแน่ สามารถทำให้เว่ยเหล่าไท่ไท่ คนที่ร่ำรวยที่สุดในฉู่โจว ณ เวลานี้ คุกเข่าลงและขอโทษต่อหน้าสาธารณชน”“นี่มันน่ากลัวเกินไป เธอมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน?”“ใช่ มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ !”……เมื่อเสียงที่ดังมาจากรอบข้าง ฉู่เมิ่งเหยาก็ตื่นตระหนกในที่สุดสำหรับคนอื่นๆ ไม่เป็นไร แต่เว่ยเหล่าไท่ไท่คือย่าของเธอ ยังไงเลือดก็ข้นกว่าน้ำ และจะให้คุกเข่าลงต่อหน้าสาธารณชน มันดูไม่เหมาะสมจริงๆแต่ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของตระกูลเว่ยแล้ว ฉู่เมิ่งเหยาก็ไม่อยากกลับไปหาตระกูลเว่ยอีกเลยฉู่เฉินปรากฏตัวขึ้นได้ทันเวลาพอดี“ฉันเคยบอกไปแล้วไง ว่าให้จำสิ่งที่พวกคุณเลื
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่