ฉู่เฉินยังคงนิ่งเงียบท่ามกลางฝูงชน และติดตามเพียงคนไม่กี่คนที่ต้องการไปยังฐานของพยัคฆ์ขาวฐานของพยัคฆ์ขาวคัดเลือกนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณที่พลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง ไม่ไกลจากคฤหาสน์ตระกูลหวัง และอาจกล่าวได้ว่าอยู่ภายในอาณาเขตของคฤหาสน์ตระกูลหวังด้วยซ้ำนักสู้นอกรีตทราบดีถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และซับซ้อนระหว่างพยัคฆ์ขาวและตระกูลหวังเมื่อมาถึง ฉู่เฉินสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่า มีนักสู้จำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่เป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับสถานที่คัดเลือกของหงส์เพลิงนี่เป็นเพียงวันแรกเท่านั้น และมีคนมาสมัครอย่างล้นหลาม ฉู่เฉินไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพยัคฆ์ขาวจะขยายตัวได้มากแค่ไหนหลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่งไม่มีทาง! ไม่สามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ได้เมื่อมองดูการคัดเลือกสมาชิกขององค์กรพยัคฆ์ขาวที่ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบตรงหน้า ฉู่เฉินก็ดูประหลาดใจถูกต้องแล้ว มันเป็นเรื่องของการคัดเลือก บางทีอาจเป็นเพราะมีคนจำนวนมากมาที่นี่ องค์กรพยัคฆ์ขาวจึงได้กำหนดกฎสามข้อประการแรก นักสู้นอกรีตที่ต่ำกว่าระดับจอมยุทธจะไม่ได้รับการคัดเลือกประการที่สอง ผู้ที่ได้รับอิทธิพลใด ๆ จะไม่ได้รับการคัดเลือก
แม้ว่าจะอายุจะเปลี่ยนไป แต่อายุของกระดูกก็ไม่สามารถปิดบังจากนักสู้เหล่านี้ได้เหตุนี้เอง ทุกคนจึงรู้ชัดเจนว่าฉู่เฉินยังเด็กจริง ๆ อายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น“ถ้าเขาอยู่ในอาณาจักรจอมยุทธ ฉันคงเป็นราชายุทธ”นักสู้นอกรีตบางคนไม่เชื่อว่า ฉู่เฉินจะผ่านเงื่อนไขจึงพูดจาเสียดสีอยู่ด้านข้าง ๆ“ถูกต้องแล้ว ฉันไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้จะมีวรยุทธถึงระดับจอมยุทธ เขายังเด็กมาก อย่างมากก็อยู่ในระดับมหากาฬ แม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่บังอีกยาวไกลกว่าจะผ่านเกณฑ์การคัดเลือกพยัคฆ์ขาว เมื่อมองไปที่เขา ก็รู้เลยว่าอยากฉวยโอกาสนี้ในการเผยโฉม เดาว่าวรยุทธที่แท้จริงของเขาไม่ได้ดีเท่าของฉันด้วยซ้ำ ก็แค่ต้องการเผยโฉมและให้กองกำลังอื่นได้เห็นเขา เผื่อในอนาคต ก็ไปบอกได้ว่าเคยเข้าร่วมการคัดเลือกพยัคฆ์ขาวมาแล้ว”มีคนพูดขึ้นพร้อมกับแสดงความคิดเห็นออกมาฉู่เฉินเดินไปหาชายชราบางทีอาจเป็นเพราะตระกูลหวังอยู่ใกล้ ๆ หรือบางทีพยัคฆ์ขาว รู้สึกว่าไม่มีใครกล้าก่อปัญหาที่นี่แม้ว่าจะมีนักสู้นอกรีตอยู่ห้าสิบหรือหกสิบคนรวมตัวกันที่ประตูแล้ว แต่พยัคฆ์ขาวในฐานะผู้นำหลักก็มีชายชราคนนี้เฝ้าประตูด้วยท่าทางเฉยเมย“นายแน่ใ
นอกจากจะเป็นนักสู้หนุ่มแล้ว แถมยังมีศักยภาพที่ไม่มีที่สิ้นสุด“ฉัน ผู้อาวุโสหวังหมิงหยวน หนึ่งในองครักษ์เสือขาว นายมีชื่อว่าอะไร?”“รอจนกว่าจะผ่านการทดสอบก่อน แล้วค่อยถามเรื่องชื่อ ก่อนหน้านั้น ทุกสิ่งเป็นแค่การพูดคุยกับอากศ ต่อไปจะทดสอบอะไร?”ฉู่เฉินไม่ได้แนะนำตัว เพราะมาที่นี่เพื่อหาเรื่อง และก็ขี้เกียจเกินกว่าคิดชื่อปลอมเมื่อเห็นฉู่เฉินพูดแบบนี้ ใบหน้าของหวังหมิงหยวนก็เย็นชาเดิมที ต้องการที่จะพูดคุยอย่างสุภาพ แต่ไม่คิดว่าเด็กคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าจะหน้าด้านมากท่าทีของหวังหมิงหยวนที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ในสายตาของนักสู้นอกรีตตลอด และทำให้กลุ่มนักสู้นอกรีตตกใจทันที“ผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้น ข้อกำหนดแรกคือต้องเป็นจอมยุทธไม่ใช่หรือ? ลูกปัดเต๋าที่คุณเพิ่งพูดถึงไม่ได้เปล่งสีที่สอดคล้องกับระดับวรยุทธ”มีคนที่ไม่ยอมแพ้ และยังคงถามอย่างไม่ลดละคำพูดนี้ทำให้หวังหมิงหยวนหงุดหงิดมากขึ้นแต่ก็ยังคงอธิบายออกมา“ยังมีอีกสองสี สีขาวแสดงถึงขั้นที่แปดของจอมยุทธ และสีดำแสดงถึงขั้นที่เก้าของจอมยุทธ เด็กคนนี้เพิ่งกระตุ้นแสงขั้นแปดของจอมยุทธ!”“อะไรนะ! จริงอๆ แล้วมันคือขั้นแปดของจอมยุทธงั้นเหรอ? นี
ฉู่เฉินแตะจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของหวังหมิงหยวนอย่างระมัดระวัง พบว่ามีเพียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของหวังหมิงหยวนเพียงเล็กน้อยที่ปกคลุมเขา ที่แหล่งกำเนิดของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ด้านหลังหวังหมิงหยวนนั้น เหมือนพยัคฆ์ขาวจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่กระพริบตาฉู่เฉินรู้ว่า ตราบใดที่เขาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ชายชราคนนี้ก็จะรับรู้เขาได้ทันทีฉู่เฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวเลย“เริ่มกันได้เลยไหม?”เมื่อเห็นท่าทางของฉู่เฉินที่ไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆหวังหมิงหยวนคิดว่าฉู่เฉินก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้การมีอยู่ของเงาของพยัคฆ์ขาวเลย แม้จะรู้ก็ไม่สําคัญ เพราะภายใต้การจ้องมองของพยัคฆ์ขาว ไม่มีใครสามารถโกหกได้หวังหมิงหยวนเริ่มซักถามตามปกติ“นายเคยเข้าร่วมนิกายใดหรือไม่?”ในขณะที่หวังหมิงหยวนพูด ฉู่เฉินสังเกตเห็นทันทีว่าเงาพยัคฆ์ขาวที่จ้องมาที่เขาดูเหมือนจะรุนแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยฉู่เฉินยังคงสงบนิ่งและนิ่งเงียบ พูดโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ“ไม่!”“นายมีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลหวังแห่งเมืองหลวงหรือไม่?”“ไม่มี!”หลังจากที่ฉู่เฉินตอบ ในที่สุดหวังหมิงหยวนก็ถอนจิตสัมผัสศักดิ์สิท
ใบหน้าของหวังหมิงหยวนตึงทันที ที่ได้ยินแบบนั้นตั้งแต่ต้นพยัคฆ์ขาวไม่พร้อมที่จะรับสมัครใคร ทุกคนรู้ดีว่าพยัคฆ์ขาวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลหวัง ภายในองค์กรนั้น ก็มีตำแหน่งดี ๆ มากมายที่ถูกคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์จากตระกูลหวังครอบครองเอาไว้ตั้งแต่แรก และไม่มีตำแหน่งว่างที่ไม่จำเป็นและน่าจับจองอย่างไรก็ตาม ซวนหวู่นั้นต่อสู้ดุเดือด รวมถึงหงส์เพลิงที่วุ่นวายด้วย ผู้พิทักษ์ของพยัคฆ์ขาวก็เลยมารวมตัวกัน โดยคิดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยไม่คาดคิดว่าจะดึงดูดอัจฉริยะมาได้“ดังนั้นนายมาที่นี่เพื่อปัญหาเรื่องนั้นโดยเฉพาะ?”หวังหมิงหยวนถามอีกครั้ง โดยไม่อยากจะเชื่อ“นายควรทราบว่าเมื่อนายเข้าร่วมพยัคฆ์ขาวแล้ว จะมีทรัพยากรในการฝึกฝน และสมบัติล้ำค่ามากมาย ผลประโยชน์พวกนี้ ไม่สามารถเทียบได้กับนิกายเล็ก ๆ ทั่วไป นายแน่ใจหรือว่าต้องการถอนตัว”“ฉันคิดว่า ควรลืมมันไปเสียดีกว่า คุณไม่สามารถเสนอแม้แต่สถานะพื้นฐานที่สุดแก่ฉันได้ ฉันกลัวว่าสมบัติและทรัพยากรการฝึกฝนที่คุณกล่าวถึงนั้น ต้องถูกแบ่งไปแล้วโดยเหล่าผู้พิทักษ์และองครักษ์ส่วนตัว แม้ว่าฉันจะเข้าร่วมกับพยัคฆ์ขาว มันก็จะไม่ตกมาถึงฉันเลย ลืมมั
เมื่อตระหนักถึงกองกำลังที่น่าเกรงขามที่รวบรวมอยู่ในลานบ้านของฉู่เฉินแล้ว หลี่ซ่างกับเหยาปิงฉู่ก็ประหลาดใจเหล่าพี่สาวคนสวยหลายคนที่อยู่รอบ ๆ ฉู่เฉินนั้น แท้จริงแล้วเป็นอัจฉริยะจากนิกายหลักต่าง ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่ชิงชานกับหลินอี้นัวสำนักกระบี่ซวนเทียนกับนิกายเหมี่ยวหยินได้ดึงดูดความสนใจของหลี่ซ่าง ผู้ซึ่งเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ระหว่างนิกายต่าง ๆ มาโดยตลอดเมื่อรู้ว่าเหยาปิงชูมาหาฉู่เฉินเพื่อโอสถทิพย์หลี่ซ่างก็ขมวดคิ้วเห็นได้ชัดว่า แม้แต่หมอเทวดาเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในท้ายที่สุด ก็ยังคงแสดงความเต็มใจที่จะช่วยเหลือด้วยความเคารพต่อเหยาหลิงเฉินการกลั่นโอสถทิพย์ที่ใช้ก้าวผ่านจิตของระดับจอมยุทธไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน ดังนั้นการพูดคุยจึงเบนประเด็นไปที่เหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง การกระทำอันกล้าหาญของฉู่เฉินในวันนั้นโดยเฉพาะเหล่าพี่สาวของฉู่เฉินเพราะเขาไม่เพียงแต่เข้าไปในถิ่นของหงส์เพลิงเท่านั้น แต่ยังสร้างความปั่นป่วนในถิ่นของพยัคฆ์ขาวด้วยพี่สาวทั้งหลายต่างกังวลใจอย่างมากฉู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอธิบาย“ตอนนี้ เมืองหลวงเต็มไปด้วยนักสู้ และซวนหวู่ของ
ฉู่เฉินสัมผัสได้ถึงสิ่งที่บรรจุอยู่ในขวดเล็ก ๆ แต่ละขวด และพบยาสิบเม็ดในแต่ละขวดเมื่อเห็นความสับสนในดวงตาของฉู่เฉิน ฮวาหลางเหยว่จึงเริ่มอธิบาย“อันแรกคือ" ฮวาหลางเหว่หยิบยาเม็ดจากขวดยาสีน้ำเงินแล้วเทออกมาหนึ่งเม็ดต่อจากนั้น“นี่คือยาชำระล้าง ชำระล้างสิ่งสกปรกและเสริมสภาพร่างกายของคน ๆ หนึ่ง ฤทธิ์ของยาสามารถทำให้บุคคลที่ไม่มีพรสวรรค์ในวรยุทธ มีร่างกายพร้อมสำหรับการฝึกฝนวรยุทธทั่วไปได้ หลังจากกินยาเข้าไป และหากใช้อย่างถูกวิธีอาจจะสามารถไปถึงระดับทะลวงเส้นลมปราณได้ ภายในระยะเวลาอันสั้น”เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฉู่เฉินสงบ ฮวาหลางเหว่จึงหยิบขวดสีน้ำเงินเล็ก ๆ ขึ้นมาแล้วเทอีกขวดออกมาพร้อมพูด“นี่คือยาเพิ่มความแข็งแกร่ง สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ เด็กที่อ่อนแอที่รับยานี้อาจได้รับความแข็งแกร่งเท่ากับผู้ใหญ่ แม้ว่าการออกฤทธิ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับพื้นฐานร่างกายของแต่ละบุคคล ถ้ายาเม็ดนี้ใช้กับนักสู้จะให้ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก”เมื่อเห็นว่าฉู่เฉินยังคงนิ่งเฉย ฮวาหลางเหว่จึงหยิบขวดยาสีดำขึ้นมาแล้วพูดต่อ“ยากระตุ้นศักยภาพ สามารถกระตุ้นให้ร่างกายปลดปล่อยศักยภาพออกมา และผลลัพธ์จะ
“ในเมื่อผู้อาวุโสหลี่ซ่างบอกให้นายซ่อนยานี้ไว้ ไม่ให้ทั้งอาจารย์และฉันรู้ ทำไมนายถึงเอามาบอกฉัน?” ความคิดย้อนกลับมาฮวาหลางเยว่ที่ตรงหน้า ฉู่เฉินก็ถามคำถามอย่างไม่ใส่ใจ“ฉันกลัวว่าจะปิดเรื่องนี้จากอาจารย์ไม่ได้ ดังนั้น ฉันจึงอยากจะให้ยาเม็ดนี้ไว้กับคุณไว้ก่อน”ฮวาหลางเยว่บอกจุดประสงค์ของตัวเองออกมาดูเหมือนว่าฮวาหลางเยว่ก็เข้าใจนิสัยของตัวเองอย่างดี และไม่เหมาะกับการปิดบังอะไรเมื่อมองไปที่แววตาอ้อนวอนของฮวาหลางเยว่ ฉู่เฉินก็ไม่ปฏิเสธและรับโอสถทิพย์เวอร์ชั่นแรกมาตอนนั้นเอง ประตูของฉู่เฉินถูกเคาะเมื่อเปิดประตู ฉู่เฉินก็รู้ว่า เหล่าพี่สาวได้เก็บของและมารวมตัวกันที่หน้าประตูของเขาแล้ว ดูเหมือนว่า พร้อมที่จะจากไปแล้วฉู่เฉินอดสงสัยไม่ได้“พี่ ๆ เช้านี้พวกคุณจะไปทำอะไรกัน?”“เมื่อคืนนี้ ฉันติดต่อน้องหก และวันนี้เธอจะบินมาเมืองหลวง ในฐานะพี่ พวกเราจำเป็นต้องเลือกของขวัญให้เธอบ้างเป็นธรรมดา เสี่ยวซือโถว นายอยากไปกับเราไหม?”ในฐานะพี่สาม เฉียวหานอวี่ได้กลายมาเป็นที่พิงพาของพี่สาวทั้งสี่คน เพราะเธอคุ้นเคยกับเมืองหลวงมากที่สุดและเธอเป็นผู้นำตามธรรมชาติ“ถ้าแค่ไปซื้อของขวัญ ฉันไม่
“ไสหัวไปซะ!” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและตะโกน สายตาของเขาเย็นชา และเผยจิตสังหารออกมา“อะไร? แกกำลังไล่พวกเรางั้นเรอะ?”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ดูประหลาดใจและสงสัยว่าพวกเขาได้ยินผิด“ไอ้ขี้เหร่ แกกล้าอวดดีขนาดนั้นเลยเหรอ แกเชื่อไหมว่าฉันจะฆ่าแก”ทันใดนั้น ทุกคนก็โกรธฉู่เฉินอย่างมากแม้ว่านี่จะเป็นเมืองหลวง แต่พวกเขาก็เป็นสมาชิกของตระกูลหวัง พวกเขาข่มเหงผู้ที่อ่อนแอและข่มเหงคนหนุ่มสาวเป็นประจำทุกวัน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะหยิ่งผยองลำพองใจ พวกเขาคุ้นเคยกับแววตาหวาดกลัวและยอมจำนนของคนอื่น ๆ มาเป็นเวลานานคำพูดของฉู่เฉินทำให้พวกเขาโกรธมาก จนอยากจะถลกหนังเขาและหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ!“ฉันจะพูดอีกครั้ง ไปให้พ้น! ไม่เช่นนั้นจะฆ่าอย่างไม่ปราณี!“ สายตาเย็นชาของฉู่เฉินกวาดไปทั่ว เต็มไปด้วยจิตสังหาร“ฆ่าอย่างไม่ปราณี?”“ฮ่า ๆ แกทำให้ฉันขำเป็นบ้า แกคิดว่าแกตัวเองคู่ต่อสู้ของพวกเราได้จริงเหรอ?”ชายหนุ่มหลายคนในชุดสูทมองขึ้นมาและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของพวกเขาเยาะเย้ย ไม่สนใจเขาเลยฉู่เฉินส่ายหัวและถอนหายใจ คนพวกนี้มีสมองเอาไว้กั้นหูเท่านั้น เขาเพิ่งให้โอกาสพวกเขาไปเมื่อ
……ภายในเมืองหลวงที่คึกคัก บนถนนที่กว้างและราบเรียบกลุ่มบุคคลที่โดดเด่นเดินไปมาในเมือง โดดเด่นเหมือนฝูงนกยูงรำแพนหาง และดึงดูดสายตาที่อยากรู้อยากเห็นมากมายอย่างไรก็ตาม เครื่องแต่งกายของพวกเขาแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เย่ชิงชานสวมชุดสีขาวล้วน ดูบอบบางและงดงามเฉียวหานอวี้สวมชุดยาวสีม่วงแดง แสดงออกถึงท่าทางที่กล้าหาญและมั่นใจหนิงชิงเสว่ที่ยังเยาว์วัยและสวยงามในชุดสีน้ำเงิน ฉู่เหมิงเหยาผู้บริสุทธิ์และสวยงาม อ่อนโยนและเงียบขรึมมีเพียงฉู่เฉินที่สูงใหญ่และสง่างามในชุดสีดำเท่านั้นที่โดดเด่นออกมา ใบหน้าที่คมคายและเฉียบคมของเขาส่งออร่าของความเฉยเมยที่ทำให้เขาดูไม่เข้ากับคนอื่น ๆ“หนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขามากับผู้หญิงมากมายขนาดนั้น?” พฤติกรรมของทั้งกลุ่มดึงดูดความสนใจของบางคนได้อย่างชัดเจนคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มและหญิงสาว แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราและเครื่องประดับสีสันสดใส บ่งบอกถึงภูมิหลังครอบครัวมีฐานะ“ผู้ชายคนนั้นดูอ่อนแอมาก แต่ผู้หญิงที่อยู่รอบ ๆ เขาแจ่มเป็นบ้า” คนที่รู้จักฉู่เฉินกระซิบเตือน ไม่เต็มใจที่จะก่อเรื่องฉู่เฉินเดินไปข้างหน้าคนเดียว โดยไม่สนใจคนร
“อืม พวกเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน!”เสียงเจี๊ยวจ๊าวของกลุ่มสาว ๆ ทำให้ฉู่เฉินหมดหนทาง แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นมา“เสี่ยวซือโถว เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเรามาเตรียมพร้อมกันเถอะ ฉันอยู่เฉย ๆ มาหลายวันแล้ว”เฉียวหานอวี้ถูกำปั้น และกระตือรือร้นที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างพี่สาวคนอื่น ๆ ก็ตื่นเต้นเช่นกัน ราวกับว่าพวกเธอเห็นภาพของคนหลายคนที่เข้ามาในเมืองหลวงเป็นกลุ่มสถานการณ์นี้ทำให้ฉู่เฉินตกตะลึง“พี่ ๆ ได้โปรดรอก่อน เรื่องนี้ต้องดำเนินการทีละขั้นตอน และฉันกำลังจะทำสำเร็จในไม่ช้า ยังไม่สายเกินไปที่จะดำเนินการเมื่อฉันทำสำเร็จ และอีกอย่าง... ฉันไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือดของคุณจริง ๆ” ฉู่เฉินขมวดคิ้วและพูดความเกลียดชังของคน ๆ หนึ่งต้องได้รับการจัดการด้วยตัวเองในที่สุด และไม่ให้พี่ ๆ มาเกี่ยวข้องได้ เพราะพวกเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยในเรื่องนี้“จะเป็นอะไรถ้านายไม่ใช่น้องของฉัน? นายเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกับพวกเราตั้งแต่ยังเด็ก และแม้ว่านายไม่ใช่น้องร่วมสายเลือดของฉัน แต่พวกเราก็ปฏิบัติกับนายเหมือนเป็นน้องชายของพวกเรา”เฉียวหานอวี้เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อข
“ประสบการณ์ของฉันก็เรียบง่ายมาก ในกองไฟของสถานรับเลี้ยงเด็ก ฉันได้รับการช่วยเหลือจากชายชราคนหนึ่ง หลังจากนั้น ฉันก็ติดตามชายชราไปฝึกวรยุทธ หลังจากประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ฉันก็ออกมาเพื่อล้างแค้นให้กับคุณปู่ผู้อำนวยการและทุก ๆ คน ฉันได้ติดตามเบาะแสทีละขั้นตอนไปจนถึงเมืองหลวง และนั่นคือทั้งหมด”ฉู่เฉินกางมือออกกว้าง แสดงให้เห็นว่าพูดจบแล้ว“แค่นั้นหรือ ไม่มีอะไรเลยเหรอ? เสี่ยวซือโถว นายปฏิบัติกับเราเหมือนคนนอกและปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเรา”เฉียวหานอวี้พูดขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ เหล่าพี่สาวได้ใช้สายตากดดัน โดยหวังจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่เฉินเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม แต่คิดไม่ถึงว่า ฉู่เฉินจะพูดเพียงไม่กี่คำพวกเธอรู้สึกเหมือนว่าแผนของพวกเธอล้มเหลว“เสี่ยวซือโถว ถ้านายไม่พูด พวกเราก็รู้กันดี แล้วก็รู้ว่าตระกูลฉู่ เป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงในอดีต เป็นตระกูลเดิมของนาย นายตั้งใจไม่บอกความจริงกับพวกเรา เพราะไม่อยากทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนใช่ไหม? ”หลินอีนัวจ้องมองฉู่เฉินและพูด“ถ้าไม่เคยรู้มาก่อน ก็คงจะดีกว่า เพราะถ้ารู้แล้ว แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และจะกลายเป็นภาระสำ
ในคฤหาสน์หนานหวาง มีเสียงหัวเราะดังครึกครื้น พี่สาวทั้งห้าคนมารวมตัวกันและสนุกสนานกัน ฉู่เฉินก็สนุกเช่นกัน ในขณะนี้ คนทั้งหกคนอยู่ในลานบ้าน ชิมอาหารที่ฉู่เหมิงเหยานำมา และพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเริ่มจากพี่สาม เฉียวหานอวี้ เธอได้พบกับหมอเทวดาหลี่ซ่างได้อย่างไร ทำไมถึงได้รับเป็นลูกศิษย์ได้ ทักษะทางการแพทย์ของเธอพัฒนาขึ้นอย่างไรหลังจากนั้น เธอช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง เธอได้พบกับฉู่เฉินตอนไหน แล้วอะไรทำให้จดจำกันได้ และพูดถึงทุกอย่างอย่างละเอียด“ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดความจำเสื่อม พี่สามคงจะไม่ได้เจอเรา”หลังจากฟัง หลินอีนัวก็ถอนหายใจ“ใช่แล้ว พูดได้แค่ว่าโชคชะตาเล่นตลกกับผู้คน โอเค ฉันพูดจบแล้ว ถึงตาเธอแล้วนะ น้องห้า”เฉียวหานอวี้ส่งต่อบทสนทนาไปยังหลินอีนัวหลินอีนัว ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกตระกูลหลินพาตัวไป เข้าสู่วงการบันเทิงได้อย่างไร พบกับฉู่เฉินตอนไหน ทำไมถึงมาแสดงหนังร่วมกันอีก และสุดท้ายทำอีท่าไหนถึงเข้าร่วมนิกายเมียวหยินได้หลังจากที่หลินอีนัว พูดจบ พี่สาวหลายคนก็ถอนหายใจว่าประสบการณ์ของหลินอีนัวนั้นค่อนข้างทรหด จากนั้นพวกเธอก็
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เย่ชิงชาน หลินอีนัว และเฉียวหานอวี้ขึ้นรถคันที่สองไปแล้วด้วยความมึนงงชั่วขณะเมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงชิงเสว่จึงรีบเข้าไปดึงฉู่เฉินอย่างสบาย ๆ“เสี่ยวซือโถว มานั่งด้วยกันเถอะ”“อืม”ฉู่เฉินตอบกลับ แล้วขึ้นรถที่อยู่ข้างหน้าเขา“ไปกันได้แล้ว” เมื่อมองไปที่เยว่ฟู่หลงที่ยังคงจ้องมองเขาอย่างซื่อบื้อ ฉู่เฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูด“โอเค อาจารย์”เยว่ฟู่หลงเหยียบคันเร่งและรถออฟโรดสีดำ ก็พุ่งออกไปเหมือนสัตว์ร้ายที่คำรามภายในสนามบินเมืองหลวงฉู่เหมิงเหยาลงจากเครื่องบิน หยิบสัมภาระของเธอ และเห็นฉู่เฉินรออยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉู่เฉินคือผู้หญิงที่สวยงามสี่คน“พี่หก ทางนี้”ก่อนที่ฉู่เฉินจะพูด หนิงชิงเสว่ก็ตะโกนออกไปอันที่จริง แม้ว่าหนิงชิงเสว่จะไม่ตะโกน แต่ฉู่เหมิงเหยาก็คงจะเห็นแล้วเธอก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้าเมื่อรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับพี่สาวคนอื่น ๆ ฉู่เฉินกังวลว่าอาจจะเกิดความอึดอัด ฉู่เฉินจึงรีบแนะนำทุกคนทันที“พี่หก นี่คือพี่สาม เฉียวหานอวี้ ศิษย์โดยตรงของหมอเทวดา หลี่ซ่าง นี่คือพี่สี่ หลินอี้นัว ศิษย์สายตรงของหัวหน้านิกายเมียวห
“แกเป็นใคร?” จ้าวฟางเซียงถามโดยไม่รู้ตัว“ฉันชื่อฉู่เฉิน”เดิมทีฉู่เฉินคิดว่าในฐานะสมาชิกตระกูลจ้าวในเมืองหลวง จ้าวฟางเซียงต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และเมื่อรู้ว่าเป็นเขา อีกฝ่ายก็จะยับยั้งชั่งใจตัวเองได้บ้างโดยไม่คาดคิด หลังจากพูดชื่อของเขา จ้าวฟางเซียงก็หัวเราะออกมา“ฉันไม่สนใจว่าแกเป็นใคร ก็แค่ไอ้หน้าอ่อน แกยังกล้าประกาศชื่อของแกต่อหน้าฉัน มั่นหน้ามั่นโหนกจริง ๆ แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน จ้าวฟางเซียง แกไม่ได้มีโอกาสที่จะหยิ่งยโส แก….”จ้าวฟางเซียงยังคงพูดไม่หยุดเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าชายชราที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวฟางเซียงในตอนแรก มีสีหน้าหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของฉู่เฉินจริง ๆ แล้วเขาคือฉู่เฉิน ฉู่เฉินผู้ทำลายล้างตระกูลฉินเพียงลำพัง!ในบรรดาตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ฉู่เฉินกลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูลฉู่ชายชราเดินไปหาจ้าวฟางเซียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ขัดจังหวะการพูดของเขา และกระซิบที่หูของเขา“นายน้อย เขาคือฉู่ซวนหวู่ ฉู่ซวนหวู่ที่ฆ่าล้างบางตระกูลฉิน!”เมื่อได้ยินแล้วจ้าวฟางเซียงก็รู้ว่าฉู่เฉินเป็นใครไม่น่าแปลกใจ ที่จะฟังดู
เมื่อได้ยินเยว่ฟู่หลงกับเว่ยอิงลั่ว เรียกตัวเองเช่นนี้สำหรับหนิงชิงเสว่นั้นไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็เคยได้ยินคำพูดที่สนิทสนมกว่านี้มาก่อนคนที่เหลืออีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นเย่ชิงชาน หลินอีนัว หรือเฉียวหานอวี้ต่างก็หน้าแดงแจ๋ฉู่เฉินพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว“พี่สาว อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเขาเคยพูดจาไร้สาระ ไปคุยกันต่อบนรถดีกว่า”“อืม”ทั้งสามคนไม่คัดค้าน แต่ทุกคนรีบวิ่งไปที่รถที่อยู่ข้างหลังพวกเขา“หยุด!”เสียงเย็นชาดังขึ้น ทำให้ฉู่เฉินหยุดชะงัก ร่างหนึ่งก้าวมาข้างหน้าเฉียวหานหยู่ ขวางทางของเธอฉู่เฉินเดินเข้าไปและมองไปที่ชายคนนั้น“พี่สาม คุณรู้จักเขาไหม?”“ไม่รู้จักเลย” เฉียวหานอวี้ตอบพร้อมเอียงหัวอย่างไม่ใส่ใจ“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขึ้นรถกันเถอะ”ฉู่เฉินจับมือเธอเบา ๆ ช่วยประคองเธอขึ้นรถ ขณะที่เขาเปิดประตูค้างไว้การเห็นตัวเองถูกเมินอย่างซึ่ง ๆ หน้า ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับจ้าวฟางเซียง เขาไม่เพียงแต่เคยคิดจะใช้เงินห้าสิบล้านหยวนเพื่อเอาชนะใจเธอเท่านั้น แต่ตอนนี้เขากลับถูกเมินอย่างสิ้นเชิง และที่แย่ไปกว่านั้น ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าและหล่อกว่าคนนี้ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอี
“คุณหนูเฉียว คุณจะไปไหน ฉันจะพาคุณไปส่งเอง”จ้าวฟางเซียงไม่รู้ว่า มั่นหน้ามั่นโหนกมาจากไหน จึงเอื้อมมือไปหามือหยกอันบอบบางของเฉียวหานอวี้ เพื่อจับมือเธอเฉียวหานอวี้เบี่ยงตัวและหลบไป“นายจะทำอะไร?”“เฮ้ ๆ ทำอะไรอยู่ เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไปส่งคุณกลับบ้าน ไม่ใช่แค่คุณเท่านั้น แต่รวมถึงพวกคุณทุกคนด้วย”เมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้สามารถหลบมือของตัวเอง ได้อย่างง่ายดายจ้าวฟางเซียงไม่ได้สนใจ และยื่นมือเของเขาออกไปอีกครั้ง“นายบ้าไปแล้วหรือไง ตอนกลางวันแสก ๆ ฉันสามารถแจ้งความอนาจารนายได้!”เฉียวหานอวี้หลบอีกครั้งและพูดจาเย็นชา“บอกฉันสิ? ดูเหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจน้ำหนักของคำว่าตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง ใครในเมืองนี้ที่กล้าเข้ามายุ่งกับฉัน จ้าวฟางเซียง!”จ้าวฟางเซียงพูดจาเย่อหยิ่งเมื่อเห็นว่าเฉียวหานอวี้หลบได้อีกครั้ง จ้าวฟางเซียงก็รู้ว่า แม้เขาจะโง่แต่ผู้หญิงคนนี้คือวรยุทธ ถึงจะไม่สามารถรับรู้ระดับวรยุทธของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่ระดับวรยุทธของเธอก็อาจจะเท่ากับเขา คาดว่าผู้หญิงคนนี้ได้ฝึกฝนวิชามาเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงหลบเลี่ยงเขาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเข้าใจแล้ว จ้าวฟางเซียงก็พูดอย่