แม้ว่าฉู่เฉินจะคาดเดาบางอย่างได้ แต่สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง และค่อยๆ ปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคนทันทีที่ฉู่เฉินปรากฏตัว ทหารซวนหวู่ที่อยู่รอบๆ ก็พูดขึ้นอย่างเคารพ“ทำความเคารพหัวหน้าผู้ฝึกสอนซวนหวู่!”“ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองเถอะ ฉันจะดูแลทั้งสองคนนี้เอง”เมื่อได้ยินคำสั่งของฉู่เฉิน ทหารซวนหวู่หลายคนก็ออกจากสถานฝึก“ผู้เฒ่าเหยา ไม่ได้เจอกันนาน”ฉู่เฉินทักทายก่อน“ฉู่เฉิน ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปไม่นาน นายก็เติบโตมาจนถึงจุดนี้แล้ว ถ้าฉันรู้เร็วกว่านี้ ฉันคงทำทุกอย่างให้นายอยู่ในนิกายแพทย์ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม”เมื่อเหยาปิงชูเห็นฉู่เฉิน ก็ถอนหายใจแค่มองตาก็รู้ว่า เหยาปิงชูกำลังจะเริ่มนึกถึงอดีต ฉู่เฉินจึงรีบขัดจังหวะเขา“ผู้เฒ่าเหยา ทำไมคุณไม่บอกฉันหน่อยล่ะว่า คุณมาหาฉันด้วยเรื่องอะไร”เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เฉิน ใบหน้าของผู้เฒ่าเหยาก็เต็มไปด้วยความเขินอายเมื่อเห็นแบบนี้ ฉู่เฉินก็รู้สึกทันทีว่าการคาดเดาของเขานั้น ถูกต้องฮวาหลางเยว่อดใจไม่ไหวก็พูดขึ้น“ฉู่เฉิน พวกเราอยากขอความช่วยเหลือจากนาย เพื่อปรุงยาขั้นสี่”เหมือนจากที่เดาไว้นับตั้งแต่ ตัวเองได้แสดงความสามารถด้านการป
ก่อนออกเดินทาง ฉู่เฉินสังเกตเห็นว่ามีคนน้อยมากในฐาน ดังนั้นจึงถามจางเทาด้วยความอยากรู้สำหรับเยว่ฟู่หลงกับคนอื่น พบว่าได้แยกตัวไปก้าวผ่านจิต ในขณะที่คนอื่นๆ ออกไปทำภารกิจ คนที่เขาเพิ่งพบมาเมื่อกี้ ล้วนเป็นคนทั้งหมดที่ยังอยู่ในฐานทัพฉู่เฉินถึงได้นึกได้ว่า การขาดแคลนจำนวนบุคลากรเข้าขั้นวิกฤตมาก ซึ่งทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้“ซวนหวู่ไม่ได้มีฝ่ายคัดเลือกบุคลากรอีกหรอกเหรอ? ทำไมถึงขาดแคลนบุคลากรมากขนาดนี้?”แม้ว่าจางเทาจะเข้าร่วมกับซวนหวู่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเรื่องของซวนหวู่จากเขาเลย เพราะยังไงจางเทาได้รับการแต่งตั้งจากฉู่เฉินให้เข้าร่วมกับซวนหวู่ ดังนั้นจึงเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของซวนหวู่“ฉู่ซวนหวู่ จากคำสั่งครั้งก่อนของคุณให้ พวกเราไปซ่อนตัวในจิงโจว ฝ่ายคัดเลือกจึงหยุดดำเนินการไปนานแล้ว”ฉู่เฉินเพิ่งรู้เรื่องนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สถานการณ์ถึงเป็นแบบนั้นดังนั้น เมื่อฉู่เฉินจากไป จึงได้ออกคำสั่งอื่นกับจางเทาสั่งให้รับสมัครทหารซวนหวู่ในเมืองหลวงอีกครั้ง รวมถึงรับสมัครกองกำลังสำรองซวนหวู่ถึงแม้จะเป็นะสมาชิกสำรองของซวนหวู่ ข่าวนี้ก็ทำให้คนทั้งเมืองหลวงตกตะ
ณ เมืองหนานเจียงในห้องทำงานของประธานกรรมการแห่งเฟยเสวี่ยกรุ๊ปหนิงชิงเสวี่ยกำลังเบิกตาโพลงมองดูชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ “นายบอกว่าอะไรนะ? นายเป็นคู่หมั้นของฉันงั้นเหรอ?”“ใช่ครับ สามปีก่อนคุณปู่ของคุณหมั้นหมายคุณให้ผม นี่ทะเบียนสมรสครับ ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็ลองดูเองเถอะครับ”ชายหนุ่มนามว่าฉู่เฉิน เขาหยิบเอาทะเบียนสมรสเล่มหนึ่งออกมาและยื่นส่งให้เธอหลังจากที่หนิงชิงเสวี่ยได้เห็นทะเบียนสมรสนั้นแล้ว ความคิดอยากตายก็ผุดขึ้นมาทันทีเธอมั่นใจว่าทะเบียนสมรสเล่มนี้เป็นของจริง เพราะตัวอักษรด้านบนเป็นรูปแบบตัวหนังสือของหนิงฉางเจิ้งปู่ของเธอ แถมยังประทับตราส่วนตัวของเขาเอาไว้ด้วยหนิงชิงเสวี่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งเฮือกก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นายชื่อฉู่เฉินสินะ?”“ครับ”ฉู่เฉินพยักหน้ารับเล็กน้อย แต่กลับอดใจไม่ไหวที่จะมองพิจารณาเธอหน้าสวยแบบสาวงามล่มเมือง ทั้งผิวพรรณก็ขาวเปล่งปลั่งนุ่มนิ่ม แม้ตอนนี้จะกำลังทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผู้ชายทุกคนหัวใจเต้นรัวเธอสวมชุดทำงานทรงรัดรูป และมีรูปร่างที่ร้อนแรงแบบสุด ๆ โดยเฉพาะเอวเรียวบางดุจหนึ่งมือโอบขอ
หนิงชิงเสวี่ยจ้องมองไปที่ฉู่เฉินอย่างไม่ละสายตา พร้อมเผยใบหน้าที่หยิ่งผยองออกมาโดยที่เลขาที่อยู่ข้างกายของเธอ พานอวิ๋น ก็มองไปยังฉู่เฉินด้วยใบหน้าดูถูกเหยียดหยามด้วยเช่นกัน คนจน ๆ แบบนี้จะคู่ควรกับท่านประธานของพวกเราได้อย่างไรกัน?“ไม่มีปัญหา”ฉู่เฉินตอบกลับไปอย่างไม่แยแส “แต่ว่าคุณก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจอยู่ดี เพราะว่าสัญญาการแต่งงานครั้งนี้คุณปู่ของคุณเป็นคนจัดการ คุณสามารถรอจนกว่าผมจะรักษาอาการป่วยของเขาจนหายแล้ว ค่อยให้เขายกเลิกการแต่งงานด้วยตัวเองก็ได้ แค่ท่านยินยอม ผมก็ไม่มีทางจะตามรังควานคุณอย่างแน่นอน”“ไม่ต้อง”หนิงชิงเสวี่ยยิ่งเหยียดหยามเขาแล้ว เพราะคิดว่าเขายังไม่ยอมแพ้ในเรื่องนี้“งานแต่งของฉัน ฉันจะต้องเป็นคนตัดสินใจเองสิ ยิ่งไปกว่านั้น อาการป่วยของคุณปู่ฉัน ฉันจะคิดหาวิธีเอง ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาคอยเป็นกังวลหรอกนะ”เธอรีบเขียนเช็คใบหนึ่งอย่างรวดเร็ว “ นี่เป็นเช็คมูลค่าห้าล้าน บาทขอแค่นายยอมยกเลิกงานแต่งงานกับฉัน มันก็จะเป็นของนายทันที”“เงินห้าล้าน บาทสำหรับฉันแล้วมันก็แค่เศษเงินเท่านั้น แต่ว่าสำหรับคนชนชั้นล่างแบบนาย ก็พอที่จะเลี้ยงดูปากท้องได้สบาย ๆ ไปทั้งชาติ ฉันเช
ครึ่งชั่วโมงต่อมาฉู่เฉินก็ตามหาบ้านของครอบครัวถังตามที่อยู่ที่ผู้เฒ่าให้มาจนพบในห้องรับแขกถังไห่ซานที่อายุราวๆ 50 ปีหลังจากที่ได้อ่านจดหมายที่อยู่ในมือจบแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้พร้อมทั้งพูดว่า“ไม่ผิดไปเลยไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นลายมือของผู้วิเศษท่านนั้นแน่นอน”“คุณลุงถังครับคราวนี้คุณลุงเชื่อตัวตนของผมแล้วใช่ไหม”ฉู่เฉินถามออกไป“ก่อนที่คุณปู่จะเสียชีวิตเขาบอกไว้ว่าคุณขอความช่วยเหลือจากเขาโดยอยากให้ผมปกป้องครอบครัวของพวกคุณช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่ามีเรื่องอะไรเหรอครับ?”ถังไห่ซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา“เสี่ยวฉู่เรื่องราวเป็นอย่างงี้ครับแข่งนิรนามทางการค้าได้ส่งอีเมลมาให้ฉันบอกว่าจะส่งคนมาลักพาตัวลูกสาวของฉันไป”“ฉันว่าจ้างบอดี้การ์ดให้กับลูกสาวถึงห้าคนแต่ลูกสาวของฉันถูกฉันตามใจจนเคยตัวตั้งแต่เด็ก ทั้งห้าคนนี้ก็เลยโดนเธอไล่ตะเพิดไปเสียจนหมด”“ดังนั้นพอพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วฉันจึงขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ของคุณ”ถังไห่ซานมองฉู่เฉินด้วยรอยยิ้ม“และอาจารย์ของคุณก็ส่งวิธีแก้ไขมาในจดหมายที่คุณนำมาด้วยนั่นก็คือให้คุณมาเป็นคู่หมั้นของเธอเพราะด้วยวิธีนี้คุณก็มีเหตุผลที่เพียงพอที่จะปกป้องเธ
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ไปซื้อของเองก็แล้วกันนะ” ถังรั่วเวยพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชา และสะบัดหน้าเดินหนีไปฉู่เฉินยักไหล่ เดินหันไปทางข้างถนนเพื่อเรียกรถแท็กซี่ “คุณครับ ไปตี้หาวกรุ๊ปครับ”ถังรั่วเวยเดินเข้าไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เมื่อนั่งลงยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ควักโทรศัพท์ออกมาเพื่อส่งข้อความลงไปในกลุ่มไลน์งานว่า “น่าหงุดหงิดชะมัด ๆ !”ในกลุ่มไลน์งานนี้มีสมาชิกแค่ 5 คน ล้วนเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันเป็นอย่างดีกับถังรั่วเวยอีกไม่นาน ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ เฉินย่า ตอบกลับมาว่า “รั่วเวย นี่เธอเป็นอะไร ? ใครยั่วโมโหให้เธอโกรธอีกล่ะ ?” “พ่อของฉันไม่รู้ว่าไปเอาไอ้บ้านนอกที่ไหนก็ไม่รู้มา จะให้เป็นคู่หมั้นของฉันให้ได้” เหมือนถังรั่วเวยเจอคนที่อยากจะระบายด้วยแล้ว“อะไรนะ?”“แม่เจ้า จริงหรือเปล่า ?”แล้วกลุ่มไลน์งานก็ระเบิดทันที“ฉันจะโกหกพวกเธอทำไม ?”ถังรั่วเวยพิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยความโกรธ “แล้วที่เกินไปก็คือ พ่อของฉันยังให้ฉันแนะนำไอ้บ้านนอกนั่นเข้าไปทำงานในบริษัทของพวกเราอีกนะ พูดเสียดิบดีว่าจะให้เขามาปกป้องฉัน ฉันก็เลยปฏิเสธไม่ได้”“ไม่เป็นไร รั่วเวย” ชายคนหนึ่งที่ชื่อ หวังซวี
“นายน้อยครับ เมื่อ 12 ปีก่อนตระกูลฉีเล็งที่ดินของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าชิงซานเอาไว้ และพยายามบีบบังคับชักจูงทุกรูปแบบกับผู้อำนวยการเฉินชิงชานในขณะนั้นแต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงวางเพลิงทำลายสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าชิงซานเพื่อจะได้มาซึ่งที่ดินแห่งนี้ได้อย่างสมใจปรารถนาน่ะครับ”“หลายปีมานี้ ตระกูลฉีใช้ที่ดินผืนนั้นลงทุนอสังหาริมทรัพย์ จนได้กลายเป็นหนึ่งในห้าตระกูลที่ร่ำรวยในหนานเจียงเลยนะครับ!”“ผมได้ข่าวมาว่า ตระกูลฉีจะเปิดการประมูลจี้หยกในอีกสามวันข้างหน้านี้ ได้ยินมาว่าจี้หยกชิ้นนี้เป็นสิ่งของที่หลงเหลือมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าชิงซานในตอนนั้น ลึกลับมากๆเลยนะครับ”ภายใต้สายตาอาฆาตของฉู่เฉิน ฉู่เซี่ยงตงก็รู้สึกราวกับว่ามีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งมาบีบคอของเขาเอาไว้แน่น จนทำให้เขาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง“ตระกูลฉีอย่างนั้นเหรอ!” ฉู่เฉินยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือกเพื่อที่ดินผืนนี้ พวกเขาต้องทำลายชีวิตกว่า 108 ชีวิตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าให้จมอยู่ในกองเพลิงเลยเหรอ เขาก็รีบพูดกำชับขึ้นมาว่า “ นายเตรียมตัวก็แล้วกัน อีกสามวันฉันจะไปร่วมงานประมูล ฉันจะไม่ยอมให้จี้หยกชิ้นนั้นต
ใบหน้าที่สวยงามของหนิงชิงเสวี่ยเต็มไปด้วยความสุข “ประธานฉู่คะ ทักษะการรักษาของวิเศษคนนั้นเป็นยังไงบ้างคะ เขาสามารถรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้หรือเปล่าคะ “เหตุผลที่เธอต้องถามแบบนี้ก็เพราะคุณปู่ของเธอ หนิงฉางเจิ้ง ป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในห้าโรคร้ายแรงที่สุดในโลก ผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 3 ถึง 5 ปีเท่านั้นอาการของมันคือกล้ามเนื้อลีบทั่วทั้งตัว แขนขาตึง เคลื่อนไหวไม่ได้ ซึ่งส่งผลต่อกล้ามเนื้อทางเดินหายใจในท้ายที่สุด ทำให้หายใจล้มเหลวถึงแก่ชีวิตได้อาการป่วยของหนิงฉางเจิ้งได้เข้าสู่ขั้นระยะสุดท้ายและชีวิตของเขาอาจตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา“โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงงั้นเหรอ?”ฉู่เซี่ยงตงตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “โรคแบบนี้หากเป็นหมอคนอื่นก็คงไม่สามารถรักษาได้หรอกนะครับ แต่ถ้าให้หมอวิเศษที่รักษาผมในตอนนั้นมารักษาให้ ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรนะครับ”“ตุ้ม !”หนิงชิงเสวี่ยรู้สึกว่าศีรษะของเธอจะระเบิด และเริ่มหายใจถี่ ๆ ขึ้นมาหากมีคนอื่นบอกเธอเรื่องนี้ เธอคงจะไม่เชื่อและรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกเธออย่างแน่นอนแต่คนที่พูดคือฉู่เซ