ซ่งหว่านฉิงตกตะลึงทันที ใบหน้าที่ราวกับสุกรโมโหจนบวมยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้นางกลัวว่าเสิ่นอวี้จะหนีรอดได้ จึงคิดแต่จะกระตุ้นให้ท่านอ๋องเฒ่าจ้านกับองค์หญิงใหญ่โมโหแล้วลงโทษนางให้ตายแต่คิดไม่ถึงเลยว่านางจะทนมาได้ถึงตอนนี้ กลับกันทำให้นางกับหลิ่วอี๋เหนียงตกสู่สถานการณ์สิ้นหวัง!ซ่งหว่านฉิงโมโหจนแทบบ้า เรื่องมาถึงขั้นนี้จึงทำได้เพียงถลึงตาใส่นางกล่าวว่า “ตอนที่เจ้ากรมซุนแย่งหนังสือสมรสปลอมไป เจ้าก็รู้เรื่องทุกอย่างแล้วใช่หรือไม่?”นางมีแผนการแยบยลขนาดนี้ได้อย่างไร?สายตาที่ซ่งหว่านฉิงมองนางราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้นเสิ่นอวี้เผยรอยยิ้ม มองเจ้ากรมซุนด้วยความเยาะเย้ย “ถ้าพูดถึงตรงนี้ ข้าต้องขอบคุณเจ้ากรมซุนจริง ๆ วินาทีที่เจ้าพุ่งเข้ามา ข้าคิดว่าเจ้าฉีกหนังสือสมรสข้าไปแล้วจริง ๆ ข้าตกใจมาก แต่เจ้ากรมซุนพุ่งเข้ามาหาข้าโดยไม่สนใจสถานะ ไม่สนใจชายหญิง แย่งหนังสือสมรสไปทำให้ข้าตกใจ”“พอข้าตื่นตระหนกจึงรีบแย่งชิ้นส่วนหนึ่งมา”“ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ไม่ใช่หรือ? เมื่อเห็นคนด้านข้างมาแย่งไป จึงคิดว่าเป็นของดี ข้าเลยอยากจะได้บ้าง...” “......”ทุกคนในห้องพูดไม่ออก ใบหน้าชราของเ
น้ำเสียงถึงกับแฝงด้วยความริษยา แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะยังไม่รู้สึกตัว แต่เมื่อคนด้านข้างได้ฟัง สายตาที่มองเขาก็กลายเป็นแปลกประหลาดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้จ้านอวิ๋นเซียวก็ไม่ใช่คนจัดการง่าย ๆ จึงกล่าวว่า “หลายปีมานี้องค์ชายสามวิ่งไปจวนโหวทุกวัน เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”ทันใดนั้นองค์ชายสามสีหน้าซีดขาวหลังจากได้สติกลับมาจึงหัวเราะเสียงดัง “ท่านอ๋องล้อเล่นแล้ว...” เดิมทีคิดจะกล่าวว่าเขาไปที่จวนโหวเพราะจะให้เสิ่นลั่วปรุงยาให้ แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วกลับไม่ได้พูดออกไปจากนั้นมองเสิ่นอวี้ด้วยสายตาซับซ้อนก่อนหน้านี้เสิ่นอวี้เป็นแค่หมากในมือของเขาเท่านั้น แค่ใช้เสร็จก็โยนทิ้ง แต่ตอนนี้เมื่อถึงคราวต้องโยนหมากเสียตัวนี้ทิ้งเขากลับไม่อยากทำแล้วจากความสามารถของนางในวันนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นเสิ่นจงต๋าคนที่สองที่ช่วยก่อตั้งราชอาณาจักรได้ ถ้าคนเช่นนี้มาช่วยเขาได้ละก็...ตอนนี้เขาเกิดความคิดเอาจริงขึ้นมาแล้วแต่ท่านอ๋องเฒ่าจ้านเมื่อได้ยินทุกคนพูดถึงเสิ่นจงต๋า จึงหาทางออกไม่ได้ เค้นเสียงเย็นกล่าวว่า “เอาหนังสือสมรสของจริงกลับมาก่อนก็ยังไม่สาย!”เสิ่นจงต๋ากับบิดาของเขาจ้านฉางอันสาบานเป็น
เสิ่นอวี้ขมวดคิ้วแน่น ในสมองรีบครุ่นคิดเรื่องบางอย่างสีหน้าของไป๋ชีสีหน้าไม่สู้ดีอย่างยิ่ง ต้องเจอเรื่องไม่ดีแน่ แต่เขาไม่ได้ตอบคำถามใคร กลับเดินไปทางจ้านอวิ๋นเซียว หนังสือสมรสนั้น...ตอนนี้ไป๋ชีกำลังกระซิบข้างหูจ้านอวิ๋นเซียวทันใดนั้นดวงตาของจ้านอวิ๋นเซียวเต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าที่เดิมทีมีแต่ความเย็นชายิ่งเย็นชามากขึ้นอีกหลายส่วน“ดูท่าจะไม่มีหนังสือสมรสจริง ๆ...ไม่รู้ว่าองครักษ์ไป๋ชีไปเจออะไรมา ถึงกับทำให้ท่านอ๋องโมโห ไม่พูดไม่ได้ว่าคุณหนูเสิ่นสามคนนี้ช่าง...”ทุกคนทยอยกันส่ายหัว“เสิ่นอวี้ ตอนนี้หาหนังสือสมรสไม่พบ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่!” ซ่งหว่านฉิงได้สติกลับมา ตะโกนไปทางเสิ่นอวี้ด้วยน้ำเสียงดุร้ายทันที “เจ้ายังจะใส่ร้ายข้ากับหลิ่วอี๋เหนียงอีกหรือไม่?”เมื่อหลิ่วอี๋เหนียงเห็นสถานการณ์จึงช่วยกล่าวเสริม “ใช่แล้วอวี้เอ๋อร์ เจ้าอย่าปากแข็งอีกเลย ไม่มีหนังสือสมรสแล้ว ต่อให้เจ้าพูดอะไรออกมา ก็เอาหนังสือสมรสออกมาไม่ได้แล้ว...เล่นกับความรู้สึกของท่านอ๋องครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ มีแต่จะยิ่งทำให้ท่านอ๋องเฒ่าจ้านโมโหนะ!”จากนั้นเจ้ากรมซุนส่ายหัว หัวเราะอย่างได้ใจ ลูบคางที่ไม
สีหน้าของเจ้ากรมซุนเดี่ยวเขียวเดี๋ยวขาว ท่าทางได้ใจเมื่อครู่ตอนนี้ยังแข็งค้างอยู่บนหน้า จับจ้องเสิ่นอวี้ไม่วางตาเสิ่นอวี้ยิ้มมองเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่แม้แต่จะหลบสายตาทั้งสองคนนิ่งไปขยับเมื่อองค์ชายสามเห็นก็มองไปทางจ้านอวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ท่านอ๋องหนังสือสมรสในมือของท่าน เป็นฉบับของท่านหรือของคุณหนูเสิ่นสามกัน?”เจ้ากรมซุนได้สติกลับมา หันไปมองจ้านอวิ๋นเซียวกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ปกป้องคุณหนูเสิ่นสามเลย ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าท่านชอบคุณหนูเสิ่นสาม แต่เรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของฮ่องเต้องค์ก่อน...”ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อว่าหนังสือสมรสในมือของจ้านอวิ๋นเซียวเป็นของนางจากความรักที่จ้านอวิ๋นเซียวมีให้นาง คนอื่น ๆ ก็เชื่อสิ่งที่องค์ชายสามกับเจ้ากรมซุนพูด จึงหันไปมองจ้านอวิ๋นเซียวเสิ่นอวี้ก็ขมวดคิ้วมองไปทางเขาตอนนี้นางก็ไม่มั่นใจว่าที่อยู่ในมือเขาเป็นของนางหรือเพราะเขาอยากช่วยนางจึงเอาของเขาออกมาแต่จากนิสัยของจ้านอวิ๋นเซียว เมื่อเจอกับคำถามไร้เหตุผลกับคำข่มขู่เช่นนี้...เมื่อเผชิญหน้ากับคำถาม ตอนแรกจ้านอวิ๋นเซียวมึนงงเล็กน้อยเขาเหมือนคิดไม่ถึงว่าจะเจอคำถามแบบนี
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่คนเป็นพ่ออย่างเสิ่นจิ้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อดปากกระตุกอย่างอดไม่ได้นี่ไม่ได้แปลว่าขอแค่เจ้ากรมซุนขอโทษนาง ตบหน้าตัวเองต่อหน้าทุกคนถึงจะเป็นคนน่าเชื่อถือหรอกหรือ?ตอนนี้สายตาที่มองนางของทุกคนในห้องโถงล้วนกลายเป็นซับซ้อนเดิมคิดว่ามีแค่จ้านอ๋องที่จัดการยาก คิดไม่ถึงว่าแม่นางเสิ่นสามก็ไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกันวันนี้เกรงว่าเจ้ากรมซุนคงถูกสั่งสอนเข้าจริง ๆ แล้วเจ้ากรมซุนอยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ จึงไม่อยากเป็นคนไร้สัจจะ และไม่อยากตบหน้าตัวเองด้วย ตอนนี้จึงกำลังโมโหมาก ท้ายที่สุดเขาจ้องเสิ่นอวี้อย่างเอาเป็นเอาตาย กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “แม่หนูเสิ่น เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”เสิ่นอวี้ไม่เปลี่ยนสีหน้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากรมซุนจะตบตัวเองหรือให้ข้าลงมือ?”ตอนที่ใส่ร้ายนางไม่เห็นคิดว่ารังแกกันเกินไปสักนิดเสิ่นอวี้นึกถึงชาติก่อนตอนที่ถูกคนกลุ่มนี้เล่นงาน จนสุดท้ายครอบครัวแตกสลาย จ้านอวิ๋นเซียวตายอย่างน่าอนาถ ในดวงตาจึงเผยความโกรธออกมาเมื่อเจ้ากรมซุนเห็นเขารู้สึกจิตใจสั่นสะท้านท้ายที่สุดฮ่องเต้ต้องหาทางออกให้เขา กล่าวกับขันทีข้างกาย “เจ้าไปตบหน้าเจ้ากรมซุนแทนเถอะ”
เสิ่นอวี้พูดแทรกนาง “ตอนที่ท่านคลอดข้า พี่หญิงเพิ่งอายุหนึ่งขวบครึ่ง”นางผิดหวังในตัวนางหลิ่วมากจริง ๆจนถึงตอนนี้แล้วนางยังพูดช่วยซ่งหว่านฉิง ทำให้นางลำบากใจจริง ๆด้านข้างมีคนหัวเราะออกมา “นางหลิ่วก็ทำเกินไป เห็น ๆ กันอยู่ว่าหนังสือสมรสยังอยู่ดี นางกลับยืนยันว่าถูกเผาไปแล้ว คำพูดที่พูดไปก่อนหน้านี้ ฟังดูแล้วเหมือนกำลังขอความเมตตาให้แม่นางเสิ่นสาม แต่ความจริงแล้วกลับกล่าวโทษแม่นางเสิ่นสามอยู่”“ตอนนี้เอาหนังสือสมรสกลับมาได้แล้ว นางกลับเริ่มทำตัวน่าสงสาร ตอนนี้ยังเล่าความลำบากในปีนั้นให้เด็กอายุหนึ่งขวบไปตามหมอมาช่วยนาง หรือว่าแม่นางตระกูลซ่งจะเป็นเด็กเทพ อายุเพียงขวบครึ่งก็สามารถพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ได้? เป็นอัจฉริยะจากหอนางโลมจริง ๆ!”เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้คนโง่ก็มองออกว่าหลิ่วอี๋เหนียงเข้าข้างซ่งหว่านฉิงหลิ่วอี๋เหนียงถูกเปิดโปงจนใบหน้าแดงก่ำท้ายที่สุดนางจ้องเสิ่นอวี้เรียกชื่อของนาง “เสิ่นอวี้ข้าขอถามเจ้า เจ้าอยากให้แม่ตายจริงหรือ?”นางเกิดอารมณ์ทั้งหมดจ้องเสิ่นอวี้อย่างดุร้ายเสิ่นอวี้ถึงได้รู้ว่า แม่ไม่เพียงลำเอียง ยังโหดเหี้ยมเย็นชา ถ้านางบีบคั้นนางหลิ่ว ต่อไปนางจะมีชื่
ในห้องมีคนมากมายหลายสิบคน แต่เสิ่นอวี้กลับรู้สึกรอบด้านเงียบสนิท มีเพียงเขาที่มองนางอยู่เงียบ ๆ มีเพียงเสียงของเขาที่ดังกังวานอยู่ในสมองของนางไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในดวงตาของนางมีน้ำตาไหลออกมา ถึงกับกล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “เพียงแค่ลืมไปเท่านั้น หนังสือสมรสนี้อยู่กับข้ามาตั้งแต่เกิด เหมือนเป็นยันต์คุ้มกันของข้า ข้าคุ้นเคยกับการมีมันอยู่ด้วยแล้ว ท่านอ๋องคืนมันให้ข้าเถอะ”จะไม่อยากเอาได้อย่างไร?ชาติก่อนนางตาบอด มองไม่เห็นความรู้สึกในดวงตาของเขา สัมผัสไม่ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา ทำร้ายเขามากมายขนาดนั้นสุดท้ายทุกคนทรยศนาง มีเพียงเขาคนเดียวที่ลากสังขารเต็มไปด้วยบาดแผลมาหานางความรักเช่นนี้ต่อให้นางเกิดใหม่อีกสามชาติก็คืนไม่หมดครั้งนี้นางไม่อยากจะทำร้ายจิตใจของเขาอีกแล้วเสิ่นอวี้หันหน้าเดินไปทางเขาบุรุษนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น แขนที่ถือหนังสือสมรสลืมเก็บกลับไป เขามองสตรีที่กำลังเดินมาทางเขาด้วยความตะลึง ไม่กล้าเชื่อว่าที่เขาได้ยินเป็นเรื่องจริงในสมองของเขาย้อนฟังคำพูดของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดถึงได้ยืนยันทีละคำ ๆมิผิด นางบอกว่าหนังสือสมรสเล่มนั้นอยู่กับนางมาตั้งแต่เด็
เสิ่นอวี้รู้ว่าตอนจบตรงหน้านี้เป็นสิ่งที่สองพ่อลูกไม่อยากเห็น แต่สิ่งที่นางอยากทำในชาตินี้คือเพียงต้องการปกป้องคนที่ตนรัก ความคิดของคนรอบข้างไม่ได้สลักสำคัญอีกต่อไป เพียงแต่ก็ไม่จำเป็นต้องบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้ศัตรูรู้ในเวลานี้ ดังนั้นจึงบอกเป็นนัยว่า “เมื่อก่อนเพราะหม่อมฉันไม่รู้ความ บัดนี้ได้เห็น ความเปลี่ยนแปลงที่มาจากทะเบียนสมรสแล้ว ถึงได้รู้ว่าโลกนี้อันตราย ทุกสิ่งทุกอย่างยังต้องทำตามกฎ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาเพราะความประมาทเพียงเล็กน้อยได้”“ข้าสงสัยว่านางกำลังด่าคน” เมื่อป่ายชีได้ยินเช่นนั้นมุมปากก็กระตุกพลางมองไปทางจ้านอวิ๋นเซียว จ้านอวิ๋นเซียวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วมองไปทางเสิ่นอวี้ และมักจะรู้สึกว่าช่วงหลายวันนี้นางเปลี่ยนไปมาก เพียงแต่เมื่อดูจากพฤติกรรมของนางในวันนี้ คำพูดนี้เมื่อฟังดูแล้วก็เหมือนกำลังด่าคนจริงๆ เมื่อมองไปทางฮ่องเต้ องค์ชายสาม เจ้ากรมซุน ใต้เท้าซ่งและคนอื่นๆ ก็เห็นเลยว่าสีหน้าพวกเขาแต่ละคนดูแย่มาก ราวกับกินแมลงวันเข้าไป ใครคิดบัญชีกับใคร ใครขโมยไก่ไม่ได้กลับเสียข้าวสารอีก วันนี้จะเห็นได้ชัดเจน แต่คำด่านี้ของเสิ่นอวี้ไม่ได้เป็นการพูดโดย