ช่วงเวลาเพียงพริบตา วันส่งท้ายปีก็มาถึงแล้วแน่นอน ทั้งซั่วเป่ยไม่มีการฉลองส่งท้ายปีผู้คนจำนวนมากกังวลเกี่ยวกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในค่ายทหารของซั่วฟางก็เช่นเดียวกัน ไม่มีบรรยากาศรื่นเริงใดแม้แต่น้อยคนมากมายลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเป็นหยุนเจิงสั่งให้ทหารสูทกรรมทำอาหารข้ามปีให้กับทุกคน คนจำนวนมากจึงนึกได้ว่าวันส่งท้ายปีมาถึงแล้วเดิมทีหยุนเจิงวางแผนจะร่วมฉลองส่งท้ายปีกับทหารภายในค่ายแต่เวลาช่วงบ่าย เยี่ยจื่อกลับพาคนใช้และองครักษ์ภายในจวนมาถึงภายในค่ายสิ่งที่พวกเขานำมา มีเกี๊ยวแช่แข็งมากมาย“พี่สะใภ้ ท่านดีมากเลย!”เมื่อเห็นเกี๊ยวจำนวนมาก เสิ่นลั่วเยี่ยนกอดเยี่ยจื่อด้วยท่าทางเกินจริงเยี่ยจื่อหัวเราะมุมปาก เคาะหน้าผากเสิ่นลั่วเยี่ยนเบาๆ “พอแล้ว รีบปล่อยข้า เป็นคนแต่งงานแล้ว เหตุใดยังทำท่าทางเหมือนเด็กอีก”เสิ่นลั่วเยี่ยนหัวเราะสดใจปล่อยเยี่ยจื่อ “เป็นเด็กมีสิ่งใดไม่ดีกันเล่า? ไร้กังวลไร้ความกลัว ไม่เหมือนพวกเราตอนนี้ ทั้งวันกังวลผมแทบจะขาวโพลนหมดแล้ว”“เจ้ากังวลสิ่งใด?”เยี่ยจื่อกรอกตาบนมองนาง จากนั้นก็กล่าวเสียดสีหยุนเจิง “คนที่ควรกังวลที่สุดย
สถานการณ์ตรงหน้า วิกฤตเช่นนี้เลยหรือ?เมื่อเห็นท่าทางเยี่ยจื่อ หยุนเจิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าหัวเราะ “สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่เจ้าคิด ข้าแค่พยายามทำให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดเท่านั้น!”“อื้ม ข้าเชื่อเจ้า!”เยี่ยจื่อฝืนยิ้มออกมา “พวกเจ้าเองก็ต้องระวัง เจ้าเป็นแม่ทัพหลัก ภารกิจสำคัญของเจ้าคือการจัดกำลังพล ไม่ใช่การบุกพิชิตข้าศึก! นอกจากนี้ เจ้าต้องห้ามเสิ่นลั่วเหยาไว้ด้วย เด็กคนนั้นสู้กันขึ้นมาก็รู้จักแต่วู่วาม”“ได้!”หยุนเจิงพยักหน้าขณะที่ทั้งสองคนสนทนากัน ร่างหนึ่งสวมชุดขนสัตว์สีขาวปรากฏตัวขึ้นทั้งร่างปกปิดอย่างแน่นหนา โผล่ออกมาแค่ดวงตาคู่เดียวครั้งแรกที่เห็นคนเช่นนี้ เยี่ยจื่ออดไม่ได้ที่จะตกใจ คิดว่ามีนักฆ่าโผล่มาจากที่ใด กำลังจะร้องตะโกนเรียกคน กลับถูกหยุนเจิงห้ามเอาไว้“คาราวะองค์ชาย!”ผู้มาก้มโค้งคาราวะหยุนเจิง“ไป คุยทางนั้น!”หยุนเจิงส่งสายตาให้ผู้มา เดินตามเขาไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว กระซิบถาม “มีสถานการณ์ใด?”ผู้มาก้มหน้า กล่าวด้วยความละอาย “ตอนนี้ไม่มีมีสถานการณ์ ทัพใหญ่เป่ยหวนเส้นทางใต้จุดไฟอยู่เสมอ เมื่อคืนสวางไสวทั้งคืน พวกเรากลัวถูกพบเห็น จึงไม่กล้าเข
“อวี้กั๋วกงมาเพื่อสิ่งใด?”ตอนที่กำลังรอยู่ที่ประตูค่าย เสิ่นลั่วเยี่ยนถามด้วยความสงสัยหยุนเจิงยกยิ้มมุมปาก ตอบกลับ “ยังจะมาเพื่อสิ่งใด? ย่อมต้องมาเพื่อประกาศพระราชโองการ! ผลงานใหญ่ของพวกเราก่อนหน้านี้ เสด็จพ่อยังไม่ได้พระราชทานรางวัลเลย!”“รางวัล?”เสิ่นลั่วเยี่ยนตาเป็นประกาย “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปี! อวี้กั๋วกงเร่งมาถึงในวันนี้ ดูเหมือนจงใจไปหน่อย!”“ย่อมต้องจงใจ!”หยุนเจิงพยักหน้ายิ้ม “บางที นี่อาจเป็นเรื่องประหลาดใจที่เสด็จพ่อเตรียมไว้ให้พวกเรากระมัง!”เรื่องประหลาดใจหรือ?เสิ่นลั่วเยี่ยนหัวเราะสดใจเรื่องประหลาดใจ นางไม่อยากคิดขอแค่ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจกลัวก็พอแล้ว!พวกเขายืนรออยู่หน้าประตูค่ายประมาณสองเค่อ เซียวว่านโฉวในที่สุดก็พาขบวนคนและม้ามาถึงหยุนเจิงและเสิ่นลั่วเยี่ยนมองตากันเงียบๆ รีบเข้าไปต้อนรับ“ข้าน้อยหยุนเจิง คาราวะอวี๋กั๋วกง!”หยุนเจิงทำความเคารพเซียวว่านโฉวสำหรับเซียวว่านโฉวทหารผ่านศึกผู้ยืนหยัดในสงครามหลัก หยุนเจิงเลื่อมใสนัก“องค์ชาย ไม่ได้!”เซียวว่านโฉวรีบพยุงหยุนเจิง “ควรเป็นข้าที่คาราวะองค์ชายและพระชายาถึงจะถูก!”“อย่า อย่า!”หยุนเจิงโบกมือ
“ได้!”เซียวว่านโฉวตอบรับอย่างสบายรู้ว่าเซียวว่านโฉวร้อนใจ หยุนเจิงเองก็ไม่อ้อมค้อมกับเขาตอนที่เซียวว่านโฉวกำลังกินเกี๊ยว หยุนเจิงบอกเรื่องที่เขากับเสิ่นลั่วเยี่ยนไปติ้งเป่ยแนะนำแผนให้กับเว่ยเหวินจงโดยตรง รวมทั้งความขัดแย้งของพวกเขา ก็บอกกับเซียวว่านโฉวด้วยเช่นกันเมื่อได้ฟังคำของหยุนเจิง เซียวว่านโฉววางชามลง ครุ่นคิดเงียบๆหลังชั่วครู่ เซียวว่านโฉวสีหน้าจริงจังกล่าว “ด้วยมุมมองข้า เรื่องนี้ องค์ชายและเว่ยเหวินจงล้วนไม่ผิด! แผนที่องค์ชายเสนอปฏิบัติได้จริง แต่เวลาเพียงครึ่งเดียวทัพกำลังเสริมของราชสำนักไม่มีทางมาถึงทัน เว่ยเหวินจงยังต้องคิดถึงเรื่องภายหลัง เขาคิดถึงความเสียหาย ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”“ตอนนั้นเป็นข้าที่วู่วาวเกินไป”หยุนเจิงพยักหน้าเล็กน้อย “แต่สถานการณ์วิกฤติตรงหน้า หากเว่ยเหวินจงไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ ข้ากังวลว่ากองทัพสี่หมื่นของสุยหนิงคงเลือกที่จะฝ่าวงล้อม!”“อื้อ นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน!”เซียวว่านโฉวพยักหย้า “ข้าเข้าใจความหมายขององค์ชายแล้ว! ข้าจะรีบไปติ้งเป่ย หากไม่มีวิธีที่ดี ข้าจะโน้มน้าวให้เว่ยเหวินจงทำตามแผนการขององค์ชาย!”“เช่นนั้นก็ขอบคุณอวี๋กั๋
รางวัลของจักรพรรดิเหวิน ไม่นับว่าอลังการแต่ก็นับได้ว่าไม่เลวเหตุผลสำคัญคือ พวกตู้กุยหยวนล้วนเป็นทหารจวนหยุนเจิงต่อให้จักรพรรดิเหวินประทานรางวัลให้เพียงใด ก็ไม่สามารถประทานรางวัลให้พวกตู้กุยหยวนในฐานะแม่ทัพมิฉะนั้น หยุนเจิงเป็นท่านอ๋องและเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจกุมทหาร เช่นนั้นจะกลายเป็นอะไร?รางวัลของจักรพรรดิเหวิน รวบรวมอยู่บนหัวของหยุนเจิงเป็นสำคัญ แล้วก็มีของพวกหลูซิ่งที่ไม่ใช่ทหารจวนหยุนเจิง ก็ได้รับรางวัลกันไม่น้อยตำแหน่งอย่างเป็นทางการของหยุนเจิงเปลี่ยนขั้นสามเป็นแม่ทัพผิงเป่ย บวกกับทรัพย์สมบัติมากมายพวกอวี๋ซื่อจงได้รับประทานรางวัลให้แค่ชุดเกราะชั้นดีเท่านั้น เสิ่นลั่วเยี่ยนได้ได้รับประทานรางวัลเป็นชุดคลุมขนสัตว์ที่ละเอียดปราณีตงดงามความหมายของจักรพรรดิเหวินนั้นชัดเจนมากตามผลงาน อวี๋ซื่อจง ตู้กุยหยวนและคนอื่น ล้วนสามารถได้รับประทานรางวัลดังเช่นแม่ทัพแต่เขาไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งคนเหล่านั้น ทำได้เพียงประทานชุดเกราะขุนนางตามสมควรเท่านั้นนี่นับว่าเป็นการยอมรับผลงานของพวกเขาแล้วเงินทองเหล่านั้น ย่อมต้องให้หยุนเจิงเป็นผู้มอบให้กับพวกเขาตามผลงานน้อยใหญ่ของพวกหลู่ซิ่
ชานเจียงเคยได้ยิน ชานอี้เคยได้ฟัง!อันหนึ่งตำแหน่งขุนนางบุ๋น อันหนึ่งตำแหน่งขุนนางบู้แต่ชานจือนี่ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนรู้แค่ชานจือ แต่ทำสิ่งใดนั้น ราชโองการจักรพรรดิเหวินก็ไม่ได้บอกเอาไว้!เมื่อเห็นทุกคนล้วนไม่รู้จักตำแหน่งขุนนางนี้ทำสิ่งใด จางซูอดไม่ได้ที่จะตกใจ “ฝ่าบาทเพื่อประทานตำแหน่งขุนนางให้ข้า คงไม่ตั้งตำแหน่งขุนนางโดยเฉพาะออกมาหรอกกระมัง?”“นี่...อาจเป็นไปได้!”หยุนเจิงยิ้มด้วยความประหลาดใจ “เจ้าได้เป็นข้าราชการก็พอแล้ว!”จางซูชะงักเล็กน้อย กล่าวด้วยความตกใจ “พูดเช่นนี้ ข้าคงไม่ใช่คนเดียวที่ได้ขุนนางตำแหน่งนี้ของต้าเฉียนเรา?”หยุนเจิงพยักหน้าเล็กน้อย “น่าจะใช่!”จางซูเมื่อได้ฟัง ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่ฝ่าบาทตั้งตำแหน่งขุนนางให้ข้าโดยเฉพาะเชียวนะ! ดีกว่ามีใบรับรองบัณฑิตจากสำนักศึกษาหัวเหวินเยอะเลย! วะฮ่าๆ...”จางซูหัวเราะเสียงดังอย่างสะใจ ทำเอาคนมองหน้าเป็นแถบสีดำทว่า เมื่อคิดถี่ถ้วน เรื่องนี้ก็นับว่ามีหน้ามีตามากแม้ตำแหน่งขุนนางนี้ไม่มีอำนาจใด แต่จักรพรรดิเหวินจงใจสร้างขึ้นให้จางซูโดยเฉพาะ!คำพูดนี้กล่าวออกไป นับว่ามีหน้ามีตาเช่นกัน!“เอาล่ะ เ
หลังจากการรวมตัวกันอย่างเรียบง่าย หยุนเจิงสั่งให้พวกเยี่ยจื่อกลับไปก่อนก่อนออกเดินทางก็กำชับอีกครั้ง ให้พวกนางรีบเดินทางไปยังถ้ำซ่อนทหารกลางคืน เสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินนั่งประกบหยุนเจิงซ้ายขวาทั้งสามครล้วนไม่พูดจา แค่นั่งโง่ๆ อยู่เช่นนั้นหากมีคนโผล่เข้ามา คงคิดว่าสามคนนี้ล้วนเอ๋อไปแล้ว!เพียงแต่ ในสมองของหยุนเจิงกำลังคิดการวางกำลังอย่างสมบูรณ์ ส่วนเสิ่นลั่วเยี่ยนและเมี่ยวอินคิดสิ่งใดอยู่ เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันหยุนเจิงทบทวนแผนการทั้หมดภายในสมองอีกรอบ จึงจะสลัดความคิดของตัวเองออกไปหันหน้ามองไป หญิงสาวทั้งสองต่างก็เบิกตากว้าง ทว่าดวงตาทั้งสองข้างกลับเหม่อลอยเห็นได้ชัด หญิงทั้งสองกำลังคิดเรื่องในใจ“ข้าว่า พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใด?”หยุนเจิงโอบกอดหญิงสาวคนละข้าง “พวกเจ้าคงไม่ได้กำลังคิดถึงครอบครัวตัวเองหรอกกระมัง?”ถูกหยุนเจิงถาม ทั้งสองสาวจึงหลุดออกจากความคิดเสิ่นลั่วเยี่ยนไม่ได้ปัดมือหยุนเจิงที่วางไว้ที่เอวออก จากนั้นก็กล่าวพึมพำ “ไม่รู้ว่าท่านแม่และพวกพี่สะใภ้จะฉลองวันส่งท้ายปีกันสนุกหรือไม่?”“น่าจะไม่สนุกกระมัง?”หยุนเจิงกล่าว “พวกนางคงกำลังเป็นห่วงพวกเรา”“เจ้าพู
เจียเหยายืนอยู่ตรงทางเข้ากระโจม มองดูทหารเหล่านั้นแข่งขันกันอย่างเงียบๆ ในใจผิดหวังเล็กน้อยดูเหมือน กองทัพที่ป้อมเมืองสุยหนิงจะไม่มาโจมตีค่ายแล้วเดิมนางคิดว่า หากกองทัพเมืองสุยหนิงคิดจะจัดการพวกเขา พวกเขาก็จะเอาชนะกองทัพของเมืองสุยหนิงได้ในคราวเดียว จากนั้นก็ยึดครองเมืองสุยหนิงเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลาไปบุกโจมตีซั่วฟางแล้วแต่กองทัพของเมืองสุยหนิงไม่ให้โอกาสนางต่อไป คงต้องไปสนใจเมืองซั่วฟางแล้ว!ช่างเถอะ!พอดีเลย นางก็อยากเจอกับหยุนเจิงที่ทำให้อาจารย์หมดความมั่นใจ!หากสามารถจับหยุนเจิงได้ ย่อมดีที่สุดขณะที่เจียเหยากำลังวางแผนเงีนยๆ ปานปู้ก็รีบร้อนเดินเข้ามาเมื่อเห็นสีหน้าของปานปู้ เจียงเหยาก็รู้ว่าเขามีเรื่องสำคัญจะรายกงาน จึงเชิญปานปู้เข้าไปคุยกันในกระโจม“องค์หญิง หน่วยสอดแนมของพวกเราได้รับข่าวสำคัญ!”เมื่อเดินเข้าไปในกระโจม ปานปู้กล่าวอย่างร้อนใจ “เมื่อคืนหยุนเจิงไปที่ติ้งเป่ย เหมือนจะเกิดความขัดแย้งกับเว่ยเหวิจง ด่าเว่ยเหวินจงตลอดเส้นทางที่ออกจากเมืองติ้งเป่ย”“เขาด่าสิ่งใด?” เจียเหยาถามด้วยความสนใจปานปู้ตอบ “ด่าเว่ยเหวินจงขี้ขลาดกลัวตาย ใจเสาะ”เช่นนั
โดยไม่ทันรู้ตัว เทศกาลปีใหม่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว คนในจวนอ๋องก็เริ่มยุ่งวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ความยุ่งวุ่นวายนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหยุนเจิง หยุนเจิงยังคงดื่มด่ำอยู่ในความสุขของครอบครัว และแวะไปโรงงานอาวุธทุกๆ สองสามวัน ปัจจุบัน โรงงานอาวุธได้ขยายขนาดเพิ่มขึ้นเกือบครึ่ง จำนวนศิษย์ฝึกงานในโรงงานก็เพิ่มขึ้นมาก ด้วยความพยายามของทุกคน ในที่สุด "ปืนยาวแบบนก" ที่หยุนเจิงตั้งใจพัฒนาก็สามารถผลิตได้สองกระบอกที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่ก็เพียงแค่สองกระบอกเท่านั้น หนึ่งกระบอกยาว หนึ่งกระบอกสั้น กระบอกสั้น คุณภาพถือว่าดีมาก แต่กระบอกยาว คุณภาพพอใช้ได้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยังถือเป็นข่าวดี เมื่อมีชิ้นงานสำเร็จ อย่างน้อยกระบวนการผลิตทั้งหมดก็ชัดเจนแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาเทคนิค เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง หยุนเจิงคิดจะใช้กังหันน้ำและชุดเฟืองหลายชุดเพื่อสร้างเครื่องกลึงแบบง่ายๆ แต่ปัญหาเรื่องดอกสว่านยังแก้ไม่ได้ หากไม่มีดอกสว่านคุณภาพดี เครื่องกลึงแม้สร้างขึ้นมาก็ไม่เกิดประโยชน์มากนัก อีกทั้ง ที่นี่ก็ไม่มีแหล่งน้ำ
องครักษ์เงาไม่ได้อยู่ในจวนอ๋องนานนัก หลังจากส่งมอบพระราชสาส์นลับจากจักรพรรดิเหวินให้หยุนเจิงแล้ว องครักษ์เงาก็รีบจากไป เมื่อเสิ่นลั่วเยี่ยนและพวกตามหาหยุนเจิงพบ เขากำลังอ่านพระราชสาส์นลับของจักรพรรดิเหวิน บนใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าของหยุนเจิง หญิงทั้งสามก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรง อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ "ใครส่งจดหมายมา?" เสิ่นลั่วเยี่ยนก้าวขึ้นไปถาม "ไปกันเถอะ ไปพูดกันในห้อง" หยุนเจิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและพาหญิงทั้งสามเข้าไปในห้อง เมื่อมาถึงห้อง หยุนเจิงส่งพระราชสาส์นลับของจักรพรรดิเหวินให้พวกนางอ่าน หญิงทั้งสามมารวมตัวกันอ่านเนื้อหาอย่างละเอียด เมื่อได้เห็นเนื้อหาในจดหมาย พวกนางก็รู้สึกโกรธเคืองอย่างยิ่ง แต่ในความโกรธก็มีความขันเจือปน "แค่หยุนลี่คนโง่เง่านั่น ยังกล้าคิดจะวางแผนร้ายต่อเจ้าอีกหรือ?" เสิ่นลั่วเยี่ยนกล่าวอย่างดูถูกพร้อมใช้คำพูดที่ได้ยินจากหยุนเจิง ในขณะที่หยุนลี่วางแผนอย่างรอบคอบ จักรพรรดิเหวินก็ลอบส่งคนมาแจ้งข่าวให้หยุนเจิง หยุนลี่ในตอนนี้ยังไ
เมื่อกล่าวจบ เสิ่นลั่วเยี่ยนก็เริ่มลองสวมทันที เมื่อเสิ่นลั่วเยี่ยนเป็นคนเริ่ม เมี่ยวอินและเยี่ยจื่อก็ค่อยๆ ลองสวมตาม หยุนเจิงไม่อยู่นิ่ง เดี๋ยวช่วยคนนี้ เดี๋ยวช่วยคนนั้น ในที่สุด หญิงทั้งสามก็สวมชุดชั้นในแบบใหม่เสร็จเรียบร้อย ก่อนจะสวมเสื้อนอกทับอีกชั้น เมื่อไม่มีผ้ารัดอกให้รู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังมีชุดชั้นในแบบใหม่ช่วยเสริมรูปร่าง หญิงทั้งสามที่รูปร่างร้อนแรงอยู่แล้วก็ดูยิ่งดึงดูดสายตา ทำเอาหยุนเจิงพยักหน้าไม่หยุด หญิงทั้งสามหันมามองกันและกัน ใบหน้าของแต่ละคนต่างแดงระเรื่อ "ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง? เจ้าชู้ตัวดี!" เสิ่นลั่วเยี่ยนยื่นปากพร้อมกับจ้องหยุนเจิงด้วยสายตา "พอใจสิ พอใจมาก!" หยุนเจิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอวอวบอิ่มของเสิ่นลั่วเยี่ยน แล้วจูบเบาๆ ที่ใบหน้าของนางที่อ้วนขึ้นเพราะตั้งครรภ์ พลางถามด้วยความคาดหวัง "เป็นอย่างไร ใส่แล้วสบายหรือไม่?" เสิ่นลั่วเยี่ยนขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะบิดตัวหยุนเจิงเบาๆ แล้วตอบด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ "ถึงจะเขินอยู่บ้าง แต่ใส่แล้วสบายดีจริงๆ" ในจุดนี้ เสิ่นลั่วเยี่ยนไม่ได้โกหก สำหรับนางในตอนนี้ การใช้ผ้ารัดอกนั้นช
“ใส่แบบนี้ได้จริงหรือ? มันน่าอายจะตาย…” “ใช่แล้ว ดูก็อายแทนแล้ว…” “ท่านพี่ อย่าให้ข้าใส่อันนี้เลยนะ ได้หรือไม่…” ในจวนอ๋องติ้งเป่ย สตรีสามคนของหยุนเจิงต่างหน้าแดงด้วยความอาย แม้แต่เมี่ยวอิน ผู้ที่ปกติกล้าหาญในเรื่องเช่นนี้ ยังถึงกับเขินอายจนทำอะไรไม่ถูก เสิ่นลั่วเยี่ยนถึงกับใช้เสียงแหลมเล็กซึ่งแม้แต่ตัวนางเองยังไม่ชอบ เอาอกเอาใจหยุนเจิง เพื่อหลีกเลี่ยงการลองสวมเสื้อชั้นในแบบใหม่ที่เขาประดิษฐ์ขึ้น สิ่งนี้เพียงแค่หยิบขึ้นมาก็รู้สึกน่าอายแล้ว สตรีในต้าเฉียนส่วนใหญ่มักจะใช้ผ้าพันอก โดยเฉพาะบรรดาคุณหนูจากตระกูลใหญ่ มิฉะนั้น ในฤดูหนาวคงไม่เท่าไร แต่หากเป็นช่วงที่ต้องแต่งกายเบาบาง สตรีที่มีรูปร่างดีเวลาเดินแล้วทรวงอกกระเพื่อม จะไม่ทำให้ผู้คนอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีหรือ? แต่เสื้อชั้นในแบบใหม่นี้ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยพันอก กลับยิ่งทำให้รูปร่างเด่นชัดขึ้น เมื่อไม่นานมานี้ ภายในจวนได้สร้างเตาผิงหลายแห่งตามคำสั่งของหยุนเจิง ทำให้ห้องหลายห้องอบอุ่นมาก พวกนางพอเข้ามาก็ถอดเสื้อผ้าออกถึงสองชั้น หากสวมใส่สิ่งนี้ต่อหน้าหยุนเจิงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องสวมสิ่งนี้ออกไปข้างนอก แล
เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิเหวินทรงตัดสินพระทัยได้แล้ว หยุนลี่ถึงกับดีใจจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่ พยายามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ หยุนลี่กล่าวขึ้นว่า “ขอเสด็จพ่อโปรดมีพระบัญชา ให้โจวเต้ากงนำกองกำลังเตรียมพร้อม และเมื่อเจ้าหกมาถึงหัวเมืองสี่ทิศ ให้เข้าควบคุมตัวเจ้าหกทันที! อีกทั้ง ขอพระบัญชาให้จ้าวจี้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ นำทัพทหาร 30,000 นายที่ฝีมือเยี่ยม เข้าประจำการในหุบเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของหัวเมืองสี่ทิศอย่างลับๆ” เมื่อได้ฟังคำพูดของหยุนลี่ หัวใจของจักรพรรดิเหวินพลันเย็นเยือก เจ้าลูกทรพี! คิดจะระดมกองทัพจากตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อจัดการเจ้าหกอย่างนั้นหรือ? เขาคิดจะจุดชนวนสงครามกลางเมืองในต้าเฉียนหรืออย่างไร? “การระดมพลจากตะวันตกเฉียงเหนือในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ทันการ” จักรพรรดิเหวินทรงพยายามระงับพระอารมณ์ ก่อนตรัสว่า “กองกำลังจากตะวันตกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นทหารราบ ต่อให้รีบเร่งเดินทัพมา คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนครึ่ง” หยุนลี่ถึงกับพูดไม่ออก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยุนลี่จึงกล่าวต่อ “เช่นนั้น ขอพระบัญชาให้จ้าวจี้นำทัพทหารม้าชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายมาแทนพ่ะย่ะค่ะ!
“ลูก…ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” หยุนลี่ตอบอย่างตะกุกตะกัก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าหยุนเจิงมีกำลังทหารในมือมากเพียงใด คนที่เขาส่งไปซั่วเป่ยแทบไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องในกองทัพเลย “ข้าจะบอกเจ้าเอง!” จักรพรรดิเหวินทรงลูบพระนลาฏเบาๆ พระพักตร์เต็มไปด้วยความกังวล “น้องหกของเจ้ามีกำลังพลในมือมากกว่าสองแสนนาย และหากเขาต้องการ ก็สามารถรวบรวมทหารเพิ่มได้อีกหนึ่งแสนนายทันที! ยิ่งไปกว่านั้น กองทัพของชนเผ่าเป่ยหวนและเป่ยหมัวถัวยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา! ข้ากระทั่งสงสัยว่า หากเขาต้องการ เขาสามารถเรียกกองทัพห้าแสนนายมาได้ทันที!” “ห้า…ห้าแสน?” หยุนลี่อ้าปากค้าง แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน กองทัพห้าแสน? เจ้าหก เจ้าคนเลวนั่นสามารถเรียกกองทัพห้าแสนได้ตลอดเวลา? นี่…เป็นไปได้อย่างไร! เจ้าหกจะเลี้ยงกองทัพห้าแสนไหวหรือ? จักรพรรดิเหวินทรงถอนหายใจยาว “เจ้าต้องการนำเจ้าหกกลับเมืองหลวง ข้าไม่ขัดข้อง! แต่เจ้าต้องพิจารณาดู หากเจ้าไม่ประสบความสำเร็จ และยังทำให้เจ้าหก เจ้าลูกทรพีนั่นโกรธขึ้นมา เจ้าจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร?” “นี่…” หยุนลี่ไม่รู้จะตอบคำถามของจักรพรรดิเหวินอย่าง
ไม่นาน มู่ซุ่นก็พาหยุนลี่เข้ามา “ลูกขอคารวะเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่หยุนลี่เข้ามา เขาก็คำนับอย่างนอบน้อม จักรพรรดิเหวินทรงพยักหน้าให้หยุนลี่นั่งลง พลางตรัสยิ้มๆ ว่า “ครั้งหน้า หากมีธุระก็ให้มู่ซุ่นปลุกข้าเถิด อย่ายืนรออยู่ด้านนอกนานนัก” “เสด็จพ่อทรงเหนื่อยจากการเดินทาง ลูกยืนรออีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” “ตอนนี้เจ้าก็เริ่มเหมือนรัชทายาทแล้วล่ะ” จักรพรรดิเหวินทรงมองหยุนลี่ด้วยความพอพระทัย “พูดมาเถอะ เจ้าจะมีเรื่องอันใด? บอกมาให้จบก่อน แล้วข้าจะได้สั่งงานเจ้าบ้าง” “ขอเสด็จพ่อทรงบัญชาลูกก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิเหวินทรงนิ่งตรองเล็กน้อย ก่อนจะทรงโบกพระหัตถ์ให้มู่ซุ่นและนางกำนัลที่คอยรับใช้ในห้องออกไป เมื่อไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ จักรพรรดิเหวินจึงตรัสว่า “ครั้งนี้ที่ข้าไปซั่วเป่ย ข้าตั้งใจไปดูมันเทศที่จางซูพูดถึง ข้าถามผู้คนหลายคนแล้ว และมั่นใจว่ามันเทศนั้นให้ผลผลิตสูงมาก! ข้าตั้งใจจะนำมันเทศนั้นเข้ามาปลูกในเขตใน แต่เจ้าหก เจ้าลูกทรพีนั่นกลับบอกว่าต้องมาคุยเรื่องนี้กับเจ้า…” ต้องมาคุยกับตนเอง? เปลือกตาของหยุนลี่กระตุกทันที เขารับรู้ได้ในทันทีว่า เจ้าหก
ในขณะที่หยุนเจิงกำลังยุ่งอยู่กับการอุทิศตนเพื่อสุขภาพของสตรีทั่วหล้า จักรพรรดิเหวินก็กลับมาถึงหัวเมืองสี่ทิศ มู่ซุ่นเดินทางกลับมาพร้อมกับจักรพรรดิเหวิน เมื่อหยุนลี่ทราบข่าว เขาก็นำคณะขุนนางมารับเสด็จทันที “จากราชสำนักมีใครส่งรายงานมาไหม?” จักรพรรดิเหวินทรงถามถึงเรื่องสำคัญทันทีที่เสด็จกลับมา “มีพ่ะย่ะค่ะ” หยุนลี่รีบรายงาน “เซียวว่านโฉวนำทัพไปช่วยเจียวลู่อ๋องซื่อจื่อปราบปรามกบฏสำเร็จแล้ว แต่พวกเขาช้าก้าวหนึ่ง กัวซื่อนำกองกำลังหลายพันคนหลบหนีไปยังเผ่าต่างๆ ทางหมอซี เจียวลู่อ๋องซื่อจื่อได้ถวายฎีกาต่อราชสำนัก ขอพระราชทานพระราชโองการแต่งตั้งให้เขาสืบตำแหน่งเจียวลู่อ๋อง…” หลังจากการปราบกบฏของกัวซื่อสำเร็จ หนานจ้าวและอวี้หนานในปีนี้ก็แสดงความจงรักภักดีได้ดีขึ้นมาก ทั้งสองแคว้นได้ส่งบรรณาการเข้ามา โดยจำนวนสิ่งของบรรณาการมากกว่าปีก่อนถึงสามส่วน ราชาหนานจ้าวยังได้กราบทูลขอส่งองค์ชายรัชทายาทมายังเมืองหลวงต้าเฉียนเพื่อศึกษาเล่าเรียน การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติในทางใต้กำลังดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ เพียงแต่มีกลุ่มผู้ประสบภัยบางคนจุดไฟในหุบเขาเพื่อให้ความอบอุ่น จนเกิดไฟป่าครั
แต่ที่น่าเสียดายคือ เจียเหยาไม่ใช่สตรีแบบนั้น! ทุกความยินยอมและการประนีประนอมของเจียเหยาต่อเขาล้วนเกิดจากสถานการณ์บีบบังคับ เยี่ยจื่อย่อมชื่นชมเจียเหยาอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ แต่หากเจียเหยาเป็นสตรีที่หลงใหลในความรักอย่างเดียว เยี่ยจื่ออาจไม่รู้สึกชื่นชมนาง และคงไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ว่านางกับหยุนเจิงจะได้อยู่ด้วยกันหรือไม่ "ไม่แน่หรอก" เยี่ยจื่อยิ้มบาง "เรื่องของความรัก ไม่มีใครในโลกนี้สามารถอธิบายได้ชัดเจน! เช่นเดียวกับข้า ข้าไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งข้าจะไม่สนใจสายตาของผู้คนในแผ่นดิน และรักชายคนหนึ่งอย่างไม่ลังเล พร้อมทั้งให้กำเนิดบุตรธิดาแก่เขา..." "เรื่องของพวกเจ้ามันไม่เหมือนกัน" หยุนเจิงบีบเบาๆ ที่ตัวเยี่ยจื่อ "พอแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย! รีบลุกขึ้นเถิด ไม่เช่นนั้นพอคนในจวนมาเรียกเราไปกินข้าวเย็น เจ้าคงอายอีกแน่" "ก็เพราะเจ้านั่นแหละ!" เยี่ยจื่อเอ่ยตำหนิด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นและสวมเสื้อผ้า เมื่อเห็นเยี่ยจื่อสวมชุดชั้นใน หยุนเจิงก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอีก "ยังมองอยู่อีกหรือ?" เยี่ยจื่อปรายตามองหยุนเจิงด้วยความเข