หลังจากออกจากตระกูลซู โหวซื่อไคก็รีบเดินทางไปยังหัวเมืองสี่ทิศเพื่อทำการซื้อขายน้ำตาลแดงหัวเมืองสี่ทิศแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาเขตของตระกูลซูโดยสมบูรณ์ การกระทำของโหวซื่อไค ย่อมไม่อาจเล็ดลอดสายตาของคนในตระกูลซูไปได้จากพฤติกรรมของโหวซื่อไค พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่า น้ำตาลขาวนั้นผลิตขึ้นจากน้ำตาลแดงที่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์เมื่อคิดถึงกำไรอันมหาศาลของน้ำตาลขาว ซูซ่งฝู่ก็รีบเรียกประชุมผู้อาวุโสทั้งหกของตระกูลซูในทันที เพื่อหารือกันว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจน้ำตาลขาวนี้ได้อย่างไรโอกาสอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว!หากมีเงินให้หา ยังนิ่งเฉยอยู่ ก็คงเป็นพวกโง่งมเต็มที!แต่ว่า โหวซื่อไคกลับปากแข็งเกินไปและที่สำคัญ ดูเหมือนว่าโหวซื่อไคจะไม่ต้องการให้ตระกูลซูเข้ามาแบ่งส่วนแบ่งในธุรกิจนี้เลย!หากต้องการเข้ามาในธุรกิจน้ำตาลขาว ก็ต้องหาทางให้โหวซื่อไคเปิดปากให้ได้ขณะที่ทุกคนกำลังหารือกันว่าจะบีบให้โหวซื่อไคพูดออกมาได้อย่างไร จู่ๆ ก็มีคนจากจวนของซูเฮ่อเหนียนรีบรุดเข้ามา เขาก้มกระซิบข้างหูซูเฮ่อเหนียนอย่างลับๆ“ว่าอย่างไรนะ!?”ซูเฮ่อเหนียนถึงกับลุกพรวดขึ้นทันที ก่อนจะลากพ่อบ้
“รายงาน! รายงานด่วน! มีตั๊กแตนระบาดหนักในเป่ยหวน เป่ยหวนได้รวบรวมกำลังทหารม้าเหล็กจำนวนสองแสนนายที่ชายแดน ราชครูแห่งเป่ยหวนได้นำทัพด้วยตนเองมุ่งมาทางเมืองหลวงเพื่อขอเสบียง อีกไม่กี่วันก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ!”“มาขอเสบียงต้องใช้กำลังพลทหารม้าเหล็กสองแสนนายเลยรึ เป่ยหวนสมควรตาย นี่มันกำลังข่มขู่ข้าชัดๆ!”“ฝ่าบาท ราชวงศ์ของเราเพิ่งประสบกับคดีที่องค์รัชทายาทกบฏ ภายในไม่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปิดศึกกับเป่ยหวนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”“มีราชโองการ: ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ขุนนางในราชสำนักเร่งมาที่พระราชวังเพื่อประชุมด่วน หากผู้ใดล่าช้า มีโทษประหาร!”...ณ ที่พำนักขององค์ชายหก เรือนปี้ปัว ราชวงศ์ต้าเฉียน หยุนเจิ้งนั่งอยู่คนเดียวที่ศาลาในสวนแม้ว่าเขาจะยอมรับความจริงเรื่องทะลุมิติเวลามาได้แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อยเหตุใดจึงทะลุมิติเวลามาอยู่ในร่างขององค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เล่า!ที่สำคัญคือ คนผู้นี้ยังบังเอิญได้รับจดหมายเลือดที่องค์รัชทายาททิ้งไว้เพื่อเปิดโปงเรื่ององค์ชายสามกล่าวหาว่าองค์รัชทายาทก่อกบฏ หลังจากนั้นก็ทำให้เขาถูกองค์ชายสามจับตามองอยู
ตอนมีชีวิตอยู่ก็คับอกคับใจมากอยู่แล้ว ยังจะตายอย่างคับอกคับใจอีก!“คนผู้นั้นไม่ได้ให้อันใดข้าเลยจริงๆ”หยุนเจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเดาว่าคนผู้นั้นถูกบีบบังคับจนไร้ทางเลือกแล้ว ถึงได้วิ่งเต้นมาหาข้าถึงที่เรือนนี้”หยุนลี่หรี่ตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”หยุนเจิงแบมือสองข้างพลางกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อเช่นนั้น!”เมื่อเห็นท่าทางนี้ของหยุนเจิง นางกำนัลหลายคนก็ทำท่าทางเหมือนกับเห็นผีก็มิปานพระเจ้าช่วย!องค์ชายหกผู้อ่อนแอผู้นี้ช่างกล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับองค์ชายสามเมื่อวานเขาถูกองค์ชายสามตบหน้าฉาดใหญ่จนสมองเลอะเลือนไปแล้วกระมังเมื่อเห็นหยุนเจิงทำตัวแปลกไปเช่นนี้ สีหน้าของหยุนลี่พลันเคร่งขรึมลง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่เจ้าดื้อรั้นจะไม่ยอมเอาของที่คนผู้นั้นให้เจ้าออกมาให้ข้าอย่างนั้นรึ?”“ก็ข้าไม่มี ข้าจะเอาให้เจ้าได้อย่างไรกันเล่า”หยุนเจิงยักไหล่ “เอาหล่ะ ข้ายังต้องไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของเจ้า! หากเจ้าคิดว่าข้ามีของที่เจ้าต้องการ เจ้าก็เรียกคนมาค้นหาเองเถอะ!”ขณะท
ภายในตำหนัก จักรพรรดิเหวินเรียกเหล่าขุนนางมารวมตัวกันด่วนเพื่อหารือรับมือเรื่องเป่ยหวนขอเสบียงอาหารณ ตอนนี้จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่งหากมอบเสบียงให้เป่ยหวน ก็เท่ากับว่าสนับสนุนศัตรูของแคว้นต้าเฉียนแต่หากไม่มอบเสบียงให้ เป่ยหวนก็ไม่มีทางรอดในเหมันตฤดูที่จะมาถึง และต้องลงทางใต้เพื่อปล้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงตอนนั้น ทางเหนือที่กำลังทำการฟื้นฟูมาเป็นเวลาหลายปี คงต้องเข้าสู่สงครามอันวุ่นวายอีกครั้งแคว้นต้าเฉียนเพิ่งจะประสบกับแผนการก่อกบฏขององค์รัชทายาท ศึกภายในยังไม่นิ่ง ตอนนี้หากต้องทำศึกกับเป่ยหวน โอกาสชนะมีน้อยมาก และแม้ว่าจะชนะ ก็เกรงว่าจะเป็นชัยชนะที่น่าสังเวชและในขณะที่จักรพรรดิเหวินกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่นั้น ฝ่ายสงครามกับฝ่ายสันติก็กำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอย่างไรก็ตาม ฝ่ายสันติมีความได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัดจักรพรรดิเหวินฟังการโต้เถียงนี้จนปวดเศียรเวียนเกล้า อีกทั้งยังไม่อาจได้และในตอนนี้เอง ซูเฟยร้องห่มร้องไห้เดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่สนการขัดขวางขององครักษ์ที่อยู่ด้านหน้าตำหนักแต่อย่างใดเลย “ฝ่าบาท ได้โปรดให้ควา
หากไม่หนีจะอยู่ทำหอกอันใดในวังหลวงล่ะ?หากอยู่ในวังหลวงต่อ ก็ต้องถูกฆ่าตายเป็นแน่!หนี!ต้องหนี!สายตาของจักรพรรดิเหวินดุดันขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา จ้องมองหยุนเจิงพลางกล่าว “เจ้าลูกทรพี เหตุใดเจ้าถึงไม่พูด เราจะให้เจ้าพูด ให้โอกาสเจ้าอธิบาย!”หยุนเจิงรับกับความโกรธโค้งคำนับพลางกล่าว “ลูกไม่อยากอธิบายพ่ะย่ะค่ะ และไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย! ไม่ว่าอย่างไร ลูกก็บังอาจทำร้ายพี่สามเช่นนั้น ไปแล้ว! ลูกยอมรับโทษพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยอนคำพูดนี้ของหยุนเจิง สวีสือฝู่ก็อดที่จะทำเสียงเหอะๆ อยู่ในใจไม่ได้ สวะไร้ประโยชน์ก็ยังเป็นสวะไร้ประโยชน์อยู่วันยังค่ำ!ให้โอกาสไปแล้วก็ไม่ใช้ทว่า ต่อให้ให้โอกาสคนไร้ประโยชน์อธิบายมันก็ไร้ค่าอยู่ดี!เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ให้จักรพรรดิเหวินถอดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายไร้ประโยชน์นี้ให้เป็นสามัญชนคนธรรมดาสวีสือฝู่ครุ่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโค้งคำนับและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ในเมื่อองค์ชายหกยอมรับโทษแล้ว โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนคนธรรมดา เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”“โปรดฝ่าบาทลดยศฐาบรรดาศักดิ์องค์ชายหกเป็นสามัญชนเพื่อไม่
เช่นนั้น ให้เริ่มที่หยุนเจิงเป็นคนแรกเลยก็แล้วกัน!คำพูดของหยุนเจิงทรงพลัง ดังก้องไปทั้งตำหนักเมื่อได้ยินคำพูดของหยุนเจิง ความเป็นวีรบุรุษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของคนหลายคนแม่ทัพหลายคนไม่ได้สนิทมักคุ้นกับหยุนเจิง ยากมากที่จะได้รับความชื่นชมจากพวกเขาไม่นานนักหลายคนต่างเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าเรากับเป่ยหวนจะเปิดศึกรบกัน! หากองค์ชายหกลงสนามออกรบด้วยตัวเอง จะเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! องค์ชายหกมีฐานะสูงศักดิ์ แต่ยังใจกล้าออกรบไม่กลัวตาย กระหม่อมเป็นชาวต้าเฉียน จะเสียดายชีวิตได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ?”“ได้โปรดฝ่าบาทอนุญาตองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังให้ให้เหล่าทหาร!”ในขณะที่แม่ทัพกล่าวนั้น ก็มีเสียงสนับสนุนปรากฏขึ้นไม่น้อยโดยเฉพาะฝ่ายบู๊พวกเขาไม่ได้หวังว่าหยุนเจิงจะฆ่าศัตรูในสนาม แต่หยุนเจิงสามารถทำให้ขวัญกำลังของกองทัพแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆสำหรับทางเหนือที่อาจเปิดศึกสงครามได้ตลอดเวลานั้น เรื่องนี้เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ขอ
ซูเฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาทเพคะ แม้ว่าลี่เออร์จะไม่เป็นไรมาก แต่…”“หุบปาก!”จักรพรรดิเหวินเบิกพระเนตรจ้องไปที่ซูเฟย “เจ้าหกนิสัยเช่นไร ขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักต่างรู้ดี! หากวันนี้ไม่ใช่ว่าเกิดเรื่อง เจ้าหกจะกล้าทำเช่นนี้กับเจ้าสามหรือ ข้าก็ไม่อยากไล่ถามถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้แล้ว เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้!”ซูเฟยชะงักงัน ตอนนี้นางยิ้มไม่ออกแล้วจักรพรรดิเหวินปรามซูเฟยแล้วก็โบกพระหัตถ์ไปยังหยุนเจิงอย่างเหนื่อยล้า “แล้วเจ้าก็กลับไปขอโทษที่สามของเจ้าด้วย เรื่องนี้ก็ให้มันผ่านไปเช่นนี้เถอะ!”ซวยแล้ว!แสดงเกินบทบาท!หยุนเจิงค่อยๆ มองไปทางสวีสือฝู่กับซูเฟย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสองพี่น้องนี้จะกระโดดขึ้นมาคัดค้านแม้ว่าสวีสือฝู่กับซูเฟยไม่กล้าดื้อดึงสุดขีดอีก แต่คำพูดของจักรพรรดิเหวินเมื่อครู่นี้ได้ตัดความคิดที่จะเรียกร้องให้จักรพรรดิเหวินลดหยุนเจิงเป็นเพียงสามัญชนแล้วจากนี้ย่อมมีโอกาสจัดการหยุนเจิง!พอหยุนเจิงเห็นว่าคาดหวังอะไรจากคนตัวดีสองคนนี้ไม่ได้เลย เขาจึงคุกเข่าลง “ตุ้บ“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่มีพระทัยกว้างขวาง!”หยุนเจิงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แต
ไม่ว่าหยุนเจิงจะยินยอมหรือไม่ จักรพรรดิเหวินก็ได้ออกราชโองการแล้ว เขาก็ทำได้แต่ยอมรับเอาเถอะ!แต่งงานพระราชทานก็พระราชทานมาเถอะ!เอาอำนาจทหารมาให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!จะยังไง จะดีจะร้ายยังไงตนก็ยังคงเป็นองค์ชายอยู่นะ!พิธีมงคลสมรสขององค์ชาย ต่อให้พวกขุนนางจะดูถูกตนมากเพียงใด อย่างไรก็ต้องเออออตามกันอืม ฉวยโอกาสทำเงิน!ยิ่งมากยิ่งดีมีทัพทหารม้าแล้วก็ต้องมีเงินมีเสบียงกรังด้วย!เพียงแต่ หากเป็นเช่นนี้ ก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงอีกสักช่วงหนึ่งสินะ!พวกหยุนลี่กับซูเฟยก็ต้องฉวยโอกาสนี้แก้แค้นตนแน่ๆ!ช่วงเวลาที่อยู่เมืองหลวงนี้ เป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงอันตรายมากแน่ๆต้องรีบหาวิธีรับมือ!“องค์ชายหก ช้าก่อน!”ขณะที่หยุนเจิงเดินไปคิดไปนั้น หัวหน้าขันทีมู่ซุ่นผู้รับใช้ข้างกายจักรพรรดิเหวินก็ไล่ตามเขามาหยุนเจิงหยุดฝีเท้า หันหลังกลับดูมู่ซุ่น “หัวหน้ามู่เรียกข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”หยุนเจิงมองมู่ซุ่น จิตใจของเขาตื่นตระหนกขึ้นมามู่ซุ่นเป็นคนสนิทใกล้ตัวพ่อจำเป็นนั่นเชียวนะแม้แต่องค์รัชทายาทองค์ก่อนยังต้องให้เกียรติมู่ซุ่นถ้าหากว่าสามารถชักชวนมู่ซุ่นมาเป็นพวก…ไม่ช้า หยุนเจิงก็ยกเลิ
หลังจากออกจากตระกูลซู โหวซื่อไคก็รีบเดินทางไปยังหัวเมืองสี่ทิศเพื่อทำการซื้อขายน้ำตาลแดงหัวเมืองสี่ทิศแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาเขตของตระกูลซูโดยสมบูรณ์ การกระทำของโหวซื่อไค ย่อมไม่อาจเล็ดลอดสายตาของคนในตระกูลซูไปได้จากพฤติกรรมของโหวซื่อไค พวกเขาก็สามารถคาดเดาได้ทันทีว่า น้ำตาลขาวนั้นผลิตขึ้นจากน้ำตาลแดงที่ผ่านกระบวนการกลั่นให้บริสุทธิ์เมื่อคิดถึงกำไรอันมหาศาลของน้ำตาลขาว ซูซ่งฝู่ก็รีบเรียกประชุมผู้อาวุโสทั้งหกของตระกูลซูในทันที เพื่อหารือกันว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจน้ำตาลขาวนี้ได้อย่างไรโอกาสอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว!หากมีเงินให้หา ยังนิ่งเฉยอยู่ ก็คงเป็นพวกโง่งมเต็มที!แต่ว่า โหวซื่อไคกลับปากแข็งเกินไปและที่สำคัญ ดูเหมือนว่าโหวซื่อไคจะไม่ต้องการให้ตระกูลซูเข้ามาแบ่งส่วนแบ่งในธุรกิจนี้เลย!หากต้องการเข้ามาในธุรกิจน้ำตาลขาว ก็ต้องหาทางให้โหวซื่อไคเปิดปากให้ได้ขณะที่ทุกคนกำลังหารือกันว่าจะบีบให้โหวซื่อไคพูดออกมาได้อย่างไร จู่ๆ ก็มีคนจากจวนของซูเฮ่อเหนียนรีบรุดเข้ามา เขาก้มกระซิบข้างหูซูเฮ่อเหนียนอย่างลับๆ“ว่าอย่างไรนะ!?”ซูเฮ่อเหนียนถึงกับลุกพรวดขึ้นทันที ก่อนจะลากพ่อบ้
เมื่อเห็นว่าโหวซื่อไคไม่ยอมบอกที่มาของน้ำตาลขาว ซูซ่งฝู่ก็รู้สึกไม่พอใจอีกครั้งทว่า ครั้งนี้ เขาไม่ได้แสดงออกมา“หลานชาย น้ำตาลขาวเหล่านี้ เจ้าซื้อมาด้วยเงินเท่าใด?”ซูซ่งฝู่มองน้ำตาลขาวที่โหวซื่อไคเพิ่งห่อกลับไปด้วยสายตาเป็นประกาย“อืม… ห้าร้อยตำลึง!”โหวซื่อไคกล่าวพลางยิ้มกว้างห้าร้อยตำลึง?เป็นไปได้หรือ?หากน้ำตาลขาวเพียงแค่นี้มีราคาห้าร้อยตำลึง โหวซื่อไคจะกล้าเสนออัตราดอกเบี้ยสูงถึงเพียงนี้หรือ?เขาคงตั้งใจแจ้งราคาซื้อให้สูงเกินจริงแน่!ไม่แน่ว่า ต้นทุนที่แท้จริง อาจไม่ถึงสามร้อยตำลึงด้วยซ้ำ!แต่หากขายออกไปแล้ว ของเพียงเท่านี้ อาจมีราคาถึงเจ็ดถึงแปดตำลึงทองเลยก็ได้!กำไรมหาศาล!นี่คือกำไรที่แท้จริง!ไม่น่าแปลกใจเลยที่โหวซื่อไคกล้าเสนออัตราดอกเบี้ยสูงถึงสองส่วน!ทันใดนั้น จิตใจของซูซ่งฝู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวในเมื่อสามารถทำกำไรได้มากถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดต้องให้โหวซื่อไคเป็นฝ่ายทำกำไรไปทั้งหมด? เหตุใดต้องให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยเงินกู้ แล้วรับเพียงดอกเบี้ยสองส่วน?แม้ว่าดอกเบี้ยสองส่วนจะสูงมากก็จริง แต่เมื่อเทียบกับกำไรของโหวซื่อไคแล้ว ยังห่างชั้นกันมาก!ใครกันจะไม่อยากห
แต่สิ่งสำคัญคือ ทำธุรกิจอะไรถึงได้กำไรงามขนาดนั้น?ธุรกิจแบบไหนกัน ที่ทำให้โหวซื่อไคมั่นใจถึงเพียงนี้ ว่าจะสามารถหาเงินคืนทั้งต้นทั้งดอกได้ภายในหนึ่งเดือน!?“หลานชาย บอกลุงได้หรือไม่ว่า เจ้าไปทำธุรกิจอะไรกันแน่?”ซูซ่งฝู่เริ่มสนใจขึ้นมา “หากธุรกิจนี้ทำกำไรได้ดี ท่านลุงเองก็อยากมีส่วนร่วมกับเจ้าสักหน่อย”“เอ่อ…”โหวซื่อไคแสดงสีหน้าลำบากใจ ลังเลอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงใจ “ไม่ปิดบังท่านลุง เรื่องนี้ทำกำไรได้มากจริงๆ! มิใช่ว่าหลานไม่อยากบอกท่านลุง เพียงแต่ว่าหลานให้สัญญากับผู้อื่นไว้ ว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หากเปิดเผยออกไป หลานอาจถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ”“ถึงแก่ชีวิต?”ธุรกิจอะไร ถึงกับต้องเสี่ยงหัวขาด!?ซูซ่งฝู่ยิ่งรู้สึกสงสัยและอยากรู้มากขึ้นกว่าเดิมซูซ่งฝู่หัวเราะเบาๆ มองโหวซื่อไคด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “วางใจเถิด ท่านลุงเองก็ผ่านโลกมามากพอ ย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี! หากเจ้าบอกข้า ข้านอกจากจะช่วยเก็บเป็นความลับให้ ยังสามารถช่วยตรวจสอบให้ว่าเจ้าจะไม่ถูกหลอกอีกด้วย”“เอ่อ…”โหวซื่อไคยังคงลังเลชัดเจน ไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ“อะไรกัน! เจ้ายังไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ?”ซู
สามวันให้หลัง โหวซื่อไคเดินทางถึงจวีผิงสิ่งแรกที่โหวซื่อไคทำเมื่อมาถึง ก็คือไปเยี่ยมเยียนตระกูลซูตระกูลโหวและตระกูลซูมีความสัมพันธ์ด้านการค้าขายต่อกันไม่น้อย ดังนั้นตระกูลซูจึงให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นซูซ่งฝู่ หนึ่งในผู้อาวุโสเจ็ดคนของตระกูลซู เป็นผู้มาต้อนรับโหวซื่อไค“คารวะท่านลุงซู”เมื่อโหวซื่อไคพบหน้าซูซ่งฝู่ เขารีบโค้งคำนับให้ซูซ่งฝู่หัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องมากพิธี รีบเข้ามานั่งเถิด”“ขอบพระคุณท่านลุงซู”โหวซื่อไคกล่าวขอบคุณ ก่อนจะยื่นกล่องของขวัญที่สวยงามออกไป พร้อมกล่าวอย่างสุภาพว่า “ของกำนัลเล็กน้อย มิอาจแสดงความเคารพได้มาก หวังว่าท่านลุงจะรับไว้”“หลานชาย เจ้านี่ช่างเกรงใจนัก”ซูซ่งฝู่รับกล่องมา ก่อนจะสั่งให้คนชงชาให้โหวซื่อไค จากนั้นก็ยิ้มพลางถามว่า “บิดาของเจ้าสบายดีหรือไม่?”ขณะกล่าว เขาก็เปิดกล่องออกดู ภายในเป็นหยกเนื้อดีชิ้นหนึ่ง ประเมินคร่าวๆ น่าจะมีมูลค่าราวหลายร้อยตำลึงสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซูกับตระกูลโหว ของกำนัลนี้แม้มิใช่สิ่งล้ำค่ามากนัก แต่ก็ถือว่าเหมาะสมไม่น้อย!“ขอบพระคุณท่านลุงซูที่เป็นห่วง บิดาของข้าสุขสบายดี” โหวซื่อไ
หลังจากฟังคำพูดของหยุนเจิงจบ โหวซื่อไคพลันตระหนักได้ในทันทีหยุนเจิงต้องการให้เขาร่วมมือกันหลอกตระกูลซูแห่งจวีผิง!เขาไม่รู้ว่าตระกูลซูแห่งจวีผิงไปล่วงเกินหยุนเจิงอย่างไร แต่ไม่มีข้อสงสัยใดๆ หากหยุนเจิงลงมือเอง ตระกูลซูแห่งจวีผิงย่อมไม่มีทางลงเอยด้วยดีดีไม่ดี ตระกูลซูแห่งจวีผิงอาจถึงขั้นล่มสลายก็เป็นได้!หากให้เขาเลือกระหว่างหยุนเจิงกับตระกูลซูแห่งจวีผิง แน่นอนว่าเขาจะเลือกช่วยหยุนเจิงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยอย่างไรก็ตาม โหวซื่อไคตอนนี้เรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นแล้วหากทำสำเร็จก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากไม่สำเร็จเล่า? เขาไม่รู้ว่าหยุนเจิงจะถือโทษโกรธเขาหรือไม่โหวซื่อไคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลองหยั่งเชิงถามว่า “ท่านอ๋อง หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จเล่า…”“วางใจเถิด!” หยุนเจิงรู้ดีว่าโหวซื่อไคกังวลเรื่องใด จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตราบใดที่เจ้าทำเต็มที่แล้ว ต่อให้ไม่สำเร็จ ข้าก็จะมอบรางวัลให้เจ้าหนึ่งหมื่นตำลึง! แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด!”เช่นนั้นหรือ?หากไม่สำเร็จก็ไม่ต้องรับโทษ แถมยังได้รับหนึ่งหมื่นตำลึง?แม้ว่าหนึ่งหมื่นตำลึงจะไม่ใช่จ
โหวซื่อไคมาถึงเร็วกว่าที่หยุนเจิงคาดไว้เสียอีกในช่วงเที่ยงของวันถัดมา โหวซื่อไคก็มาถึงจวนอ๋องของหัวเมืองสี่ทิศหยุนเจิงรับเขาที่ห้องหนังสือของตนเอง“เจ้ามาได้เร็วไม่เบานี่!”หยุนเจิงมองโหวซื่อไคพลางยิ้ม “เดินทางมาเหนื่อยมากหรือไม่?”“ไม่เท่าไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่เท่าไร” โหวซื่อไครีบแสร้งยิ้มเอาใจ “ท่านอ๋องมีรับสั่ง กระหม่อมย่อมไม่กล้าล่าช้า”จริงๆ แล้วเหนื่อยแทบขาดใจเขาขี่ม้าตลอดทางจากซั่วฟางมาที่นี่แม้จะเทียบไม่ได้กับการส่งสารด่วนแปดร้อยลี้ แต่ก็เร่งรีบสุดชีวิตแล้วดีที่ตอนนี้อากาศยังหนาวเย็น เขาสวมเสื้อผ้าหนา ไม่เช่นนั้น ขาของเขาคงถลอกปอกเปิกไปแล้ว“นั่งลงเถิด”หยุนเจิงชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ ก่อนจะสั่งให้คนชงชาให้โหวซื่อไค“ขอบพระคุณท่านอ๋อง”โหวซื่อไครู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก รีบกล่าวขอบคุณซ้ำๆหยุนเจิงพยักหน้าเป็นเชิงให้สาวใช้ที่ชงชาถอยออกไป จากนั้นจึงหันไปมองโหวซื่อไคแล้วกล่าวว่า “เวลามีจำกัด ข้าจะไม่อ้อมค้อมกับเจ้าแล้ว! เจ้าสนิทสนมกับตระกูลซูแห่งจวีผิงเพียงใด?”ตระกูลซูแห่งจวีผิง?โหวซื่อไคชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบอย่างซื่อตรงว่า “กระหม่อมพอจ
เยี่ยจื่อเคยช่วยหยุนเจิงบริหารกิจการภายในเมืองมาแล้ว จึงมีความเข้าใจในเรื่องเกษตรกรรมมากกว่าหยุนเจิงอยู่มาก เมื่อนางวิเคราะห์เรื่องนี้กับหยุนเจิง ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเป็นระบบและชัดเจนข้อเสนอหลายอย่างที่นางยกขึ้นมา หยุนเจิงก็เห็นว่าดีเช่นกันตลอดเวลาที่หารือกัน ส่วนใหญ่เป็นเพียงหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อที่พูดคุยกัน อวี๋ฝูแทบไม่ได้เอ่ยปาก กระทั่งเมื่อหยุนเจิงกับเยี่ยจื่อสอบถามความเห็นของเขาเกี่ยวกับการตัดสินใจเบื้องต้น อวี๋ฝูก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ไม่ว่าดีหรือร้ายก็เพียงตอบรับว่า ตามแต่ท่านอ๋องและเยี่ยจื่อหยุนเจิงและเยี่ยจื่อหารือกันราวหนึ่งชั่วโมง จึงได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับแผนการ“เอาล่ะ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ”หยุนเจิงโบกมือให้กับอวี๋ฝู “ข้ายังต้องพูดคุยกับฮูหยินจื่ออีกสักหน่อย”“ข้าขอทูลลา!”อวี๋ฝูลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบออกไปอย่างกับได้รับอภัยโทษหยุนเจิงมองตามแผ่นหลังที่จากไป ดวงตาฉายแววสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย“เขาน่าจะมีปัญหาจริงๆ”เยี่ยจื่อดูเหมือนจะเดาออกว่าหยุนเจิงคิดอะไรอยู่หยุนเจิงหันกลับมา “เจ้าก็คิดเช่นนั้นหรือ?”เยี่ยจื่อแย้มยิ้มบางๆ “เขาเป็นพ่อบ้าน แต่กลับไม่รู้อ
“เหตุใดเจ้าจึงไม่มอบวัวไถนาให้พวกเขาทุกคนเล่า?”ระหว่างทางกลับ เมี่ยวอินมองหยุนเจิงด้วยความสงสัยอย่างมากเสิ่นลั่วเยี่ยนเองก็อยากถามคำถามนี้เช่นกัน แต่ถูกเมี่ยวอินชิงถามไปก่อน จึงได้แต่มองหยุนเจิงด้วยสายตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจหยุนเจิงมิใช่คนตระหนี่ต่อให้มอบวัวไถนาให้ชาวนาเฒ่าเหล่านั้นคนละตัว สำหรับเขาแล้ว ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นกระทั่ง มิอาจนับเป็นเศษเสี้ยวเสียด้วยซ้ำ“ต้องมีการแลกเปลี่ยน จึงจะได้รับผลตอบแทน”หยุนเจิงอธิบายพลางยิ้ม “ชาวนาเฒ่าผู้นั้นตอบคำถามของข้า นั่นถือเป็นสิ่งที่เขาลงแรงไป เขาสมควรได้รับรางวัลตอบแทน! ส่วนชาวนาเฒ่าคนอื่นๆ มิได้พูดอะไร ก็ทำได้เพียงพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วยเล็กน้อยเท่านั้น…”วัวไถนาไม่กี่ตัว สำหรับเขาแล้ว นับเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างแท้จริงแต่เขามิอาจมอบวัวไถนาให้ทุกคนเพียงเพราะรู้สึกเวทนาในใต้หล้านี้ มีประชาชนที่ยากไร้เช่นนี้อีกมากมายเหลือคณา แล้วเขาจะมอบให้หมดได้อย่างไร?การช่วยเหลือที่แท้จริง คือการลดภาระของราษฎรทั้งหมดต่างหาก!ภาษีที่ดินที่แบ่งตามพื้นที่ของที่ดิน ก็ถูกกำหนดขึ้นด้วยจุดประสงค์นี้เช่นกันแววตาของเสิ่นลั่วเย
แน่นอนว่ามาตรฐานเหล่านี้ใช้กับที่ดินชั้นดีเท่านั้นส่วนที่ดินชั้นต่ำกว่านั้นมาตรฐานของการเก็บเกี่ยวที่ถือว่าผลผลิตดีจะต่ำกว่านี้อีกตามกฎของราชสำนักข้าวสาลีซึ่งเป็นพืชอาหารหลักจะต้องปลูกแต่ก็ไม่สามารถปลูกได้ตามอำเภอใจไม่ว่าจะปลูกมากหรือน้อยก็ล้วนมีการจำกัดสัดส่วนอย่างเข้มงวดนอกจากนี้ยังมีบางพื้นที่ที่ต้องใช้ปลูกพืชตระกูลถั่วหมุนเวียนกันไปเพราะหลังจากปลูกถั่วแล้วดินจะอุดมสมบูรณ์ขึ้นทำให้ปีถัดไปเมื่อปลูกพืชอื่นผลผลิตก็จะงอกงามกว่าเดิมชาวนาเฒ่าพยายามอธิบายอย่างละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้ท่านอ๋องเข้าใจผิดว่าพวกเขาจงใจปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่าในแคว้นต้าเฉียนการจงใจปล่อยที่ดินให้รกร้างโดยไม่มีเหตุผลอันควรเป็นความผิดที่ต้องได้รับโทษหนักเมื่อฟังคำอธิบายของชาวนาอาวุโสหยุนเจิงก็เข้าใจทันทีหากไม่ได้ลงมาดูด้วยตาตัวเองเขาก็คงไม่รู้ว่ามีเรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้เกี่ยวกับการเกษตรเรื่องของที่ดินนี่ก็มีความรู้แฝงอยู่ไม่น้อยเช่นกันไม่อาจแยกตัวออกจากประชาชนได้จริงๆหยุนเจิงคิดในใจพลางถามต่อ “ที่ดินเหล่านี้เป็นของพวกเจ้าเองหรือเป็นของนายท่านคนใด?”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของชาวนาอาวุโสเผยรอย