นอกจากใช้การยกทัพข่มขู่แล้ว ยังมีวิธีอะไรที่จะทำให้น้องหกรับพระราชโองการได้อีก? หรือว่าต้องให้ราชสำนักยื่นผลประโยชน์ให้เขา? คิดไปคิดมา หยุนลี่ก็เกิดความคิดขึ้นมา “เสด็จพ่อ การกระทำครั้งนี้ของน้องหก อาจเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์จากราชสำนักในรูปแบบหนึ่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เขาอาจต้องการข้อเสนอจากราชสำนักก่อนถึงจะยอมรับโองการ” จักรพรรดิเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าคาดว่าลูกอกตัญญูคนนี้อาจจะมีความคิดเช่นนั้น” หยุนลี่รีบเสนอ “หากน้องหกยังคงปฏิเสธไม่รับพระราชโองการ ราชสำนักอาจสั่งปิดฟู่โจวแนวหน้าขึ้นมาใหม่ ห้ามการค้าขายระหว่างเขตภายในกับซั่วเป่ยพ่ะย่ะค่ะ!” จักรพรรดิเหวินเงยหน้ามอง “หากเจ้าหกเกิดจนตรอก ยกทัพลงใต้ ราชสำนักจะรับมืออย่างไร?” “นี่…” หยุนลี่อ้าปากค้างเล็กน้อย “ซั่วเป่ยในปีนี้เต็มไปด้วยศึกสงคราม น้องหกไม่น่าจะ...” “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย!” จักรพรรดิเหวินขัดคำพูดของหยุนลี่ “ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหกกับราชสำนักในตอนนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่แน่ว่าเจ้าหกอาจกำลังมองหาข้ออ้างที่เหมาะสมในการยกทัพลงใต้! การกระตุ้นเขาในเวลานี้ไม่เป็นผลดีต่อราชสำนัก” หยุน
ติ้งเป่ย หยุนเจิงได้รับจดหมายตอบกลับจากเจียเหยาแล้ว ความคืบหน้าทางฝั่งของเจียเหยาเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยกองทัพใหญ่ของพวกเขาเคลื่อนทัพเข้าใกล้ อำนาจของกุ่ยฟางจึงถอยร่นไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ มีชนเผ่าหลายกลุ่มยอมสวามิภักดิ์ต่อทัวฮวนแล้ว รวมถึงทหารกุ่ยฟางที่พ่ายศึกบางส่วนก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อทัวฮวนเช่นกัน เมื่อรวมกับทหารที่หยุนเจิงส่งให้ ทัวฮวนจึงมีกองทัพมากกว่าหนึ่งหมื่นนายในมือแล้ว ชื่อเหยียนได้ส่งคนไปเจรจากับเจียเหยา แสดงความประสงค์อย่างชัดเจนที่จะขอสงบศึก ทว่า เจียเหยาต้องการกดดันชื่อเหยียนต่อไป จึงยังไม่ตอบรับการเจรจา และเดินทัพต่อไป แม้เจียเหยาจะไม่ได้กล่าวถึงสถานการณ์การศึกอย่างละเอียด แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นเหมือนลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดใบไม้ร่วงหล่น เพราะกองทัพหลักของกุ่ยฟางพ่ายแพ้จนเกือบหมดสิ้น ต่อให้กุ่ยฟางยังเหลือกำลังทหารบ้าง ก็หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ ส่วนเรื่องอภิเษกสมรสของพวกเขา เจียเหยาตอบกลับมาเพียงสั้นๆ ว่าแล้วแต่หยุนเจิงจะเห็นสมควร ไม่ว่าหยุนเจิงหรือเจียเหยา ต่างก็ไม่ได้ใส่ใจกับงานอภิเษกสมรสของพวกเขามากนัก เมื่อวางจดหมายของเจียเหยาลง หยุ
“อืม ได้!” หยุนเจิงประคองเสิ่นลั่วเยี่ยนลุกขึ้น พร้อมยิ้มกล่าวว่า “อีกไม่กี่วันคงจะมีหิมะตกพอดี ให้ช่างตัดเสื้อทำเสื้อขนนกสองชุดให้พวกเราดีไหม?” “เสื้อขนนก?” เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงด้วยความสงสัย “ก็คือเสื้อขนละเอียดไง” หยุนเจิงเปลี่ยนคำพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ในราชวงศ์ต้าเฉียนก็มีเสื้อขนนก เพียงแต่เรียกชื่อแตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อขนละเอียดชั้นสูงเหล่านั้นให้ความอบอุ่นไม่แพ้เสื้อขนนกในยุคปัจจุบันเลย เพียงแต่ว่าเสื้อขนนกชั้นสูงนั้นผลิตได้น้อยและหาได้ยาก มีเพียงเชื้อพระวงศ์และขุนนางเท่านั้นที่สวมใส่ได้ “ท่านแม่ก็คิดจะทำเสื้อขนละเอียดอยู่เหมือนกัน” เสิ่นลั่วเยี่ยนเม้มปากยิ้ม “แต่จะให้แต่ละคนมีสองชุดคงลำบาก ชาวซั่วเป่ยเลี้ยงเป็ดและห่านกันน้อยมาก ในจวนของเราซื้อขนละเอียดมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังได้มาไม่มากพอ” เช่นนั้นหรือ? หยุนเจิงโอบเอวเสิ่นลั่วเยี่ยนไว้ พร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกว่า “เพราะอย่างนี้ไงล่ะ พวกเรายังต้องทำงานหนักอีกเยอะ ต้องทำให้ชาวซั่วเป่ยมีอาหารเพียงพอจนเลี้ยงเป็ดและไก่ได้เป็นจำนวนมาก” เป็ดและห่านในซั่วเป่ย เนื่องจากเลี้ยงในสภาพอากาศหนาวเย
สองวันต่อมา หยุนเจิงพาเยี่ยจือและเมี่ยวอินเดินทางไปยังเล่ออาน หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งก่อน คราวนี้กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยการคุ้มกันอย่างแน่นหนาของทหารองครักษ์ ตลอดทางจึงปลอดภัยไร้เหตุร้าย “ใกล้ถึงหม่าอี้หรือยัง?” หยุนเจิงเปิดม่านรถม้าออกมองด้านนอก ก่อนสั่งเสิ่นควาน “ส่งคำสั่งไป พักที่หม่าอี้หนึ่งวันแล้วค่อยออกเดินทางต่อ” เสิ่นควานเป็นหนึ่งในผู้ที่เสิ่นลั่วเยี่ยนฝึกมาเป็นชุดแรกให้ทำหน้าที่องครักษ์ของเขา ตั้งแต่หยุนเจิงมาถึงซั่วเป่ย เสิ่นควานก็ประจำการอยู่ในกองทหารองครักษ์ของเขา ปัจจุบัน ถงกัง โจวมี่ และเกาหือ ต่างก็ถูกส่งออกไปทำงานภายนอก เสิ่นควานจึงรับหน้าที่รักษาการหัวหน้าทหารองครักษ์แทนชั่วคราว “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่ง “ไม่ต้องเสียเวลา” เยี่ยจือรู้ว่าหยุนเจิงเป็นห่วงว่าตนจะเหนื่อยจากการเดินทางไกล นางยิ้มบางๆ “ข้าไม่เป็นไรหรอก เพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นานเอง มิได้เหมือนลั่วเยี่ยนที่ท้องโตขนาดนั้น” “พักสักวันเถอะ!” หยุนเจิงจับมือเยี่ยจือ “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ เดินทางกระทบกระเทือนมาตลอดทาง ควรพักให้เต็มที่เสียหน่
การพัฒนาการค้า ย่อมเป็นเส้นทางลัดที่ช่วยให้เมืองเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในอนาคต ผลิตภัณฑ์พิเศษจากเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือก็สามารถเข้ามาในซั่วเป่ยได้ แต่ไม่ควรนำทุกสิ่งทุกอย่างมาวางขายในหม่าอี้เท่านั้น ต้องให้โอกาสเมืองอื่นๆ ด้วย ยิ่งพ่อค้าเหล่านี้พักอยู่ในซั่วเป่ยนานเท่าไร ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของซั่วเป่ยมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้น ในหัวของหยุนเจิงก็ผุดคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ปรับปรุงการจัดสรรอุตสาหกรรมให้เหมาะสม! ถือโอกาสในฤดูหนาวนี้ วางแผนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของแต่ละเมืองให้ดี ดีที่สุดคือทำให้ทุกเมืองมีอุตสาหกรรมหลัก เพื่อดึงดูดให้พ่อค้าเหล่านี้เข้าไปในเมืองต่างๆ ของซั่วเป่ยมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาเมืองอื่นๆ ได้ ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิดเงียบๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน เยี่ยจือเปิดม่านขึ้นเตรียมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นควานก็เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินจื้อ มีคนขวางทางอยู่ด้านหน้า ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว” “อืม ดีแล้ว” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ ก่อนเตือนเสิ่นควานว่า “เจ้าตอนนี้เป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ของฝ่าบาทแล้ว ควรแทนตัวเองว่า 'กระหม่อม'
สองวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเล่ออาน ระหว่างทางที่เดินทางไปเล่ออาน พวกเขาได้ผ่านหิมะโปรยปรายหนึ่งระลอก หลังจากผ่านหม่าอี้ไป แม้จะไม่มีหิมะตกแล้ว แต่สภาพอากาศกลับหนาวเย็นยิ่งขึ้น หยุนเจิงเพิ่งพาเยี่ยจือลงมาจากรถม้า ก็มีลมหนาวพัดผ่านมาอย่างรุนแรง เยี่ยจือที่เพิ่งลงมาจากรถม้าอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น ซินเซิงเห็นดังนั้น รีบหยิบเสื้อคลุมขนมิงค์สีขาวออกมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินจื้อ หม่อมฉันจะช่วยท่านคลุมเสื้อคลุมเองเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะหนาวจนไม่สบาย” “อืม” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะทำเอง!” หยุนเจิงรับเสื้อคลุมจากมือของซินเซิง แล้วค่อยๆ คลุมให้เยี่ยจือ ก่อนจะพาผู้หญิงในกลุ่มเดินต่อไปข้างหน้า เยี่ยจือปล่อยให้หยุนเจิงจับมือ พร้อมกับเงยหน้ามองฟ้าหมอกเบื้องบนแล้วพูดว่า “อีกสองสามวันนี้น่าจะมีหิมะตกหนักพวกเราควรตรวจดูว่า ชาวบ้านในเล่ออานมีของใช้สำหรับฤดูหนาวเพียงพอหรือไม่ หากพวกเขาไม่มี คงต้องเบิกของจากคลังทหารมาให้” “แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” หยุนเจิงปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด “ของในคลังทหารก็คือของในคลังทหาร! ทหารอยู่ข้างนอกต้องเสียเลือดเสียเนื้อรบ แม้ตอนนี้จ
หยุนเจิงโบกมือเบาๆ ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมจ้องมองอู๋เซิงไท่ “ข้าดูเจ้าช่างคุ้นหน้าเหลือเกิน!” อู๋เซิงไท่โค้งตัวตอบ “กราบทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเคยอยู่ที่จวนอ๋องมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” “มิน่าล่ะ!” หยุนเจิงพยักหน้าเข้าใจ “ในเมื่อมากันแล้ว ก็มาเดินชมเมืองด้วยกันเถอะ!” “พ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่รับคำสั่ง ภายใต้การนำทางของอู๋เซิงไท่ คณะของพวกเขายังคงเดินสำรวจในเมืองต่อไป ระหว่างทาง อู๋เซิงไท่ได้เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในเล่ออานให้พวกเขาฟัง ปัจจุบัน เล่ออานมีประชากรประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบภัยที่ย้ายมาจากดินแดนชั้นใน และมีเพียงส่วนน้อยที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาทำธุรกิจในเล่ออาน ในเล่ออานตอนนี้มีเพียงโรงเตี๊ยมที่ดูดีอยู่แห่งเดียว และมีโรงแรมอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ที่ว่าการอำเภอและสถานที่ของทางการกลับสร้างได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ชาวบ้านที่ช่วยงานทางการจะได้รับค่าจ้างตามแรงงานที่ทำ โดยค่าจ้างรายวันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณสามถึงสิบเหวิน ส่วนช่างฝีมือที่มีความชำนาญบางคนจะได้รับค่าจ้างสิบถึงยี่สิบเหวิน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเล่ออานในตอนนี้คือการขาดแคลนเค
ทันทีที่เสิ่นควานออกคำสั่ง กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงก็ลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่นาน อู๋เซิงไท่พร้อมทั้งพรรคพวกและผู้ที่ต้มยาสมุนไพรก็ถูกควบคุมตัวทั้งหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้แต่หยุนเจิงเองก็ยังอึ้งไปชั่วครู่ “เกิดอะไรขึ้น?” หยุนเจิงขมวดคิ้วมองเสิ่นควานที่เต็มไปด้วยความดุดัน “กราบทูลฝ่าบาท น้ำนี้น่าจะมีพิษพ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานอ้าปากหายใจลึกสองครั้งก่อนจะพูดต่อ “เมื่อดื่มน้ำนี้เข้าไป ปากและลิ้นก็รู้สึกแสบร้อนอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ!” แสบร้อนอย่างมากหรือ? หยุนเจิงหันไปมองอู๋เซิงไท่ ไม่น่าใช่หรอกนะ? หรือว่าอู๋เซิงไท่จะเป็นสายลับที่ถูกส่งมา? “ท่านอ๋อง เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่ตั้งสติได้ในที่สุด ก่อนจะร้องเสียงหลง “กระหม่อมไม่กล้าคิดร้ายต่อท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้...น้ำนี้เมื่อดื่มแล้ว มันก็เป็นแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมกราบทูลท่านอ๋องไปก่อนหน้านี้แล้ว ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณา!” พูดไปแล้วหรือ? อู๋เซิงไท่ก็พูดไปแล้วจริงๆ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้เป็นแบบนี้เอง...” “ท่านอ๋อง คนงานที่เหมืองหินทุกคนดื่ม
"เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าตื่นตกใจกันไป เสิ่นควานเข้าใจผิดเอง!" หยุนเจิงปลอบฝูงชนที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แล้วหันไปถามอู๋เซิงไท่ว่า "ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร?" อู๋เซิงไท่ตอบอย่างหวาดกลัว "กราบทูลท่านอ๋อง สมุนไพรนี้ไม่มีชื่อเรียกแน่ชัด ผู้คนส่วนใหญ่มักเรียกมันว่า 'หญ้าร้อน'..." พูดไป อู๋เซิงไท่ก็เล่าถึงที่มาของ 'หญ้าร้อน' ให้หยุนเจิงฟัง ในตอนแรก ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ เมื่อหลายวันก่อน มีผู้ประสบภัยบางคนออกไปหาอาหารตามธรรมชาติในพื้นที่ใกล้เคียง และเก็บสิ่งนี้กลับไปกินโดยบังเอิญ หลังจากที่พวกเขากินเข้าไป ทุกคนล้วนรู้สึกแสบร้อนในปากและลิ้น ร่างกายร้อนและเหงื่อแตกจนหลายคนคิดว่าตัวเองถูกพิษ เพราะมีผู้คนที่ถูกพิษ จำนวนมาก จนเรื่องนี้ไปถึงหูของทางการ แต่สุดท้ายกลับพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย หลังจากนั้น เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น ยังมีคนไปหาเจ้าสิ่งนี้มาเพื่อขับไล่ความหนาวอีกด้วย เมื่อมั่นใจว่าสิ่งนี้ไม่มีพิษ อู๋เซิงไท่จึงสั่งให้คนเก็บมันในนามของทางการ เพื่อต้มเป็นน้ำให้ประชาชนที่ทำงานได้ดื่มช่วยขับไล่ความหนาว เพราะเมื่อกินสิ่งนี้แล้วร่างกายจะร้อนและเหงื่อแ
ทันทีที่เสิ่นควานออกคำสั่ง กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงก็ลงมืออย่างรวดเร็ว ไม่นาน อู๋เซิงไท่พร้อมทั้งพรรคพวกและผู้ที่ต้มยาสมุนไพรก็ถูกควบคุมตัวทั้งหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้แต่หยุนเจิงเองก็ยังอึ้งไปชั่วครู่ “เกิดอะไรขึ้น?” หยุนเจิงขมวดคิ้วมองเสิ่นควานที่เต็มไปด้วยความดุดัน “กราบทูลฝ่าบาท น้ำนี้น่าจะมีพิษพ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานอ้าปากหายใจลึกสองครั้งก่อนจะพูดต่อ “เมื่อดื่มน้ำนี้เข้าไป ปากและลิ้นก็รู้สึกแสบร้อนอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ!” แสบร้อนอย่างมากหรือ? หยุนเจิงหันไปมองอู๋เซิงไท่ ไม่น่าใช่หรอกนะ? หรือว่าอู๋เซิงไท่จะเป็นสายลับที่ถูกส่งมา? “ท่านอ๋อง เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่ตั้งสติได้ในที่สุด ก่อนจะร้องเสียงหลง “กระหม่อมไม่กล้าคิดร้ายต่อท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้...น้ำนี้เมื่อดื่มแล้ว มันก็เป็นแบบนี้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมกราบทูลท่านอ๋องไปก่อนหน้านี้แล้ว ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณา!” พูดไปแล้วหรือ? อู๋เซิงไท่ก็พูดไปแล้วจริงๆ “ท่านอ๋อง ข้าน้อยถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ น้ำนี้เป็นแบบนี้เอง...” “ท่านอ๋อง คนงานที่เหมืองหินทุกคนดื่ม
หยุนเจิงโบกมือเบาๆ ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าพร้อมจ้องมองอู๋เซิงไท่ “ข้าดูเจ้าช่างคุ้นหน้าเหลือเกิน!” อู๋เซิงไท่โค้งตัวตอบ “กราบทูลท่านอ๋อง กระหม่อมเคยอยู่ที่จวนอ๋องมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” “มิน่าล่ะ!” หยุนเจิงพยักหน้าเข้าใจ “ในเมื่อมากันแล้ว ก็มาเดินชมเมืองด้วยกันเถอะ!” “พ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เซิงไท่รับคำสั่ง ภายใต้การนำทางของอู๋เซิงไท่ คณะของพวกเขายังคงเดินสำรวจในเมืองต่อไป ระหว่างทาง อู๋เซิงไท่ได้เล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในเล่ออานให้พวกเขาฟัง ปัจจุบัน เล่ออานมีประชากรประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประสบภัยที่ย้ายมาจากดินแดนชั้นใน และมีเพียงส่วนน้อยที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าที่เข้ามาทำธุรกิจในเล่ออาน ในเล่ออานตอนนี้มีเพียงโรงเตี๊ยมที่ดูดีอยู่แห่งเดียว และมีโรงแรมอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ที่ว่าการอำเภอและสถานที่ของทางการกลับสร้างได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ชาวบ้านที่ช่วยงานทางการจะได้รับค่าจ้างตามแรงงานที่ทำ โดยค่าจ้างรายวันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณสามถึงสิบเหวิน ส่วนช่างฝีมือที่มีความชำนาญบางคนจะได้รับค่าจ้างสิบถึงยี่สิบเหวิน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเล่ออานในตอนนี้คือการขาดแคลนเค
สองวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเล่ออาน ระหว่างทางที่เดินทางไปเล่ออาน พวกเขาได้ผ่านหิมะโปรยปรายหนึ่งระลอก หลังจากผ่านหม่าอี้ไป แม้จะไม่มีหิมะตกแล้ว แต่สภาพอากาศกลับหนาวเย็นยิ่งขึ้น หยุนเจิงเพิ่งพาเยี่ยจือลงมาจากรถม้า ก็มีลมหนาวพัดผ่านมาอย่างรุนแรง เยี่ยจือที่เพิ่งลงมาจากรถม้าอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเพราะความหนาวเย็น ซินเซิงเห็นดังนั้น รีบหยิบเสื้อคลุมขนมิงค์สีขาวออกมาแล้วพูดว่า “ฮูหยินจื้อ หม่อมฉันจะช่วยท่านคลุมเสื้อคลุมเองเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะหนาวจนไม่สบาย” “อืม” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะทำเอง!” หยุนเจิงรับเสื้อคลุมจากมือของซินเซิง แล้วค่อยๆ คลุมให้เยี่ยจือ ก่อนจะพาผู้หญิงในกลุ่มเดินต่อไปข้างหน้า เยี่ยจือปล่อยให้หยุนเจิงจับมือ พร้อมกับเงยหน้ามองฟ้าหมอกเบื้องบนแล้วพูดว่า “อีกสองสามวันนี้น่าจะมีหิมะตกหนักพวกเราควรตรวจดูว่า ชาวบ้านในเล่ออานมีของใช้สำหรับฤดูหนาวเพียงพอหรือไม่ หากพวกเขาไม่มี คงต้องเบิกของจากคลังทหารมาให้” “แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” หยุนเจิงปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด “ของในคลังทหารก็คือของในคลังทหาร! ทหารอยู่ข้างนอกต้องเสียเลือดเสียเนื้อรบ แม้ตอนนี้จ
การพัฒนาการค้า ย่อมเป็นเส้นทางลัดที่ช่วยให้เมืองเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ในอนาคต ผลิตภัณฑ์พิเศษจากเขตปกครองทหารตะวันตกเฉียงเหนือก็สามารถเข้ามาในซั่วเป่ยได้ แต่ไม่ควรนำทุกสิ่งทุกอย่างมาวางขายในหม่าอี้เท่านั้น ต้องให้โอกาสเมืองอื่นๆ ด้วย ยิ่งพ่อค้าเหล่านี้พักอยู่ในซั่วเป่ยนานเท่าไร ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของซั่วเป่ยมากขึ้นเท่านั้น ทันใดนั้น ในหัวของหยุนเจิงก็ผุดคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ปรับปรุงการจัดสรรอุตสาหกรรมให้เหมาะสม! ถือโอกาสในฤดูหนาวนี้ วางแผนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมของแต่ละเมืองให้ดี ดีที่สุดคือทำให้ทุกเมืองมีอุตสาหกรรมหลัก เพื่อดึงดูดให้พ่อค้าเหล่านี้เข้าไปในเมืองต่างๆ ของซั่วเป่ยมากขึ้น จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาเมืองอื่นๆ ได้ ขณะที่หยุนเจิงกำลังครุ่นคิดเงียบๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน เยี่ยจือเปิดม่านขึ้นเตรียมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เสิ่นควานก็เข้ามารายงานว่า “ฮูหยินจื้อ มีคนขวางทางอยู่ด้านหน้า ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว” “อืม ดีแล้ว” เยี่ยจือพยักหน้าเบาๆ ก่อนเตือนเสิ่นควานว่า “เจ้าตอนนี้เป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ของฝ่าบาทแล้ว ควรแทนตัวเองว่า 'กระหม่อม'
สองวันต่อมา หยุนเจิงพาเยี่ยจือและเมี่ยวอินเดินทางไปยังเล่ออาน หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งก่อน คราวนี้กองทหารองครักษ์ของหยุนเจิงระมัดระวังเป็นพิเศษ ด้วยการคุ้มกันอย่างแน่นหนาของทหารองครักษ์ ตลอดทางจึงปลอดภัยไร้เหตุร้าย “ใกล้ถึงหม่าอี้หรือยัง?” หยุนเจิงเปิดม่านรถม้าออกมองด้านนอก ก่อนสั่งเสิ่นควาน “ส่งคำสั่งไป พักที่หม่าอี้หนึ่งวันแล้วค่อยออกเดินทางต่อ” เสิ่นควานเป็นหนึ่งในผู้ที่เสิ่นลั่วเยี่ยนฝึกมาเป็นชุดแรกให้ทำหน้าที่องครักษ์ของเขา ตั้งแต่หยุนเจิงมาถึงซั่วเป่ย เสิ่นควานก็ประจำการอยู่ในกองทหารองครักษ์ของเขา ปัจจุบัน ถงกัง โจวมี่ และเกาหือ ต่างก็ถูกส่งออกไปทำงานภายนอก เสิ่นควานจึงรับหน้าที่รักษาการหัวหน้าทหารองครักษ์แทนชั่วคราว “พ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นควานรับคำสั่ง “ไม่ต้องเสียเวลา” เยี่ยจือรู้ว่าหยุนเจิงเป็นห่วงว่าตนจะเหนื่อยจากการเดินทางไกล นางยิ้มบางๆ “ข้าไม่เป็นไรหรอก เพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นานเอง มิได้เหมือนลั่วเยี่ยนที่ท้องโตขนาดนั้น” “พักสักวันเถอะ!” หยุนเจิงจับมือเยี่ยจือ “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ เดินทางกระทบกระเทือนมาตลอดทาง ควรพักให้เต็มที่เสียหน่
“อืม ได้!” หยุนเจิงประคองเสิ่นลั่วเยี่ยนลุกขึ้น พร้อมยิ้มกล่าวว่า “อีกไม่กี่วันคงจะมีหิมะตกพอดี ให้ช่างตัดเสื้อทำเสื้อขนนกสองชุดให้พวกเราดีไหม?” “เสื้อขนนก?” เสิ่นลั่วเยี่ยนมองหยุนเจิงด้วยความสงสัย “ก็คือเสื้อขนละเอียดไง” หยุนเจิงเปลี่ยนคำพูดให้เข้าใจง่ายขึ้น ในราชวงศ์ต้าเฉียนก็มีเสื้อขนนก เพียงแต่เรียกชื่อแตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อขนละเอียดชั้นสูงเหล่านั้นให้ความอบอุ่นไม่แพ้เสื้อขนนกในยุคปัจจุบันเลย เพียงแต่ว่าเสื้อขนนกชั้นสูงนั้นผลิตได้น้อยและหาได้ยาก มีเพียงเชื้อพระวงศ์และขุนนางเท่านั้นที่สวมใส่ได้ “ท่านแม่ก็คิดจะทำเสื้อขนละเอียดอยู่เหมือนกัน” เสิ่นลั่วเยี่ยนเม้มปากยิ้ม “แต่จะให้แต่ละคนมีสองชุดคงลำบาก ชาวซั่วเป่ยเลี้ยงเป็ดและห่านกันน้อยมาก ในจวนของเราซื้อขนละเอียดมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังได้มาไม่มากพอ” เช่นนั้นหรือ? หยุนเจิงโอบเอวเสิ่นลั่วเยี่ยนไว้ พร้อมกล่าวด้วยความรู้สึกว่า “เพราะอย่างนี้ไงล่ะ พวกเรายังต้องทำงานหนักอีกเยอะ ต้องทำให้ชาวซั่วเป่ยมีอาหารเพียงพอจนเลี้ยงเป็ดและไก่ได้เป็นจำนวนมาก” เป็ดและห่านในซั่วเป่ย เนื่องจากเลี้ยงในสภาพอากาศหนาวเย
ติ้งเป่ย หยุนเจิงได้รับจดหมายตอบกลับจากเจียเหยาแล้ว ความคืบหน้าทางฝั่งของเจียเหยาเป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยกองทัพใหญ่ของพวกเขาเคลื่อนทัพเข้าใกล้ อำนาจของกุ่ยฟางจึงถอยร่นไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ มีชนเผ่าหลายกลุ่มยอมสวามิภักดิ์ต่อทัวฮวนแล้ว รวมถึงทหารกุ่ยฟางที่พ่ายศึกบางส่วนก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อทัวฮวนเช่นกัน เมื่อรวมกับทหารที่หยุนเจิงส่งให้ ทัวฮวนจึงมีกองทัพมากกว่าหนึ่งหมื่นนายในมือแล้ว ชื่อเหยียนได้ส่งคนไปเจรจากับเจียเหยา แสดงความประสงค์อย่างชัดเจนที่จะขอสงบศึก ทว่า เจียเหยาต้องการกดดันชื่อเหยียนต่อไป จึงยังไม่ตอบรับการเจรจา และเดินทัพต่อไป แม้เจียเหยาจะไม่ได้กล่าวถึงสถานการณ์การศึกอย่างละเอียด แต่ก็คาดว่าน่าจะเป็นเหมือนลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดใบไม้ร่วงหล่น เพราะกองทัพหลักของกุ่ยฟางพ่ายแพ้จนเกือบหมดสิ้น ต่อให้กุ่ยฟางยังเหลือกำลังทหารบ้าง ก็หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อ ส่วนเรื่องอภิเษกสมรสของพวกเขา เจียเหยาตอบกลับมาเพียงสั้นๆ ว่าแล้วแต่หยุนเจิงจะเห็นสมควร ไม่ว่าหยุนเจิงหรือเจียเหยา ต่างก็ไม่ได้ใส่ใจกับงานอภิเษกสมรสของพวกเขามากนัก เมื่อวางจดหมายของเจียเหยาลง หยุ
นอกจากใช้การยกทัพข่มขู่แล้ว ยังมีวิธีอะไรที่จะทำให้น้องหกรับพระราชโองการได้อีก? หรือว่าต้องให้ราชสำนักยื่นผลประโยชน์ให้เขา? คิดไปคิดมา หยุนลี่ก็เกิดความคิดขึ้นมา “เสด็จพ่อ การกระทำครั้งนี้ของน้องหก อาจเป็นการเรียกร้องผลประโยชน์จากราชสำนักในรูปแบบหนึ่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? เขาอาจต้องการข้อเสนอจากราชสำนักก่อนถึงจะยอมรับโองการ” จักรพรรดิเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “ข้าคาดว่าลูกอกตัญญูคนนี้อาจจะมีความคิดเช่นนั้น” หยุนลี่รีบเสนอ “หากน้องหกยังคงปฏิเสธไม่รับพระราชโองการ ราชสำนักอาจสั่งปิดฟู่โจวแนวหน้าขึ้นมาใหม่ ห้ามการค้าขายระหว่างเขตภายในกับซั่วเป่ยพ่ะย่ะค่ะ!” จักรพรรดิเหวินเงยหน้ามอง “หากเจ้าหกเกิดจนตรอก ยกทัพลงใต้ ราชสำนักจะรับมืออย่างไร?” “นี่…” หยุนลี่อ้าปากค้างเล็กน้อย “ซั่วเป่ยในปีนี้เต็มไปด้วยศึกสงคราม น้องหกไม่น่าจะ...” “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย!” จักรพรรดิเหวินขัดคำพูดของหยุนลี่ “ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหกกับราชสำนักในตอนนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ไม่แน่ว่าเจ้าหกอาจกำลังมองหาข้ออ้างที่เหมาะสมในการยกทัพลงใต้! การกระตุ้นเขาในเวลานี้ไม่เป็นผลดีต่อราชสำนัก” หยุน