ตามที่บอกกล่าวไว้ในตำรายา ผู้ได้รับพิษมักจะถูกวางยาตั้งแต่แรกเกิด และยานี้ก็จะอยู่ในร่างกาย ไหลเวียนตามวันเวลาที่ผ่าน ค่อย ๆ ซึมเข้าไขกระดูกในแต่ละวัน จนกระทั่งเข้าสู่หัวใจ และหมดทางเยียวยาในที่สุดซึ่งบัดนี้ พิษในตัวของไป๋อี้หรัน เห็นชัดว่าเข้าสู่ไขกระดูกเป็นที่เรียบร้อยแล้วถูซินเยว่พลิกไปดูยาถอนซึ่งอยู่ถัดไปด้านหลัง มองดูรายชื่อยาต่าง ๆ ก็เริ่มรู้สึกถึงความยากลำบากเพราะยาเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสรรหามาได้เลยแม้ว่าตระกูลไป๋จะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ของบางอย่างอาจไม่เคยพบเห็นก็เป็นได้ถูซินเยว่กัดริมฝีปากเล็กน้อย นำรายชื่อยาต่าง ๆ ที่ต้องใช้จดจำไว้ในสมอง จากนั้นก็ปิดตำราลง แล้วออกมาจากมิติแห่งน้ำพุศักดิ์สิทธิ์อาจเพราะอยู่ข้างในใช้ความคิดอยู่นานจึงไม่ทันได้สังเกต ทันทีที่ออกมา จึงเห็นเฉินหวานยืนเคาะประตูอยู่ด้านนอกนานแล้วถูซินเยว่รีบลงจากเตียงและเดินไปที่ประต พร้อมปิดประตูออก"กลางวันแสก ๆ ทำไมต้องใส่กลอนประตู?" ทันทีที่เปิดออก เฉินหวานก็ถามอย่างข้องใจ เพราะเขารออยู่ข้างนอกนานมาก เห็นชัดว่าแววตามีความไม่พอใจแฝงอยู่ แต่ว่า พอเห็นขอบตาดำคล้ำเล็กน้อยของถูซินเยว่ อารมณ์หงุดหง
เห็นท่านไป๋ยังลังเลอยู่ เฉินหวานจึงเลิกคิ้วและกล่าวว่า "ท่านหมอเทวดาได้เขียนสูตรยาให้แล้ว เชื่อหรือไม่ก็สุดแต่ท่าน"ทีแรกท่านไป๋เพียงแค่ลังเล แต่พอได้ยินเฉินหวานเตือนสติดังนี้ ก็รีบตั้งสติกลับมา "องค์ชายสามกล่าวผิดแล้ว ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อ เพียงแต่ปุบปับค่อนข้างจะตกใจเท่านั้น"พูดพลาง เขารีบคลี่กระดาษออกอีกครั้ง พลางกล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม "ท่านหมอเทวดา ข้าย่อมเชื่อท่านอยู่แล้ว เพราะหากไม่ได้ท่าน ป่านนี้ลูกข้าก็คงยังไม่ฟื้นมา เพียงแต่ว่า สูตรยานี้มีตัวยาหลายขนานที่หายากนัก แล้ว.."ต่อให้ตระกูลไป๋ร่ำรวยล้นฟ้า ก็ยังมีของบางอย่างที่นับว่าหายาก แม้มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อหามาได้ยกตัวอย่างเช่นเกสรดอกบัวเทียนซาน เขาแทบไม่เคยได้ยินมาก่อนเสียด้วยซ้ำตระกูลไป๋มีพร้อมทุกอย่าง เหตุใดท่านไป๋ยังต้องทำหน้านิ่วอีก เฉินหวานก็สงสัยเช่นกัน เขาจึงรับเอาสูตรยาไปดู หลังจากเห็นรายชื่อยาต่าง ๆ จึงเข้าใจกระจ่างแจ้ง พร้อมกับมองหน้าถูซินเยว่ด้วยความตกใจอย่าว่าแต่ท่านไป๋เลย ต่อให้เขาเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ก็รู้ว่ายาบางตัวหาได้ยากยิ่ง"เกสรดอกบัวเทียนซาน ตอนข้าอยู่เป่ยเจียงก็เคยได้ยินบ้าง มักจะเกิดอยู่ริมหน้าผา
"เรียบร้อย" ถูซินเยว่สูดลมหายใจลึก ซับเหงื่อที่อยู่เต็มหน้าผาก จากนั้นก็เขียนในกระดาษต่อ "ทุกสามวันฝังเข็มหนึ่งครั้ง วันนี้ถือว่าสำเร็จเสร็จสิ้น อีกสามวันข้างหน้าค่อยมาใหม่""ขอบคุณท่านหมอเทวดา"แม้จะไม่รู้ว่าการฝังเข็มเช่นนี้จะเป็นผลดีต่ออาการของไป๋อี้หรันแค่ไหน แต่พอเห็นท่าทีอ่อนแรงของถูซินเยว่ ท่านไป๋ก็ไม่กล้าถามมากความ ได้แต่รีบกล่าวขอบคุณเฉินหวานรีบลุกขึ้นตรงไปประคองถูซินเยว่ที่คล้ายจะซวนเซ"พอไหวหรือเปล่า?"ถูซินเยว่พยักหน้านางเพียงแต่ตั้งใจฝังเข็มมากเกินไป จึงทำให้รู้สึกหน้ามืดตาลายเล็กน้อย นั่งพักซักครู่คงจะหายเป็นปกติเพียงแต่ ตอนนี้ถูซินเยว่ยังไม่อาจพูดจา ได้แต่ใช้สายตาบอกเฉินหวานว่าตนสบายดีเฉินหวานเป็นห่วงสุขภาพของถูซินเยว่ จึงประคองนางแล้วเดินออกไปท่านไป๋เห็นว่าทั้งเฉินหวานและถูซินเยว่ต่างก็ออกไปแล้ว จึงค่อยโล่งอกและหันมา ผ่อนลมหายใจพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้"ท่านพ่อ" ไป๋อี้หรันค่อยฟื้นฟูกำลังมาหน่อย หันหน้ามามองท่านไป๋ ถามด้วยสีหน้าราบเรียบว่า "ท่านไปรับปากเงื่อนไขอะไรกับพวกเขา?"ท่านไป๋หยุดชะงัก พลางเก็บชายผ้าห่มให้แก่ไป๋อี้หรันและกล่าวอย่างจนใจ "ไม่ใช่เงื่อน
ถูซินเยว่รีบส่ายหน้า ตื่นเต้นจนเกือบพูดจาออกมา นางรีบหันไปหยิบพู่กัน แล้วเขียนตัวอักษรบนกระดาษแถวหนึ่ง"ฝากขอบคุณท่านไป๋แทนข้าด้วย"ทีแรกพ่อบ้านยังกลัวว่าถูซินเยว่จะไม่พอใจ เมื่อเห็นนางตอบมาเช่นนี้ ก็ค่อยถอนหายใจโล่งอก พลางรีบกล่าวว่า "ท่านหมอเทวดาไม่ต้องห่วง ข้าน้อยจะไปเรียนนายท่านตามนี้ ไม่รบกวนการพักผ่อนของท่านแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน"แม้ในใจจะปั่นป่วนยิ่งกว่าคลื่นมรสุม แต่สีหน้าของถูซินเยว่ยังคงเรียบเฉยอยู่นางพยักหน้า มองดูพ่อบ้านออกไปแล้วก็รีบปิดประตูทันที จากนั้นก็เปิดกล่องออก นำตั๋วเงินที่อยู่ในนั้นออกมาตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงดูเป็นปึกหนา ถูซินเยว่จับอยู่ในมือ ยังกลัวว่าตนจะไม่ระวัง ทำตั๋วเงินหล่นหายตกพื้นไปช่างเยี่ยมจริง ๆ เดิมยังห่วงว่าจะไม่มีปัญญาซื้อบ้านที่ผิงโจว และไม่อาจรับนางหยูมาอยู่ด้วยได้ แต่บัดนี้ เมื่อมีเงินก้อนนี้เข้ามา ความห่วงกังวลที่เคยมี ก็ล้วนคลี่คลายได้อย่างหมดสิ้นถูซินเยว่นับตั๋วเงินทั้งหมด จนมั่นใจว่าครบห้าหมื่นตำลึง จากนั้นก็เอาไปเก็บไว้แล้วรีบออกจากจวน ไหว้วานน้าหลินให้ช่วยหาบ้านซักหลังในเมืองผิงโจว"เจ้าเด็กคนนี้ ถ้าจะมาผิงโจวจริง ให้แม่เจ้ามาอยู่
คําพูดนี้ของพ่อบ้านเพิ่งพูดออกมา ถูซินเยว่ก็ตกตะลึงแล้ว เธอไอออกมาเสียงหนึ่ง กลัวว่าผ้าคลุมหน้าของเธอจะหลุดลงมาจึงรีบเอามือปิดหน้าอีกครั้งไป๋อี้หรันต้องการพบเธอ?วันนี้ยังไม่ถึงเวลาฝังเข็มไม่ใช่หรือ? หรือว่าไป๋อี้หรันรู้ว่านายท่านไป๋ให้ตั๋วเงินแก่เธอมากมาย ดังนั้นตอนนี้จึงอยากเอาตั๋วเงินกลับไปแล้ว?ไม่ถูกมั้ง ฟังจากคําอธิบายของเฉินหวานแล้ว ไป๋อี้หรันน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถพอการนี่นา ในเมื่อเป็นคนที่สามารถ ทําไมถึงได้คิดเล็กคิดน้อยขนาดนี้... แค่ก แค่ก กับแค่ตั๋วเงินห้าหมื่นตําลึง...ใบหน้าของถูซินเยว่เผยความกลัวเพราะรู้สึกผิดออกมา แต่ยังดีที่ผ้าคลุมหน้าปิดบังไว้จึงมองไม่เห็น ตอนนี้ไม่มีพู่กันและกระดาษอยู่ข้าง ๆ เธอ เธอเองก็ไม่สามารถถามพ่อบ้านได้ว่าไป๋อี้หรันมาหาเธอทําไม จึงได้แต่พยักหน้าและส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายนําทางพ่อบ้านจึงรีบเดินนําหน้าไปทันทีคุณชายฟื้นมาตั้งนานแล้ว ที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าทําไมคุณชายถึงอยากพบหมอเทวดา เพียงแค่ฟังจากน้ำเสียงของคุณชายแล้ว ดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับท่านหมอเทวดาตัวน้อยคนนี้มากทีเดียวในเมื่อใกล้จะเจอไป๋อี้หรันแล้ว ถูซินเยว่ก็ไม่คิดเรื่อง
ไป๋อี้หรันเห็นถูซินเยว่เล่นอย่างรอบคอบ เขาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นวางหมากสีขาวลงบนกระดานเพียงแต่ว่า ไม่รู้ว่าถูซินเยว่เป็นอะไรไป เหมือนเธอวางหมากสีดำผิดพลาดไปโดยไม่ทันระวัง กระดานนี้เธอจึงแพ้พ่ายไป"ข้าแพ้แล้ว" ถูซินเยว่เขียนขึ้น "ฝีมือการเล่นหมากของคุณชายไป๋ยอดเยี่ยมมาก ช่างน่านับถือเสียจริง"ไป๋อี้หรันพยักหน้า และพูดอย่างถ่อมตนว่า "เพราะท่านหมอเทวดาต่อให้ต่างหาก""ข้ายังมีธุระอื่นอีก ขอตัวลาไปก่อน" ถูซินเยว่เขียนเสร็จก็ลุกขึ้นยืน ไม่รอให้ไป๋อี้หรันทันได้เอ่ยปากพูด ก็หันหลังแล้วเดินออกไปทันทีถ้าไม่ไปอีก เธอก็ไม่รู้ว่าไป๋อี้หรันจะใช้กลยุทธแบบไหนมาใช้กับตนอีก เดี๋ยวถ้าตนหลงกลของอีกฝ่ายเข้า จะทำให้เฉินหวานเสียเรื่องเอาได้ ถ้าถูกดึงเข้าไปคั่นกลางความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนมันจะไม่ดีหลังจากที่ออกมาจากลานบ้านของไป๋อี้หรันแล้ว หลังของถูซินเยว่ก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกคิดผิดเล็กน้อยว่าตนเองรับมาแค่ห้าหมื่นตำลึงนี่มันน้อยไปหรือเปล่าก็นะ แค่อยู่กับไป๋อี้หรันในระยะเวลาเพียงไม่นานก็หวาดหวั่นขนาดนี้แล้ว ต่อไปต้องไปฝังเข็มให้เขาเป็นเวลาตั้งครึ่งปี แล้วมัน
ตระกูลซูเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยจริง ๆตั้งแต่เจิ้งหมานหม่านคลอดลูกชายพูดได้เลยว่าซูเฟิ่งอี๋คล้อยตามลูกสะใภ้มากทีเดียว เจิ้งหมานหม่านก็เอาการเอางาน ลูกชายก็เกิดมาขาว ๆ ท้วม ๆ ชวนให้ผู้คนชอบพอ ซูเฟิ่งอี๋มักจะอุ้มออกไปด้านนอก พบเจอผู้คนก็เอ่ยชมหลานของตนเองหลายวันก่อน หลิวชุนฮวาปากไว นางรังเกียจซูเฟิ่งอี๋ที่วัน ๆ เอาแต่อุ้มหลานเกว่งไปเกว่งมาให้คนรำคาญ จึงเอ่ยต่อหน้าอีกฝ่ายไปประโยคหนึ่ง หลานชายของซูเฟิ่งอี๋กับหม่าโหวไม่เหมือนกันเลยแม้แต่นิดเดียว มีอะไรให้ภาคภูมิใจกันนึกไม่ถึงว่าหลิวชุนฮวาไม่ได้เก็บไปใส่ใจอะไรเลย เพียงแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่ซูเฟิ่งอี๋กลับจดจำเอาไว้ขึ้นใจพอกลับไปนางก็ลากหม่าโหวออกมา ให้อีกฝ่ายอุ้มหลานชายเอาไว้แล้วมองอย่างละเอียดอยู่เสียครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็สรุปได้ว่า สองคนนี้ไม่เหมือนกันแม้แต่นิดเดียวจริง ๆในใจของซูเฟิ่งอี๋เต้นแรง นางรู้สึกว่าเรื่องราวมีบางอย่างที่ผิดปกติภายหลังก็ไม่รู้ว่าใครปากเปราะนำเรื่องที่หลิวชุนฮวาเอ่ยไปเล่าต่อตอนนี้คนทั่วทั้งหมู่บ้านต้าเย่รู้ทั้งหมดแล้วว่า หลานชายที่ซูเฟิ่งอี๋อุ้มชมไปวัน ๆ แท้จริงแล้วไม่เหมือกับลูกของนางเลยแม้แต่น
ถูซินเยว่ได้สั่งหยวนเป่าให้เขาช่วยส่งนางหยูไปที่ผิงโจวแล้วเดิมทีนางหยูก็ยังไม่ค่อยอยากจะออกจากหมู่บ้านต้าเย่หรอก แต่ตอนนี้ จื่อหังและซินเยว่ก็จากไปหมดแล้ว นางอยู่คนเดียวในหมู่บ้านต้าเย่ก็ไม่มีความหมายอะไร ดังนั้นนางจึงตอบตกลงหลังจากสั่งเรื่องราวกับซูเฟิ่งอี๋แล้ว นางหยูก็กลับไปเก็บของที่บ้านบ้านหลังนี้ยังใหม่อยู่เลย เพิ่งสร้างมาได้ปีกว่าๆ ไม่คิดว่าจะจากไปเร็วขนาดนี้ซินเยว่บอกในจดหมายแล้วว่า ที่ผิงโจวมีของพร้อมทุกอย่าง ดังนั้นนางหยูจึงนําเสื้อผ้าไปเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น ส่วนของอื่น ๆ ก็ยังเก็บไว้ที่บ้าน ส่วนไก่ที่เลี้ยงไว้ในเล้านั้น ตัวหนึ่งให้ตระกูลซู อีกตัวหนึ่งให้หัวหน้าหมู่บ้านและหยวนเป่า จากนั้นก็นําสิ่งของออกเดินทางพร้อมกับหยวนเป่าไปยังผิงโจวเนื่องจากเป็นห่วงสุขภาพของนางหยู หยวนเป่าจึงเดินช้ามากตลอดทาง ใช้เวลามากกว่าปกติไปสองวันกว่าจะถึงผิงโจวถูซินเยว่แอบออกมาจากจวนตระกูลไป๋และรอพวกเขาอยู่ในลานบ้านแล้วพอหยวนเป่าพานางหยูมาเคาะประตู ถูซินเยว่ก็รีบออกมาเปิดประตู"ซินเยว่!"หลังจากหยวนเป่าเห็นถูซินเยว่ก็ค่อนข้างจะตื่นเต้นมากนัก เพราะตั้งแต่ถูซินเยว่ออกจากหมู่บ้านต้าเย่
ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ
หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่
วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ
ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข
"วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่
หลิ่วโหรวโหรวก็มองเห็นพวกเขาเช่นกัน และเมื่อนึกถึงความสนิทสนมของถูซินเยว่และซููจื่อหังวันนั้นในจวนซู นางก็กำหมัดแน่นแม่ทัพหลิ่ว หลิ่วถิง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนเองอยู่ๆ ก็หน้าตาไม่สดใส ทั้งที่เมื่อสักครู่ยังดีอกดีใจ ก็ขมวดคิ้วถามว่า "เป็นอะไรไป? มีคนรู้จักรึ?""เจ้าค่ะ..." หลิ่วโหรวโหรวกำลังจะอ้าปากพูด ฮูหยินหลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ผลักนาง และส่งสายตาให้กับอีกฝ่ายหลิ่วโหรวโหรวจึงได้แต่หุบปากเงียบอย่างไม่พอใจนักฮูหยินหลิ่วเดินไปข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวอย่างเงียบๆ กระตุกแขนเสื้อของบุตรสาวและพูดเตือนเสียงเบาว่า "เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องของตระกูลซูอีก หากเจ้าพูดถึงอีกข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นฮูหยินตระกูลซูหรือย่างไร? นางท้องโตขนาดนั้นแล้ว! เจ้าคิดจะไปเป็นภรรยาน้อยของคนอื่นหรือ? พูดออกไปรังแต่จะกลายเป็นเรื่องตลก!"หลิ่วโหรวโหรวสีหน้าย่ำแย่ทันทีแม้ว่าซูจื่อหังมีภรรยาหลวงอยู่แล้ว แต่ในใจนางนั่นก็เป็นเพียงหญิงบ้านนอกที่เทียบกับตนเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางซึ่งเป็นบุตรีสายตรงของจวนแม่ทัพ จะตกเป็นรองอยู่เป็นภรรยาน้อยของซูจื่อหังหรืออย่างไร?ลำพังแค่คิด นางก็ไม่ต้องการหลิ่วโหรวโหร
ขณะที่ถูซินเยว่กำลังยุ่งอยู่กับการเปิดร้านขายเครื่องประดับ และนางหยูกำลังกังวลเรื่องลูกค้าอยู่นั้น เทียบเชิญฉบับหนึ่งก็ได้ส่งมาถึงที่บ้าน"เป็นงานฉลองวันเกิดของมารดาเฒ่าตระกูลจางจากเสนาบีดีกระทรวงการคลัง"ถูซินเยว่ถือเทียบเชิญไว้ในมือและยิ้มอย่างประหลาดใจ "ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้านั้นไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าตระกูลจางจะส่งเทียบเชิญมาให้ข้า"สามีของตนเองก็เป็นข้าราชการขั้นเจ็ดเล็กๆ คนหนึ่ง แม้ว่าตระกูลจากจะไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูง แต่ก็เป็นข้าราชการขั้นห้า และบรรพบุรุษก็ล้วนเป็นข้าราชการทั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีคุณธรรมสูงส่งการที่ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเขาในงานเลี้ยงวันเกิดเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าไม่ได้ดูถูกพวกเขาเพียงแต่ คนในยุคโบราณส่วนมากจะดูแคลนคนทำธุรกิจ หากตนเองไปร่วมงานละก็ จะทำให้พวกเขารู้ว่าภรรยาของซูจื่อหังเป็นหญิงทำมาค้าขาย ก็ยากที่จะไม่ดูแคลนเดิมทีถูซินเยว่ไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าซูจื่อหังจะหันมากุมมือเธอไว้ ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจนักว่า "บุตรชายของใต้เท้าจางสนิทกับข้า ภรรยาของข้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากที่สุดในใต้หล้า ไม่ว่าทำอะไรก็ดีทั้งนั้น แล
สำหรับถูซินเยว่แล้ว จะเป็นลูกผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ การที่ลูกน้อยสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยเพราะในยุคโบราณการที่ผู้หญิงคลอดลูกนั้นเปรียบเสมือนการเดินไปขอบประตูนรก ดังนั้นการที่สามารถให้กำเนิดลูกได้อย่างปลอดภัยถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เธอจึงไม่คาดหวังอย่างอื่นอีกแต่ว่าช่วงนี้เธอมักจะถูกนางหยูล้างสมองอยู่บ่อยๆ จนถูซินเยว่เองก็คิดว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกผู้ชายก็ได้เป็นผู้ชายก็ดี เพราะความคิดปิดกั้นในยุคโบราณนั้นสร้างความลำบากให้กับหญิงสาวอย่างมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ก็สามารถลดความลำบากหลายๆ อย่างให้เธอได้ไม่น้อยเดิมทีถูซินเยว่อยากจะถามฉงเป่าว่าในท้องตนเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่ ซึ่งตามปกติแล้วขอเพียงเอาของกินมาล่อนิดล่อหน่อย ฉงเป่าก็ยอมพูดทุกอย่าง มีเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ไม้ว่าถูซินเยว่ถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอก"อย่างไรเสียลูกก็อยู่ในท้องของข้า เจ้าจะบอกหน่อยมิได้หรือว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ถึงเจ้าพูดมา ด้วยเงื่อนไขการรักษาแบบนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้มิใช่หรือไง?"อีกอย่าง ถูซินเยว่เองก็ไม่มีความคิดการให้ความสำคัญชายมากกว่าหญิงด