สายลมที่พัดผ่านเพื่อเปลี่ยนแปลงฤดูกาล ชายเสื้อคลุมสีฟ้าสดใสพลิ้วไหวไปตามแรงลม คนที่ยืนมองสวนดอกไม้เบื้องหน้าอยู่นั้นกำลังออกกำลังกายในท่าทางที่แตกต่างกันออกไป ยามนี้หลินซูเหมยคนใหม่เริ่มมีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน นางสามารถยกของหนักและเดินวนอยู่ในสวนได้หลายรอบแบบไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
“น้องหญิง…. นี่เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หรือ”
เสียงหวานที่ฟังดูเสแสร้งดังขึ้นมาขณะที่หลินซูเหมยกำลังยืนชื่นชมความงามที่อยู่เบื้องหน้าในยามนี้ วันนี้นางตั้งใจมาเดินเล่นในสวนเพื่อที่จะได้พบเจอกับคนที่คอยกลั่นแกล้งรังแกเจ้าของร่างคนก่อนมาตั้งแต่เด็ก ความยุติธรรมบิดานั้นมอบให้เสมอมา แต่ทว่าหลินซูเหมยคนก่อนนั้นอ่อนแอ และมีความท้อแท้ในการใช้ชีวิต จึงไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อปากต่อคำกับผู้ใด แต่มายามนี้นางพร้อมที่จะแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกเสือกิน*
“พี่หญิงสี่… ข้ากำลังชื่นชมความงามของธรรมชาติในยามนี้อยู่เจ้าค่ะ” ดวงตาเรียวหรี่ตามองก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ๆ
“นี่เจ้า… แข็งแรงดีอย่างนั้นแล้วหรือ”
นางเอ่ยถามออกมาไม่ใช่เพราะความห่
สองข้างทางของตลาดเมืองหนานอันที่รุ่งเรืองในยามเชิน รถม้าของจวนตระกูลหลินเคลื่อนผ่านมา ม่านจากหน้าต่างของรถม้าปลิวไปตามแรงลม เผยให้มองเห็นสาวน้อยในวัยที่มีใบหน้างดงามทำให้หนุ่มๆ ที่เดินอยู่เหลียวมองตามรถม้าไป รวมถึงสารวัตรทหารหนุ่มที่ตามสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุตรีของเจ้ากรมการกลาโหมในงานโคมไฟวันหยวนเซียวที่ผ่านมา“นั่นรถม้าของจวนท่านปิงปู้ใช่หรือไม่ขอรับท่านตูจวิน” นายทหารที่มาทำหน้าที่ร่วมกันกับสารวัตรทหารหนุ่มเอ่ยถามขึ้นขณะมองตามสายตาคมของเขาไป“ใช่… แต่ข้ามิรู้ว่าข้างในรถม้านั่นเป็นผู้ใดกัน” เขาตอบออกมาก่อนที่จะเดินนำนายทหารอีกสองนายไปรถม้าจอดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมอวิ๋นซีหลงซึ่งเป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงเรื่องอาหารไปถึงแดนไกล โรงเตี๊ยมแห่งนี้มักจะมีลูกค้ามากหน้าหลายตาจากต่างเมืองมาอุดหนุนอยู่ไม่ขาด สองสาวต่างวัยก้าวเท้าลงจากรถม้า ใบหน้างดงามแต่งกายสมวัยเรียกสายตาของฝูงชนที่เดินผ่านไปผ่านมา สำหรับหลินเยว่หรูมีใครบ้างที่จะไม่รู้จักนาง แต่ทว่าเด็กสาวอีกนางหนึ่งนั้นไม่มีผู้ใดจดจำนางได้ ยกเว้นเพียงแค่เขาที่มีใจใฝ่หานางมานานหลายวัน
“ท่านพี่... ส่งมันให้ทางการสอบสวนต่อเถิดเจ้าค่ะ”หลินซูเหมยเบื่อหน่ายที่จะเล่นกับคนที่คอยจะทำร้ายนางเต็มที ความผิดที่พวกนางก่อเอาไว้มันเป็นเหมือนกระดาษที่ห่อไฟไม่ได้ฉันใด ก็ปกปิดความจริงไม่ได้ฉันนั้น นางหวังเพียงว่าคนพวกนี้จะไม่เห็นเงินมีค่ากว่าชีวิตของตน“ดี… เช่นนั้นเรากลับจวนไปบอกท่านพ่อเรื่องนี้กันเถิด” คุณหนูรองเอ่ยชวนน้องสาวก่อนที่จะหันไปกำชับนายทหารตรงหน้า“ขอฝากพวกท่านจัดการต่อด้วยนะเจ้าคะ แล้วข้าจะให้ท่านพ่อตามพวกท่านไป”“ขอรับ… แม่นางมิต้องเป็นห่วง พวกข้าจะมิให้ผู้ใดรอดพ้นความผิดที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไปได้” ถึงแม้แผนการจะไม่สำเร็จแต่เพราะยังมีคนคิดปองร้ายหากไม่ถอนฟืนใต้หม้อหญิงงามต่างวัยทั้งสองนางเดินกลับไปยังรถม้าที่มาจอดรออยู่พร้อมๆ กับสาวรับใช้ ไม่กี่เค่อรถม้าก็ถูกควบจากไป ฟางเซี่ยเหมินและนายทหารอีกสามนายควบคุมหัวขโมยและเป็นคนร้ายจากการลอบปองร้ายคุณหนูห้าจากจวนตระกูลหลินกลับไปไตร่สวนที่ศาลอาญาจวนสกุลหลินหลินหยางถึงกับโมโหเมื่อได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกั
ณ ศาลต้าอันเจ้ากรมการกลาโหมหลินหยางที่เดินทางมาร่วมฟังคำไตร่สวนคนที่ทำให้บุตรีของเขาต้องตกสระน้ำไปในวันหยวนเซียว ถึงกับกำหมัดแน่นเมื่อได้รับรู้เรื่องราวเบื้องต้นว่า เกิดจากการว่าจ้างของคนในตระกูลขุนนางระดับกลางตระกูลหนึ่งในเมืองหนานอัน ซึ่งเขาเองก็รู้จักเป็นอย่างดี“เรื่องภายในจวนของข้า ข้าจะจัดการด้วยตัวของข้าเอง ส่วนผู้ร้ายผู้นี้ข้าให้ทางการจัดการก็แล้วกัน”เขารู้สึกน้ำตาตกใน ไม่ว่าจะเหตุผลใดหากนี่เป็นเรื่องจริงเขาก็ต้องจัดการสั่งสอนคนภายในจวนของเขาขั้นเด็ดขาด เพราะเขาเห็นแก่หน้าของตระกูลสวี เขาจึงแต่งบุตรีของตระกูลนี้เข้ามาในตระกูลหลินของตน“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด หากเป็นข้าก็ลำบากใจเช่นกัน” อู่จิ่นฮั่นเจ้ากรมอาญาเอ่ยออกมา เขารู้สึกเห็นใจเจ้ากรมการกลาโหมอยู่ไม่น้อยหากคนในครอบครัวนั้นคิดอิจฉาริษยากันถึงขั้นหมายเอาชีวิตกันเอง“เช่นนั้นข้าขอลา”หลินหยางคำนับลาก่อนที่จะขึ้นไปนั่งบนรถม้าเพื่อกลับจวน สีหน้าของเขานั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เรื่องนี้อาจจะเป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจบุตรีให้เท่า
“ท่านแม่!!!” หลินจางหลงอุทานชื่อมารดาออกมาด้วยความรู้สึกผิดหวัง“ท่านแม่ไม่ผิด เรื่องนี้ข้าผิดเอง ข้าอิจฉาน้องห้าเพราะท่านพ่อรักและเอ็นดูนางมากกว่าข้า ข้าอิจฉาน้องห้าที่นางได้รับความเอ็นดูจากพี่หญิงรอง นางทำให้ข้าเกลียดนาง มีนางอยู่ข้าก็มีชีวิตอยู่ได้อย่างไม่สงบสุข”หลินจินหรูรับสารภาพออกมาทั้งน้ำตา น้ำเสียงที่สารภาพออกมานั้นไม่ได้แสดงถึงความสำนึกผิด แต่ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งดังออกมานั้นราวกับกำลังตัดพ้อ ดวงตาเรียวที่มีน้ำตาคลอเต็มอยู่สองเบ้าตามองไปยังผู้เป็นบิดาและพี่สาวต่างมารดา“นายท่าน… นายหญิงใหญ่ เรื่องนี้คุณหนูกับนายหญิงเล็กไม่ผิดนะเจ้าคะ เรื่องนี้บ่าวผิดเอง บ่าวเป็นผู้ไปว่าจ้างให้คนรู้จักที่จวนของใต้เท้าสวีให้จัดการคุณหนูห้าเอง ถ้าไม่มีนางสักคน คุณหนูสี่ของข้าก็จะได้รับความรักความเมตตาจากท่าน ได้รับความเอ็นดูจากคุณหนูรองเช่นเดิม บ่าวเพียงทำเพราะรักคุณหนูสี่ก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”รูอี้ตัดสินใจที่จะยอมรับผิดเอาไว้เพียงผู้เดียวเพราะไม่อยากให้นายหญิงเล็กและคุณหนูสี่ต้องมาเดือดร้อน การที่นางรับแทนในครั้งนี้ก็ถือว
หลังจากที่คุณหนูสี่ออกเรือนไปได้เพียงหนึ่งวัน อนุจินหรงก็เดินทางออกไปปฏิบัติธรรมกับแม่ชีหลินซีที่วัดเขาอันจิ้งตามคำตัดสินของผู้เป็นสามี จวนตระกูลหลินจึงเงียบเหงาลงไปถนัดตา แต่ทว่าภายนอกจวนกลับนำไปพูดกันอย่างสนุกปากเกี่ยวกับเรื่องที่บุตรีคนเล็กของเจ้ากรมการกลาโหมถูกอนุจินหรงและบุตรีของนางคอยกลั่นแกล้งรังแกและลอบทำร้ายถึงขั้นหมายเอาชีวิต“ท่านจะอาสาไปออกศึกทางใต้ครั้งนี้จริงๆ หรือขอรับท่านตูจวิน” นายทหารชั้นประทวนเอ่ยถามสารวัตรทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในเมืองหนานอันแห่งนี้ด้วยกันมานานเกือบปี“จริง… ข้าอยากเป็นผู้ชายที่ดีกว่าเดิม” คำพูดของเขาทำเอานายทหารทั้งสามนายที่ติดตามเขามาตั้งแต่แรกถึงกับพากันฉีกยิ้มออกมา“พวกข้าน้อยขอให้ท่านประสบความสำเร็จ กลับมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเช่นเดียวกับท่านพ่อของท่านนะขอรับ” นายทหารคนสนิทเอ่ยออกมา พวกเขานั้นไม่ถนัดการศึกสงครามจึงได้แต่เป็นฝ่ายตรวจตราอยู่ภายในเมืองหนานอันแห่งนี้“ท่านตูจวิน นั่นใช่คุณหนูห้าของสกุลหลินใช่หรือไม่ขอรับ” ทหารหนุ่มชี้ไปยังสาวน้อยร่างบางที่ย
“สาวน้อยผู้นั้นใช่หรือไม่ คุณหนูห้าของสกุลหลิน”ฟางฮูหยินเอ่ยถามออกมาเมื่อได้พบกับเด็กสาวที่มีใบหน้าสวยงาม และมีกิริยางดงามไม่แพ้กัน แต่นางหารู้ไม่ว่ากว่าที่หลินซูเหมยจะดูงดงามอ่อนช้อยแบบนี้นางผ่านการอบรมและฝึกตนจากแม่ใหญ่อย่างหลินฮูหยินมาเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ หลินหยางและหลินฮูหยินมองตามสายตาของฟางฮูหยินไปก่อนที่จะพบเห็นหลินซูเหมย ยืนมองพวกพี่ชายของนางเล่นหมากรุกกันอยู่“ใช่แล้วขอรับ นั่นแหละลูกห้าของข้า”หลินหยางตอบฟางฮูหยินก่อนที่จะฉีกยิ้มภูมิใจออกมา เพียงหนึ่งเดือน บุตรีของเขาผู้นี้ได้ร่ำเรียนศาสตร์วิชาหลายแขนง เหล่าอาจารย์ที่มาสอนนางต่างพากันชื่นชม นางมีความสามารถที่หลากหลายเพียงแต่ว่าเป็นสตรีมิอาจสอบเป็นขุนนางได้ แต่ให้นางเรียนเผื่อมีวิชาติดตัวเอาไว้ไปใช้แก้ปัญหาในครอบครัวในอนาคต“หากท่านปิงปู้ไม่ขัดข้องพรุ่งนี้ข้าจะให้แม่สื่อนำสินสอดกับหนังสือหมั้นหมายมาส่งให้ที่จวน” ท่านแม่ทัพเมื่อเห็นว่าฟางฮูหยินพอใจในตัวว่าที่สะใภ้ที่บุตรชายเลือกด้วยตนเองอยู่ไม่น้อยจึงเอ่ยออกมาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา&ldq
เช้าวันต่อมาแม่สื่อผิงหลันก็ได้นำของหมั้นจำนวนมากของตระกูลฟางมายังจวนสกุลหลิน ผู้คนที่ผ่านไปมามองตามขบวนขนหีบของหมั้นตาโต เพราะมันมากมายจนคิดว่าหญิงสาวที่ขบวนนี้เดินทางไปหมั้นหมายนั้น เป็นองค์หญิงหรือเชื้อพระวงศ์จากในวังหลวง แต่ทว่าหญิงสาวที่พวกเขากำลังนำสิ่งของเหล่านี้ไปหมั้นหมายเป็นเพียงบุตรอนุของเจ้ากรมการกลาโหมเท่านั้น“คุณหนูห้านี่วาสนาดีจริงๆ นางมิเคยออกไปนอกจวนจวบจนอายุสิบห้า พอออกนอกจวนเพียงไม่กี่เดือนก็ไปถูกตาต้องใจคุณชายสาม บุตรชายของท่านแม่ทัพฟางเสียแล้ว” คนรับใช้ในจวนพูดคุยกันเกี่ยวกับวาสนาของคุณหนูที่เป็นเพียงบุตรีของอนุ“เด็กจิตใจดีมีความนอบน้อมถ่อมตนแบบคุณหนูห้าใครๆ ก็ต้องเอ็นดู ดีที่จวนท่านแม่ทัพฟางท่านไม่เก็บเรื่องลูกภรรยาเอกหรือเรื่องลูกอนุไปใส่ใจ” คนรับใช้อีกคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย นอกจากคุณหนูรองก็มีคุณหนูห้านี่แหละที่จิตใจดี มีเมตตา วันก่อนนางทำขนมหน้าตาแปลกประหลาดให้พวกบ่าวในเรือนอนุซูได้กินกัน พวกมันเอามาให้ข้าชิ้นนึง อร่อยเหมือนขนมเปี๊ยะแต่มีความหอมของนม” คน
ตลาดเมืองหนานอันรถม้าของจวนสกุลหลินเคลื่อนมาจอดที่ด้านหน้าตลาด ร่างบางของสาววัยสิบหกลงมาจากรถม้าด้วยท่วงท่างดงาม ความสดใสสมวัยของคุณหนูห้าแห่งจวนเจ้ากรมการกลาโหมทำให้หนุ่มๆ ในเมืองหนานอันรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยที่แม่นางน้อยผู้นี้นั้นมีคู่หมั้นคู่หมายเป็นถึงคุณชายสามของท่านแม่ทัพฟาง“คุณหนูเจ้าคะ วันนี้เราจะซื้ออะไรกันหรือเจ้าคะ”เสี่ยวเอ๋อเอ่ยถามคุณหนูห้าของนางด้วยน้ำเสียงอยากรู้ ทุกครั้งที่ออกจากจวนมามักจะมีเรื่องสนุกๆ ให้นางได้ชื่นชมตลอด และมีหลายครั้งที่นางรู้สึกว่าคุณหนูของนางเป็นผู้หญิงที่เก่งชนิดที่หาตัวจับยาก ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร การต่อบทกลอน เล่นดนตรีหรือ แม้แต่การป้องกันตนเอง นางเห็นมากับตาว่ามีกลุ่มนักเลงจะมาลวนลามคุณหนูของนาง แต่พวกนั้นกลับมิอาจแตะต้องคุณหนูได้แม้แต่ปลายเส้นผม“ข้าอยากได้ส้มไปฝากท่านแม่ใหญ่ ช่วงนี้นางเป็นหวัดบ่อย ข้าเลยคิดว่ากินส้มแล้วน่าจะช่วยได้ เจ้าไปเลือกมาให้ข้าหน่อยนะเสี่ยวเอ๋อ อะนี่เงิน… เดี๋ยวข้าจะเลือกปิ่นอยู่ที่ร้านหงอวี้รอ” หลินซูเหมยหันไปตอบและสั่งสาวใช้คนสนิท
หลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ อนุซูฉีจึงเอ่ยขอตัวกลับเรือนก่อน นางเจียมตัวและรู้ดีว่าที่นี่มิใช่ที่ของนาง หลินซูเหมย แม่ทัพฟางเซี่ยหมินและบุตรชายที่กำลังจะติดตามมารดาของนางไปนอนค้างที่เรือนก็ต้องชะงักเท้าเมื่อหลินจินหรู หรือพี่สี่ร้องเรียกนางเอาไว้ หลินซูเหมยจึงบอกให้มารดาพาหลานและท่านแม่ทัพกลับไปเรือนก่อนแล้วนางจะตามไป มีเพียงมู่หลันที่ต้องอยู่กับนายหญิงเพื่อคอยดูแลนาง“พี่ขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว”หลินซูเหมยจึงบอกให้มู่หลันหลบไปให้ห่างๆ เพราะเท่าที่ดูพี่หญิงสี่ผู้นี้คงจะมีเรื่องสำคัญอยากที่จะคุยกับนาง เมื่อสาวรับใช้ของทั้งสองเดินหลบไปยืนอยู่ไกลๆแล้ว สตรีทั้งสองจึงยืนประจันหน้ากันอยู่ตามลำพัง แววตาที่เคยอิจฉาริษยาของพี่สาวผู้นี้ดูเปลี่ยนไป“ที่ผ่านมาพี่ขออภัยต่อเจ้าด้วย ตอนนั้นพี่อาจจะยังเด็กจึงยังตีความหมายของคำว่ารักไม่เข้าใจ ตอนนั้นพี่เข้าใจว่าท่านพ่อรักเจ้า ท่านพี่หญิงรองเอ็นดูเจ้า พี่เข้าใจว่าเจ้าแย่งความรักจากพวกเขาไป แต่พอพี่เสียท่านแม่ไป พี่ถึงได้รู้ว่าความอิจฉาริษยาที่พี่มีต่อเจ้าในอดีตทำให้ท่านแม่ของพี่ต้องมาทำผิดเพื่อพี่จนมีจุด
หลังจากงานแต่งงานของฟางเซี่ยฉินผ่านพ้นไป ฟางเซี่ยหมินจึงพาภรรยาและบุตรชายไปพักที่จวนสกุลหลินต่อ เพราะตอนที่เดินทางมานั้นยังไม่ได้แวะคารวะบิดามารดาของภรรยาเลย ด้วยภาระหน้าที่ตำแหน่งแม่ทัพที่ต้องแบกรับจึงมิอาจสามารถกลับมาเยี่ยมทั้งสองครอบครัวได้บ่อยๆ เมื่อคำนับลาใต้เท้าฟางกับฟางฮูหยินแล้ว รถม้าของจวนแม่ทัพทิศเหนือจึงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหลินณ ยามนี้ที่ด้านหน้าจวนมีรถม้าจากจวนสกุลโจวและรถม้าจากจวนสกุลซื่อมาจอดอยู่ก่อนหน้าแล้ว เมื่อสองสามีภรรยาพร้อมกับลูกชายตัวน้อยเดินทางมาถึงจึงได้พบกับพี่สาวทั้งสองนางของหลินซูเหมย แม้แรกๆ หลินจินหรูจะรู้สึกไม่ดีที่ได้พบเจอน้องห้าที่มิได้พบเจอกันมานาน แต่นางก็เริ่มที่จะปล่อยวางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ติดใจเอาความเรื่องราวในอดีตแต่อย่างใด“คารวะท่านพ่อตา ท่านแม่ยายขอรับ”“คารวะท่านพ่อท่านแม่ใหญ่เจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาที่เพิ่งเดินทางมาถึงเข้าไปคำนับผู้ใหญ่ทั้งสอง“ตามสบายเขยห้า เหมยเอ๋อร์ นั่นใช่เหวินเอ๋อร์ใช่หรือไม่"ใต้เท้าหลินยิ้มแย้มก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเขินอ
“จ้านเอ๋อร์ ดูน้องด้วยนะลูก” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นบ้าง“เพิ่งจะขวบกว่าๆ แต่ซนนักเจ้าค่ะ” หลินซูเหมยเอ่ยออกมาพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบ เสี่ยวเอ๋อมิได้ติดตามนางมาด้วยเพราะว่ากำลังตั้งครรภ์ นางจึงให้มู่หลันติดตามนางกับแม่นมฉวนที่กลับมาอยู่ที่จวนแม่ทัพเช่นเดิม“สายเลือดนักรบแรงกล้า เจ้าคงต้องทำใจแล้วล่ะน้องสะใภ้สาม” พี่สะใภ้รองขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม“นั่นน่ะสิเจ้าคะ พวกบ่าวในเรือนช่วยกันวิ่งตามจับแทบจะไม่ทัน” หลินซูเหมยเห็นด้วย บุตรชายของนางผู้นี้ช่างมีพลังเยอะเหลือล้น เขาวิ่งเล่นจนบ่าวในเรือนพากันเหน็ดเหนื่อยที่ต้องคอยวิ่งตามระแวดระวังความปลอดภัยให้กับคุณชายน้อยสตรีทั้งสามนั่งพูดคุยกันขณะที่สายตาก็จ้องมองบุตรของพวกตนไปด้วย ฟางเซี่ยฉินที่เตรียมตัวจะออกเรือนในวันพรุ่งนี้เดินเข้ามาหาพี่สะใภ้ทั้งสามกับหลานๆ ที่สวนดอกไม้แห่งนี้ นางตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก จึงอยากจะมาขอคำปรึกษาพี่สะใภ้ซึ่งล้วนแต่เป็นสตรีด้วยกันทั้งสาม“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ” เจ้าของเรือนร่างงามคำนับสตรีทั้งสามที่กำล
ในขณะที่ท่านแม่ทัพอดหลับอดนอนเพื่อดูแลภรรยาที่นอนหลับไปสามวันสามคืน นิ้วมือของเจ้าของร่างอวบอิ่มก็เริ่มขยับจนคนที่กุมเอาไว้รู้สึกไปด้วย เขาลุกขึ้นก่อนที่จะเรียกท่านหมอที่เขาเชิญให้อยู่ดูอาการให้ภรรยาของเขาตั้งแต่วันแรกที่นางสลบไป“ท่านหมอ… ฮูหยินของข้านางรู้สึกตัวแล้ว รีบมาตรวจดูอาการของนางเร็วเข้า”ท่านหมอชุนรีบเข้ามาในห้องนอนของท่านแม่ทัพ ก่อนที่จะลงมือจับชีพจรของฮูหยิน เป็นปกติ นางรอดพ้นเงื้อมมือของมัจจุราชมาได้แล้ว“รายงานท่านแม่ทัพ อาการของนายหญิงตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วขอรับ นางปลอดภัยแล้วขอรับ” หมอหลวงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ท่านแม่ทัพรีบปรี่เข้าไปหาภรรยาก่อนที่จะจับมือนางมากุมเอาไว้“น้องหญิง… ตื่นเถิด พี่กับลูกรอเจ้านานแล้วนะ แม่นมฉวน พาเหวินเอ๋อร์มาหาข้าทีเถิด ข้าจะให้เขาได้ปลุกแม่ของเขา ให้นางตื่นขึ้นมาให้นมเขาเองเสียที”แม่นมฉวนน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่านายหญิงปลอดภัยแล้ว นางรีบอุ้มคุณชายน้อยมาส่งให้กับคุณชายสาม เขารับร่างเล็กที่นอนมองหน้าเขาตาแป๋วมาอุ้มเอาไว้พลางนำมือของภรรยามาวางไว้บนมือของลูกน
หมอตำแยจัดการทำความสะอาดและดูแลแผลให้กับนาง พร้อมกับพาคุณชายน้อยมารับน้ำนมจากถันงามของฮูหยิน ทารกน้อยดูดกลืนน้ำนมจากเต้างามของมารดา หลินซูเหมยสลบไปแล้วจึงมิได้รับรู้ว่าบุตรชายตัวน้อยของนางนั้นหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดไหน“ท่านแม่ทัพ ได้คุณชายน้อยเจ้าค่ะ"มู่หลันออกมารายงาน แม่นมฉวนอุ้มทารกน้อยในห่อผ้าออกมาหลังจากที่คุณชายน้อยดูดนมจากอกของนายหญิงจนอิ่มแล้ว“ลูกพ่อ…” เขารับมาอุ้มก่อนที่จะกดจมูกโด่งลงบนหน้าผากเล็กของบุตรชาย“คุณชายสาม ตั้งชื่อคุณชายน้อยไว้หรือยังเจ้าคะ” แม่นมฉวนเอ่ยถามคุณชายของตนยิ้มๆ“ฟางเซี่ยเหวิน เขามีชื่อว่า ฟางเซี่ยเหวิน” คนที่ได้เป็นพ่อหมาดๆ ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“แล้วฮูหยินล่ะ นางเป็นเช่นไรบ้าง” เขาไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงภรรยา“ฮูหยินสลบไปหลังจากคลอดคุณชายน้อยเจ้าค่ะ อาจจะเพราะความอ่อนเพลีย นางจึงยังไม่รู้สึกตัว” หมอตำแยที่เดินออกจากห้องนอนที่เพิ่งทำคลอดให้กับคุณชายน้อยตอบออกมา“สลบเช่นนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่”
ความสุขเกิดขึ้นหลังจากสงครามสงบ หนึ่งเดือนให้หลังตงหลงกับเสี่ยวเอ๋อก็ได้แต่งงานกัน แต่ทว่าทั้งสองก็ยังคงอยู่รับใช้ท่านแม่ทัพและนายหญิงใหญ่ที่จวนแม่ทัพทิศเหนือไม่ได้พากันย้ายออกไปไหน แม่นมฉวน แม่นมของแม่ทัพฟางเซี่ยหมินได้เดินทางมาคอยดูแลนายหญิงที่จวนแม่ทัพที่เมืองหนานถิงหลังจากอายุครรภ์ของนายหญิงใหญ่เริ่มมากขึ้น เพราะสาวรับใช้ที่อยู่ที่จวนแห่งนี้มีแต่สาวแรกรุ่นกับคนที่มิเคยผ่านการดูแลเด็กมาก่อน“นายหญิง… ช้าๆ หน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมฉวนที่พยุงเรือนร่างอวบอิ่มของนายหญิงเอ่ยออกมา“โถ่…แม่นมฉวน ข้ามิเป็นอันใดหรอกนะ นี่เพิ่งจะห้าเดือนเอง ยังอีกนาน” ฮูหยินแม่ทัพยิ้มก่อนที่จะเอ่ยออกมาเมื่อเห็นแม่นมของสามีแสดงอาการห่วงใยจนเกินเหตุ“ถึงแบบนั้นก็เถอะเจ้าค่ะ นายหญิงต้องดูแลตัวเองดีๆ นะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” แม่นมฉวนเอ่ยออกมาประคองนายหญิงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ริมหน้าต่าง“นายหญิงหิวหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเอ๋อเอ่ยถามนายหญิงออกมา“อืม… อยากกินขนมกุ้ยฮวา” น้ำเสียง
ทหารจากกองทัพหนานอันที่เดินทางมาเป็นกองหนุนให้กับกองทัพทิศเหนือเดินทางกลับเมืองหนานอันทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือเดินทางกลับมาถึงเมืองหนานถิง ข่าวเรื่องการทำคุณงามความดีของฮูหยินแม่ทัพทิศเหนือที่ได้จัดตั้งศูนย์พักพิงและแจกอาหารให้แก่ชาวเมืองซาย่าที่ลี้ภัยมาช่วงสงครามถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งแคว้นต้าตง ใต้เท้าหลินถูกชื่นชมจากเหล่าขุนนาง ถึงเรื่องที่บุตรีสร้างผลงานให้แก่บ้านเมืองมิต่างจากผู้เป็นสามี“ท่านเลี้ยงดูบุตรีได้ดียิ่งนักท่านใต้เท้าหลิน ได้บุตรเขยก็ดี เป็นแม่ทัพทิศเหนือที่เก่งกาจ” ใต้เท้าหยวน ขุนนางในเมืองหนานอันเอ่ยชมใต้เท้าหลินออกมา“ขอบคุณ ขอบคุณ เรื่องสามีของนางก็เป็นวาสนาของนางเอง ข้าก็เลยได้หน้าไปด้วย” เขาบอกออกมาอย่างถ่อมตน เขามิเคยโอ้อวดว่าบุตรเขยนั้นเป็นถึงแม่ทัพ“ท่านก็ช่างถ่อมตนยิ่งนัก”เสียงหัวเราะจากเหล่าขุนนางดังออกมา หลังจากนี้แคว้นต้าตงคงจะมีแค่ความสงบสุข เพราะมิว่าศัตรูจะมารุกรานทิศใด แม่ทัพของทิศนั้นก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี“อีกเรื่องข้าขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะ เรื่องที่บุตรีขอ
กองทัพฝั่งศัตรูรีรอที่จะตีเมืองซาย่าเพราะรอทหารที่แอบลอบเข้าไปในเมืองหนานถิงเพื่อจับฮูหยินของแม่ทัพทิศเหนือมาเป็นตัวประกันเพื่อให้อีกฝ่ายยอมวางอาวุธและให้พวกเขายึดเมืองแต่โดยดี รออยู่นานเกือบสัปดาห์จนเสบียงร่อยหรอก็ยังมิมีผู้ใดกลับออกมา แม่ทัพของแคว้นต้าเฉวียนจึงมิอาจรีรอได้อีก เพราะยิ่งรอนานกองทัพทหารของเขาก็ยิ่งเสียเปรียบ แถมเส้นทางการส่งเสบียงมาให้กองทัพยังมีพวกโจรที่แอบอาศัยอยู่ในเมืองฉงหนานปล้นเสบียงจนทำให้กองทัพเสบียงเดินทางมาไม่ถึงชายแดนอีก เรียกได้ว่าศึกในยังไม่สงบแต่ฮ่องเต้ของแคว้นก็อยากจะสร้างศึกนอกเสียแล้วแม่ทัพของแคว้นฉงหนานส่งสัญญาณให้เหล่าทหารเตรียมพร้อม เสียงเป่าแตรที่เป็นสัญญาณออกรบดังขึ้น กองทัพธนูจึงเดินนำหน้าไปก่อน ต่อด้วยกองทัพเดินเท้าและทหารม้าเรียงหน้ากระดานเข้าไปใกล้เขตเชื่อมต่อของเมืองฉงหนานและเมืองซาย่า แม่ทัพฟางเซี่ยหมินจึงเตรียมส่งสัญญาณให้ทหารที่ไปรออยู่ที่ฝายเก็บน้ำแล้วเตรียมปล่อยน้ำออกมาเช่นกัน และเมื่อกองทัพฝั่งศัตรูกำลังพากันเดินลงมาในเส้นทางน้ำ พลุที่นายทหารเตรียมไว้ก็ถูกจุดทันทีที่ท่านแม่ทัพทิศเหนือทำสัญญาณมือเหล่าทหารกล้าของกองทัพหน
กองทัพทหารนับสามหมื่นนาย ซึ่งนำทัพโดยท่านแม่ทัพฟางเซี่ยหมิน แม่ทัพทิศเหนือผู้องอาจน่าเกรงขาม ที่มิว่าจะเยือนสนามรบใด ศีรษะของศัตรูมักจะถูกบั่นออกจากคอทุกครั้งไป เขาใช้เวลานำทัพเดินทางไปถึงเมืองซาย่าจากเมืองหนานถิงนานถึงสามวันสามคืน ระหว่างทางพบเจอกับชาวเมืองที่อพยพทิ้งเมืองมาเพราะความหวาดกลัว เป็นภาพที่เขาเห็นทีไรก็รู้สึกเจ็บปวดใจ สงครามมิเคยนำความสงบสุขมาให้แก่ผู้ใด มีสงครามที่ใดก็มีแต่การนองเลือดและการสูญเสียบุคคลที่รัก“สถานการณ์ด้านนอกประตูเมือง กองทัพของแคว้นต้าเฉวียนอยู่ห่างจากเมืองออกไปประมาณสองหมื่นลี้ มีทหารร่วมทัพมาราวๆ สามถึงห้าหมื่นนาย” แม่ทัพภาคเข้ามารายงานต่อท่านแม่ทัพทิศเหนือที่ยืนสูงสง่าอยู่ด้านหน้าสุดบนกำแพงเมืองซาย่า“ข้ารู้มาว่าเขตแดนระหว่างเมืองซาย่ากับเมืองฉงหนานของแคว้นต้าเฉวียนมีแม่น้ำตัดผ่านใช่หรือไม่” เสียงเข้มของท่านแม่ทัพหนุ่มดังขึ้น“ใช่แล้วขอรับ แต่ตอนนี้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้งขอด จึงไม่มีน้ำไหลผ่านมาขวางทางทหารเหล่านั้นแล้วขอรับ” แม่ทัพภาคตอบตามความจริง“แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเรามีฝายกั