จนกระทั่งซ่งซีซีจากไป ฮองเฮาฉีก็ยังไม่หายโกรธนางนั่งข้างๆ เฝ้ามองปู่ที่ดื่มยาสมุนไพรและน้ำแกงโสมด้วยใบหน้าบูดบึ้ง เขายังขอให้หมอหลวงฝังเข็มเปิดจุดฝังเข็ม เพื่อให้เลือดลมหมุนเวียน แถมยังกินยาที่หมอมหัศจรรย์ดันเอาไว้ให้ด้วยภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ ดีขึ้นหมอหลวงวินิจฉัย บอกว่าเขามีกำลังใจที่จะต่อสู้ ยังมีความหวังทุกคนในตระกูลฉีมีความสุข แต่ฮองเฮาฉีรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ใบหน้าซีดเซียว ไม่ผิดไปจากตอนที่อาจารย์ฉีแต่หน้าปลอมตัวเพื่อไปที่หอหนานเฟิงเลยแม้แต่น้อยนางรู้ว่าครั้งนี้ตัวเองเดิมพันด้วยทุกอย่างที่มี ทั้งล่วงเกินครอบครัวของตัวเอง และล่วงเกินฝ่าบาทแต่ซ่งซีซีเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ มีแต่ต้องให้ชื่อเสียงของนางถูกทำลายย่อยยับเท่านั้น นางในฐานะฮองเฮาถึงจะเปิดตัวได้อย่างชัดเจน นางสามารถทำอย่างที่ซ่งซีซีทำ ก่อตั้งสถาบันการศึกษาสตรี รับสมัครบุตรีขุนนางเจ้าหน้าที่เข้าเรียน รวมอำนาจของตระกูลขุนไว้ด้วยกัน เพื่อผนึกกำลังให้องค์ชายใหญ่ สิ่งที่นางเคยดูหมิ่นเหยียดหยาม ตอนนี้นางสามารถทำได้ เพราะนางสังเกตเห็นท่าทีที่ลังเลของบิดา ฝากความหวังไว้กับตระกูลฉีอย่างเดียว หาก
อ๋องฮวยรวบรวมของมีค่าออกจากเมืองหลวง แต่ของมีค่าจำพวกเงินทองเหล่านั้นถูกสับเปลี่ยนไปหมด เขาค้นพบเมื่อมาถึงครึ่งทาง จากนั้นก็โกรธมากจนเป็นบ้าน่าเสียดายที่ถึงจะบ้าคลั่งไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่กล้ากลับเมืองหลวงอีกเพียงแต่ว่าเขาไม่มีเส้นสายหรือสิ่งของมีค่าใดๆ มาที่นี่ มีเพียงสถานะท่านอ๋องเปล่าๆ เท่านั้น เขาไม่ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนมาก สถานการณ์ของเขาก็น่าอายมากแต่ก็โชคดี ที่เขาพบทางออกที่ดี เพียงแต่ สำหรับพี่สามแล้ว ทางออกนี้อาจไม่ใช่ทางที่ดีถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวก็จะไม่ถูกฟ้าดินลงโทษ ที่เขาซ่อนตัวเงียบๆ ไม่ใช่แค่การสร้างที่ทางที่ดีในอนาคตเท่านั้นคนผู้นั้นซ่อนตัวอยู่ลึก ไม่ถูกสงสัยมาหลายปีแล้ว และที่สำคัญคือค่อยๆ แทรกซึมเข้าไป นำสิ่งของหรือความสามารถของผู้อื่นมาใช้เพื่อตนเอง นี่ต่างหากที่เป็นนักวางแผนที่แท้จริงแน่นอนว่าคนผู้นี้รับมือได้ยากกว่าพี่สาม หากเขาประสบความสำเร็จในอนาคต เขาอยากจะช่วงชิงผลงานมาเป็นของตน จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยอย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบระหว่างพี่สามกับคนผู้นั้น คนผู้นั้นมีโอกาสชนะมากกว่า ดังนั้นเขาจึงต้องการติดตามผู้ที่มีโอกาสชนะมากกว่าอยู่แล้วยิ่งไปก
แม้ว่าเจ้ากรมฉีจะปฏิเสธผู้มาเยี่ยม แต่กลับพาฮูหยินใหญ่ไปเยี่ยมเยียนซ่งซีซีด้วยตัวเองซ่งซีซีต้อนรับตามปกติ ไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้ากรมฉีมากนัก อาจารย์หยูอยู่สนทนาเป็นเพื่อนเขา ส่วนนางก็เชิญฮูหยินใหญ่ไปดื่มชาที่เรือนด้านข้างในปีที่ผ่านมาฮูหยินใหญ่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหน ร่างกายผ่ายผอมลงไปมาก เพียงแต่ลักษณะนิสัยค่อนข้างสงบเงียบมากเช่นกันนางไม่รวนเรเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วก่อนหน้านี้นางจำได้ว่าตัวเองเป็นผู้ดูแลกิจการภายในของจวนเจ้ากรม ในฐานะภรรยาของประมุขตระกูล นางต้องมีคุณสมบัติของภรรยาที่เป็นประมุขของตระกูล แม้ว่าจะไม่ชอบ แต่ก็จะไม่แสดงมันออกมาบนใบหน้านางทำให้ตัวเองลำบากมาโดยตลอด ตอนนี้ดูเหมือนนางจะเปิดใจกว้างขึ้นมาก มีบางสิ่งที่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติก็พอ ไม่ล้ำเส้น แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุดนางขอโทษซ่งซีซี ที่ไม่ได้อบรมสั่งสอนลูกสาวให้ดีนางบอกว่าตัวนางสามารถทำทุกอย่างในชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในความเป็นจริงสิ่งที่ทำได้ดีจริงๆ มีน้อยมากแต่นางบอกว่ามันไม่สำคัญ ชีวิตคนเราแม้ทำได้ดีแค่เรื่องหนึ่ง ทำให้ตัวเองพอใจได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วซ่งซีซียิ้มแล้วพูดว่า “ใครบ
ในฐานะเจ้าสำนัก ซ่งซีซีไม่สามารถสอนวิชาอื่นได้ แต่ก็พอจะสอนการต่อสู้ได้บ้างได้ จึงถามพวกนางว่ามีใครอยากเรียนการต่อสู้บ้าง ซึ่งสามารถนำไปใช้ป้องกันตัวได้ด้วยเมื่อนางเสนอ ก็มีนักเรียนมากกว่าครึ่งที่อยากเรียนแต่การเรียนการต่อสู้นั้นต้องดูที่พรสวรรค์ด้วย แม้จะเต็มใจเรียนรู้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนรู้ได้อย่างไรก็ตาม ซ่งซีซีเห็นว่ามีคนสนใจมากมาย นางจึงตัดสินใจเพิ่มวิชาเรียน เพื่อฝึกฝนความแข็งแกร่งและความคล่องตัว รวมถึงการป้องกันตัวเองและสมรรถภาพทางกายโดยเฉพาะสำหรับการเรียนการต่อสู้จริงๆ นั้น นางจำเป็นต้องเลือกให้ดี บังเอิญว่าเฉินเฉินได้ยินว่าเสิ่นว่านจือสอนกองทัพซวนเจียพวกเขาอยู่ นางจึงอยากมาสอนที่สถาบันการศึกษาสตรีเช่นกัน รบเร้าซ่งซีซีให้นางได้มาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกหญิงซ่งซีซีทำตามที่นางต้องการ ทั้งสองก็ผลัดกันสอน สำหรับชั้นเรียนประจำวัน เฉินเฉินก็สามารถสอนได้เช่นกัน เพราะไม่ยากเกินไปคัดเลือกผู้เรียนการต่อสู้ออกมาสิบคน พวกนางทั้งหมดเป็นลูกสาวชาวนา พวกนางไม่มีความคิดอื่นใดเลย บอกว่าหากวันหน้าเอาตัวไม่รอด ก็สามารถไปเป็นผู้คุ้มกันของคุณหนูผู้ดีก็ยังดี ไม่ต้องขายตัวเป็นทาส แถมยังได้
ซ่งซีซีถามคำถามเพิ่มเติมสองสามข้อ และในที่สุดก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเพื่อการแต่งงานของลูกชายคนที่สาม พ่อแม่ของเสี่ยวหมิงซีคิดจะใช้ช่วงที่สัตว์ป่าบนภูเขาเข้าสู่การจำศีลและยังไม่ออกมาจากที่ซ่อน จึงเข้าไปเก็บสมุนไพรในป่าลึกๆ โดยปกติแล้วสมุนไพรหลายชนิดจะพบได้ในภูเขาที่สูงชันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากขึ้นไปบนภูเขามาหลายวัน ทั้งคู่ก็รู้สึกหนาว หิว และเหนื่อยล้า จากนั้นก็กลิ้งตกลงมาด้วยกันถ้าไม่มีคนเก็บสมุนไพรบังเอิญเดินผ่านไป พวกเขาคงตายอยู่บนภูเขาไปแล้วแต่แม้ว่าจะช่วยชีวิตไว้ได้ คนหนึ่งล้มได้รับบาดเจ็บที่เอว ส่วนอีกคนหนึ่งขาหัก ในอนาคตจะไม่สามารถทำงานได้อีก ยังต้องมีคนคอยดูแล อีกอย่างอาการบาดเจ็บก็ยังไม่หาย การรักษาต่อเนื่องก็ต้องเสียเงินนอกจากนี้ การแต่งงานของพี่ชายคนที่สามก็ใกล้เข้ามาแล้ว เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่คอยบอกว่าเราต้องสามัคคีกัน กลับตกเป็นเหยื่อเสียเอง“พ่อแม่ของนางรู้ไหม?” ซ่งซีซีถาม“ไม่รู้ พ่อแม่ของนางไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังคากระเบื้อง ถูกพากลับไปรักษาตัวที่บ้านหลังเก่าที่ทรุดโทรม”“คนอื่นก็เห็นด้วยที่จะขายนาง?” ซ่งซีซีถามอีกครั้ง“ข้าไม่รู้ อย่างไรก็ตามพี่ชายของนา
ซ่งซีซีจับมือของนาง พูดคุยกับนางมากมาย แต่สิ่งเดียวที่นางไม่เคยพูดถึงก็คือคำพูดไม่ดีเกี่ยวกับครอบครัวของนางเสิ่นว่านจือกับเฉินเฉินฟังอยู่ข้างนอก หลังจากที่พวกนางพูดคุยกันเสร็จ ก็ให้เป่าจูพานางไปหาที่พัก เสิ่นว่านจือถามว่า “ทำไมถึงยังให้นางปกป้องคนในครอบครัวของนางอีก? ควรจะบอกให้นางรู้ว่า คนในครอบครัวของนางโหดร้ายกับนางแค่ไหน ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกผูกมัดไปตลอดชีวิต”ซ่งซีซีจิบน้ำ สายตาที่สงบนั้นมีความเศร้าแฝงอยู่ “ซีซี ไม่ใช่กรณีเดียว ครอบครัวของผู้คนมากมายเป็นแบบนี้ เมื่อเผชิญกับความยากลำบากก็คิดขายลูกสาวหรือน้องสาวได้ง่ายๆ ในความคิดของพวกเขา นี่ไม่ใช่สิ่งที่โหดร้าย พวกเขาคิดว่าการขายนางไปเป็นเจ้าสาวเด็กก็ดี ขายนางให้ไปเป็นสาวใช้ในครอบครัวร่ำรวยก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นเพียงทางรอดเท่านั้น”นางหยุดชั่วคราวและพูดต่อ “ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บางคนจะใช้ลูกสาวแลกกับการแต่งงานหาภรรยาให้กับลูกชาย แต่อย่างน้อย พ่อแม่ของหมิงซีก็ไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาใช้วิธีการต่างๆ เพื่อหาเงิน แม่ของนางตั้งแผงขายของ พ่อของนางทำงานเป็นคนงานรายวัน แถมยังขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่เคยคิดที่จะขายหมิงซี ไม่อย่าง
นางใช้เวลาครึ่งชั่วยาม เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากความกลัว จากนั้นก็ขี่ม้าเข้าไปในพระราชวัง นางต้องการเหตุผลในการออกจากเมืองหลวงจักรพรรดิซูชิงได้รับจดหมายสองฉบับจากเซี่ยหลูโม่ จดหมายฉบับแรกระบุว่าเขาค้นพบความผิดปกติในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นไปได้ว่าชาวบ้านเหล่านั้นเป็นทหารส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงส่งคำสั่งลับสั่งให้เขาเข้าไปในภูเขาเพื่อตรวจสอบจดหมายฉบับที่สอง คือพวกเขาเคยเข้าไปในภูเขาครั้งหนึ่ง พบว่ามีการคุ้มกันเข้มงวด น่าจะเป็นทหารส่วนตัวอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยังไม่พบอาวุธและเสบียงอาหาร เขาจึงได้มีพระราชโองการลงไปอีก ให้เขาตรวจสอบต่อไป ต้องค้นหาอาวุธกับเสบียงให้พบและทำลายหลังจากนั้น ก็ไม่มีข่าวคราวจากเขาจริงๆ แล้วเขาค่อนข้างเป็นกังวล คนไม่กี่คนเข้าไปสำรวจตรวจสอบภูเขาหลายลูก และไม่ทราบจำนวนทหารส่วนตัว ไม่มียอดฝีมือติดตามไปด้วย เกรงว่าจะเกิดอันตรายแต่เขารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันดี หากสามารถค้นหาอาวุธทั้งหมดและทำลายพวกมันได้ ก็สามารถส่งกองกำลังใกล้เคียงไปปราบพวกโจรได้ทันที ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอย่างเปิดเผย ก็สามารถลดการสูญเสียได้ตอนนี้ได้ยินซ่งซีซีบอกว่าไม่มีข่าวมาครึ่งเดือนแล้ว เขาก็กังวลม
ซ่งซีซีและคนอื่นๆ มาที่หลูโจวในฐานะพ่อค้า หลังจากสอบถามเรื่องหมู่บ้านต้าสือ พวกเขาจำเป็นต้องติดต่อศิษย์พี่เสิ่นกับกุ้นเอ๋อร์ก่อนนางวาดภาพดอกท้อในสถานที่ที่เห็นได้ชัดเจนในเมือง ทิ้งรหัสลับไว้ ซึ่งหากตามรหัสลับไปก็จะสามารถหาโรงเตี๊ยมที่พวกเขาพักอยู่ได้คืนนั้น ศิษย์พี่เสิ่นและกุ้นเอ๋อร์มาหาพวกเขา ทั้งสองคนหัวเต็มไปด้วยขี้เถ้าหน้าเต็มไปด้วยดิน เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ผมเผ้าแม้จะมีการจัดแต่งทรงมาก่อน แต่รองเท้าเต็มไปด้วยฝุ่นโคลน เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเพิ่งออกจากภูเขาตลอดการเดินทางมานี้ซ่งซีซีกังวลมาตลอด ตอนนี้เมื่อนางได้พบกับศิษย์พี่เสิ่น นางก็รีบถามถึงสถานการณ์เสิ่นชิงเหอปลอบนางก่อน “ตอนที่ให้นกพิราบส่งสารส่งจดหมายเจ้า เราขาดการติดต่อ ไม่มีเบาะแสร่องรอยใดๆ จริง แต่เราได้ค้นพบบางอย่างเมื่อสองวันก่อน พบเครื่องหมายที่ศิษย์น้องชายทิ้งไว้ในป่าเก่าทางใต้ของหมู่บ้านต้าสือ ซึ่งยืนยันได้ว่าพวกเขาเคยหยุดที่สถานที่นั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน”หลังจากบอกข่าวเพื่อให้ซ่งซีซีผ่อนคลาย จากนั้นเขาก็บอกเหตุผลว่าทำไมทั้งสองจึงขาดการติดต่อพวกเขาได้รับคำสั่งลับจากฝ่าบาท ให้พวกเขาเข้าไปในภูเขาเพื่อค้นหาว่าเสบียง
ซ่งซีซีนั่งกลับลงบนเก้าอี้ กล่าวว่า “เรื่องที่พวกเจ้าทุจริตนั้น ฝ่าบาททรงทราบดีแล้ว ตอนนี้ที่ทรงให้ข้าสอบสวนเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อมอบโอกาสให้พวกเจ้า หากพูดความจริง หัวของเจ้าจะยังปลอดภัย หากให้ข้อมูลที่มีค่าเพิ่มเติม อย่างมากก็แค่ถูกเนรเทศไปทำงานนอกเมือง ยังสามารถโลดแล่นในวงราชการได้”เกาหมิงอวี้ที่มีประสบการณ์ในราชสำนักมานานย่อมรู้ดีว่าให้ข้อมูลที่มีค่ามากขึ้น หมายถึงการขายเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชาเขาไม่มีข้อสงสัยในคำพูดของซ่งซีซีด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือ ช่วงนี้อู๋เยว่และคนของเขาตรวจสอบทางน้ำอยู่เสมอ สองคือ ซ่งซีซีออกหน้ามาสอบสวนด้วยตัวเอง หากไม่มีพระราชโองการจากฝ่าบาท นางไม่จำเป็นต้องลงมือเอง จะส่งใครมาทรมานเขาก็ได้แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าซ่งซีซีวิเคราะห์เขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และคาดการณ์ความคิดของเขาไปก่อนแล้ว“พวกเจ้าทุจริตทั้งระบบ ท่าทีของจินชางหมิงเป็นอย่างไร?”เกาหมิงอวี้ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “จะว่าไปจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มเปิดทางให้เราทุจริต โดยอ้างว่าเป็นค่าเหนื่อยของเรา เมื่อเริ่มต้นแล้ว เราลองเบิกเงินเกินมาเล็กน้อย เขาก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นเรากล้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเขาเตือนเ
หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สองวัน ซ่งซีซีตัดสินใจลงมือกับเกาหมิงอวี้ รองหัวหน้ากรมจัดการแม่น้ำเกาหมิงอวี้อายุสามสิบห้าปี รับราชการในกรมโยธามาแล้วห้าปี เขามีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวไร่ชาวนา เมื่อยังเยาว์วัยพ่อแม่เสียชีวิต เพื่อให้เขาได้เรียนในสำนักที่ดีที่สุด เขาดูดทรัพย์สมบัติของพี่น้องจนหมดสิ้นหลังสอบจอหงวนได้ เขาเข้ารับราชการ และกลายเป็นคนโลภเงินอย่างที่สุด ขี้เหนียวอย่างยิ่งยวด ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยเลี้ยงดูเขาไปเหมือนของไร้ค่า และไม่ติดต่อพวกเขาอีกเลยยังไม่หมดแค่นั้น เขาอ้างความหึงหวงเป็นเหตุผลในการหย่ากับภรรยาคนแรก แล้วแต่งงานกับบุตรสาวของอาจารย์ผู้มีพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาคืออธิการสำนักไป๋หยุน ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ลูกสาวคนเดียวของอาจารย์แต่งงานกับเขา แต่ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเขาคือคนไร้ค่าและทรยศทว่าคนไร้ค่าเช่นนี้กลับใช้งานได้ดี เพราะความโลภ โกรธ หลง และความเห็นแก่ตัวของเขา มีจุดอ่อนที่สามารถกดดันจนยอมพูดทุกอย่างคืนนั้น ซ่งซีซีสั่งให้กุ้นเอ๋อร์จับตัวเขามายังเรือนทางตะวันตกของเมือง ขังเขาไว้หนึ่งคืน ให้เขาหวาดกลัวและหิวโหย จากนั้นค่อยสอบสวนในวันถัดไปเกาห
จักรพรรดิซูชิงมีราชโองการให้อู๋เยว่พาคนไปควบคุมงานโดยตรง ทว่า จินชางหมิงรับมือได้อย่างคล่องแคล่ว พาอู๋เยว่ไปตรวจสอบผลสำเร็จด้วยตนเองหลังจากเริ่มงานมาเป็นเวลานาน อ่างเก็บน้ำก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์คุณภาพของอ่างเก็บน้ำนั้นยอดเยี่ยม เขื่อนที่สร้างขึ้นมั่นคงดั่งกำแพงทองหลังจากตรวจสอบอ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ไปตรวจสอบทางน้ำ ทุกพื้นที่ได้ขุดลอกเสร็จเรียบร้อย ส่วนเขื่อนที่เสียหายก่อนหน้านี้ก็ได้รับการซ่อมแซมและเสริมความแข็งแรงแล้วอู๋เยว่ยังส่งคนไปพูดคุยกับคนงานก่อสร้างทางน้ำ ชายฉกรรจ์แต่ละคนที่ผิวคล้ำแดด ดูซื่อๆ ขัดเขินเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าขุนนางส่วนใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ่งนั้น หากให้พวกเขาบอกความไม่พอใจอะไร พวกเขามักลังเลครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่าอาหารสามารถปรับปรุงได้ไหม โดยเฉพาะเพิ่มหมูติดมันให้หน่อยอู๋เยว่คิดว่าคนเหล่านี้เป็นคนเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีความเคียดแค้นในแววตาเขายังพาคนไปดูที่พักชั่วคราวของคนงานก่อสร้างเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้และกระท่อมหญ้าแฝก ภายในมีเพียงที่นอนใหญ่ที่รองรับคนได้เจ็ดแปดคน ดูรกเล็กน้อยในกระท่อมไม่มีอาวุธ เครื่องมือที่ต้องใช้ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในค
ซ่งซีซีแทบจะหัวเสียจนอกแตกตาย นางรู้สึกว่าเส้นผมสีขาวกำลังจะงอกออกมาบนหน้าผาก ไม่แปลกใจเลยที่ขุนนางในราชสำนักแต่ละคนดูแก่ก่อนวัย หรือแม้แต่เสนาบดีมู่ที่อายุเพียงหกสิบกว่า ผมก็หงอกไปกว่าครึ่งนางไปหาเสนาบดีมู่ด้วยความขุ่นเคือง หวังว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้างและกล่าวบางคำสนับสนุนนางต่อหน้าฮ่องเต้เสนาบดีมู่ยิ้มพลางมองนาง "แค่นี้ก็ถึงกับโกรธเลยหรือ?"ซ่งซีซีตอบ "มิกล้าโกรธเจ้าค่ะ แต่เรื่องนี้ชะลอความคืบหน้า และข้ากลัวว่าจะทำให้ผู้ต้องสงสัยตื่นตัว จนถูกชิงโอกาสไป ฝ่าบาทไม่ไว้ใจข้าเลย"เสนาบดีมู่ย้อนถาม "เขาไม่เชื่อเจ้าอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องปกติ ต่อให้เป็นเจ้า หากคนใต้บัญชาไม่ได้ยกหลักฐานมาสนับสนุนคำพูด เจ้าจะเชื่อพวกเขาโดยไม่ตรวจสอบหรือ?"ซ่งซีซีกล่าว "แต่เขาไม่มีหลักฐานว่าท่านอ๋องมีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เขาก็ยังระแวงทุกทางมิใช่หรือ?""ก็เพราะไม่มีหลักฐาน เขาจึงระแวง หากมีหลักฐาน เขาคงลงมือไปนานแล้ว" เสนาบดีมู่ถอนหายใจเบาๆ "ความจริงแล้ว หลายเรื่องไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะการตัดสินใจสำคัญในราชสำนัก ต้องผ่านการหารือและอภิปรายหลายครั้ง บางเรื่องใช้เวลาเป็นปีจึงจะเดินหน้าได้ อีก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โครงการก่อสร้างแม่น้ำได้เกณฑ์แรงงานจากในและรอบๆ เมืองหลวง โดยเป็นกลุ่มคนงานและแรงงานหนักกลุ่มเดียวกันหน่วยงานด้านแม่น้ำทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของจินชางหมิง เขาใช้ข้ออ้างเรื่องการซ่อมแซมแม่น้ำและโครงการระบายน้ำเข้ายึดครองภูเขาและที่ดินจำนวนไม่น้อยบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นอย่างกระจัดกระจายในพื้นที่เหล่านี้ โดยไม่ได้จัดเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่ คนงานแม่น้ำและแรงงานบางส่วนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้เส้นทางแม่น้ำที่พวกเขาครอบครองกระจัดกระจายไปในทุกทิศ เมื่ออาจารย์หยูทำเครื่องหมายและเชื่อมจุดบนแผนที่ พบว่าพื้นที่เหล่านี้โอบล้อมพระราชวังหลวงไว้เหมือนตาข่ายที่กางปิดหากพวกเขาเป็นทหารลับของนกต่อ การเฝ้าประตูเมืองจะไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ในเมืองหลวงมาตลอด และเมื่อไม่มีงานทำ พวกเขาก็สำรวจภูมิประเทศจนคุ้นเคย แม้แต่ค่ายลาดตระเวนหรือทหารรักษาการณ์อาจยังไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหลวงดีเท่าพวกเขาซ่งซีซีมองดูแผนที่ด้วยความตระหนก แต่ก็ยังตั้งคำถามว่า "พวกเขาได้รับที่ดินเหล่านี้ ต้องได้รับการอนุมัติจากกรมโยธาธิการและฝ่าบาทใช่หรือไม่?""ถูกต้อง แต่ถ้าใช้เพื่อการซ่อมแซมแม่น้ำและระบายน้ำ ก
กล่องผ้าไหมสีแดงเข้มชิ้นนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ว่านกงกงเป่าฝุ่นออกก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วเปิดกลไกอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาเขาส่งสัญญาณให้มอบหยกชิ้นนั้นแก่เสนาบดีมู่เสนาบดีมู่รับมาด้วยความสงสัย เมื่อมองดู เห็นว่าหยกทรงวงแหวนชิ้นนี้แกะสลักลวดลายมังกร ชัดเจนว่าเป็นของจักรพรรดิ์องค์ก่อน"ท่านเสนาบดีลองดูด้านหลัง" ว่านกงกงกล่าวเมื่อเสนาบดีมู่พลิกดูด้านหลัง เขาถึงกับตะลึงจนเหมือนร่างแข็งทื่อด้านหลังยังคงมีลวดลายมังกร แต่ลวดลายนี้ห่อหุ้มใบเมเปิลหนึ่งใบ และข้างใบเมเปิลนั้นยังมีอักษร "สือ" เล็กๆ แกะสลักไว้ใบเมเปิลและตัวอักษรแบ่งพื้นที่คนละด้าน ใบหนึ่งใหญ่ ใบหนึ่งเล็กซ่งซีซีก็เห็นเช่นกัน แต่ไม่เข้าใจความหมายเสนาบดีมู่ถอนหายใจและอธิบายเบาๆ "สือจิ้ง เป็นนามอักษรของจักรพรรดิ์องค์ก่อน ส่วนชิวเหมิงเคยเดินทางในยุทธภพช่วงหนึ่ง และได้รับสมญานามว่า 'คุณชายเหล็กแห่งใบเมเปิล'""หยกชิ้นนี้จักรพรรดิ์องค์ก่อนประทานให้แม่ทัพชิว ด้านหลังเดิมมีเพียงลวดลายมังกร แต่ใบเมเปิลและอักษร 'สือ' นั้น แม่ทัพชิวแกะสลักเพิ่มเอง หยกนี้เขาพกติดตัวตลอด ใส่ไว้ในถุงผ้าไหม แต่ไม่รู้อย่างไรถูกจักรพรรดิ
อย่างไรเสีย หัวข้อสนทนานี้เป็นเรื่องที่พูดยาก เสนาบดีมู่จึงดื่มชาสองสามอึกก่อนจะกล่าวว่า "ความจริงเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ในตอนนั้นมีการประกาศว่าชิวเหมิงกระทำการหมิ่นพระเกียรติ จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงกริ้วและปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะพระราชทานยศเจวี๋ยให้แทน มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ หลุดออกมาจากในวังว่าเขาและอาจารย์ฉีมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือบางอย่าง เมื่อจักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงทราบ ก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ ด้วยความโกรธจึงตรัสคำดูหมิ่นเขาอย่างรุนแรง รวมถึงการลดตำแหน่ง ทำให้ชิวเหมิงรู้สึกหมดกำลังใจจนตัดสินใจออกจากเมืองหลวงไป"สำหรับเหตุผลนี้ ซ่งซีซีเคยคาดเดาไว้บ้าง แต่คิดว่าในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดราชวงศ์ ไม่น่าจะกล้าแสดงความคิดหรือความรู้สึกเช่นนั้นออกมา อีกทั้งนางก็รู้จักอุปนิสัยของจักรพรรดิ์องค์ก่อนดี จึงยิ่งไม่น่าจะไม่ระมัดระวังตัวและหากการลดตำแหน่งเกิดจากเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่แต่จากที่ได้ฟัง บางทีชิวเหมิงอาจมองจักรพรรดิ์องค์ก่อนเป็นเพื่อนจริงๆ จึงไม่ได้ปิดบังตัวเองมากนัก หรืออาจเพราะเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทำให้จักรพรรดิ์องค์ก่อนทรงไม
อาจารย์ฉีมอบหมายให้ซ่งซีซีตามหาบุคคลหนึ่งชื่อชิวเหมิงบรรพบุรุษของตระกูลชิวเคยร่วมรบสร้างแคว้นกับจักรพรรดิ์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางตลอดกาลในฐานติ้งปังโหว แต่ต่อมาชิวเหมิงกลับล่วงเกินจักรพรรดิ์องค์ก่อน และถูกลดตำแหน่งลงเป็นผิงอันป๋อเขาจึงย้ายออกจากเมืองหลวงไปปลีกวิเวกที่แถบเจียงหนาน และดูเหมือนว่าคนในเมืองหลวงที่จำเขาได้คงเหลือน้อยเต็มที"เขาไม่เคยแต่งงานเลยตลอดชีวิต และห้างชิวเจียก็เป็นของเขา"ซ่งซีซีประหลาดใจ "เขาคือเจ้าของเบื้องหลังของห้างชิวเจียอย่างนั้นหรือ?"ห้างชิวเจียในแถบเจียงหนานถือเป็นกิจการใหญ่โต แม้ทรัพย์สินจะไม่เทียบเท่าตระกูลเสิ่น แต่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและมีเครือข่ายความสัมพันธ์กว้างขวางในแคว้นซางมีคนแซ่ชิวอยู่ไม่น้อย ประกอบกับชิวเหมิงที่ซ่อนตัวและไม่พบปะใครเลย ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเป็นเจ้าของห้างชิวเจียแต่ห้างชิวเจียมีอายุเกินร้อยปี เป็นป้ายเก่าแก่ ก่อนที่ชิวเหมิงจะออกจากเมืองหลวง ก็ไม่เคยมีข่าวว่าครอบครัวเขาทำธุรกิจหงเซียวรีบอธิบาย "เดิมทีห้างชิวเจียไม่ได้เป็นของชิวเหมิง แต่ภายหลังเมื่อเขาไปถึงเจียงหนาน ห้างชิวเจียประส
ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับจินชางหมิงถูกส่งมาถึงมืออาจารย์หยูจินชางหมิง เป็นชาวเยี่ยนโจว อายุ 47 ปี สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉตอนอายุ 13 ปี และจวี่เหรินตอนอายุ 18 ปี ในตอนนั้นเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะในเยี่ยนโจวแต่หลังสอบจวี่เหรินได้ เขาถูกชะลอไม่ให้เดินทางไปสอบในเมืองหลวงเพราะมารดาป่วย เขาจึงหางานทำในสำนักอำเภอที่เยี่ยนโจว และได้ตำแหน่งเลขานุการเส้นทางการเลื่อนตำแหน่งของเขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งเยี่ยนโจวและกรมโยธาธิการต่างให้คะแนนว่าเขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์และลงมือทำจริงในการประเมินผลสามปีครั้งของกรมการปกครอง เขาได้คะแนนดีเยี่ยมว่ากันว่าการเป็นหัวหน้ากรมแม่น้ำเพียงอย่างเดียวเป็นการฝังพรสวรรค์ของเขา บ้างก็ว่าเขาไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดี มิฉะนั้นเขาคงได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นรองเสนาบดีกรมโยธาธิการแล้วแคว้นต้าซางมีข้าราชการแบบเขาอยู่มากมาย ตำแหน่งไม่สูงนัก แต่ทำงานทุกอย่างราบรื่น ไม่มีความทะเยอทะยานมาก และทำงานเงียบๆ อย่างมีประสิทธิภาพเขาไม่ได้โดดเด่น ไม่มีเรื่องให้พูดถึง มีภรรยาหลวงหนึ่งคน ภรรยาน้อยหนึ่งคน ลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน และคนรับใช้สามคน บ้านที่เขาอยู่เดิมเป็นบ้านเช่า เพิ