“จะไปไหนกันเหรอ?”ในระหว่างทางที่ฟาร์ริกซ์เดินควงแขนกับผู้หญิงคนอื่นออกไปจากบ้าน ก็มีใครบางคนถามขึ้นมาด้วยความสงสัย“สวัสดีครับ ผมจะออกไปธุระครับ” ฟาร์ริกซ์ยกมือขึ้นไหว้ก่อนที่จะตอบคำถาม“สวัสดีค่ะ” เกรซที่เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่จึงยกมือขึ้นไหว้ตามฟาร์ริกซ์“ธุระเหรอ?” นิดาเลิกคิ้วพร้อมกับย้ำคำตอบของลูกเขยที่ยืนควงแขนกับผู้หญิงคนอื่น โดยที่นิดาไม่ได้สนใจคำทักทายจากผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด“ครับ คุณน้ามาทำอะไรเหรอครับ?”ฟาร์ริกซ์พยักหน้าตอบ ก่อนจะถามอีกฝ่ายไปตามมารยาท เพราะตั้งแต่แต่งงานกับโรสรินเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าแม่เลี้ยงของภรรยาอีกเลย“ก็มาดูหลานน่ะสิ” นิดารีบเอาหลานมาอ้าง เพื่อให้ตัวเองเป็นแม่เลี้ยงใจดีทันที“เชิญในบ้านเลยครับ โรสกับลูกอยู่ในห้องรับแขกพอดี ผมขอตัวก่อน”ฟาร์ริกซ์ทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดี ก่อนจะขอตัวและเดินออกไป โดยที่ไม่ได้สนใจและให้ความสำคัญกับแม่เลี้ยงของภรรยาส่วนเกรซก็เดินควงแขนฟาร์ริกซ์ออกจากบ้านไปโดยที่ไม่ได้มีความรู้สึกผิดใดๆ ถึงสถานะทุกอย่างในตอนนี้จะไม่เหมือนเดิมแต่เธอก็พร้อมที่จะอยู่ข้างอดีตคนรักเสมอ เธอก็ได้แต่หวังว่าสักวันสถานะของเธอกับเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
โรสรินเฝ้ารอการกลับมาของสามีตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าจนดึก หลังจากที่เธอคิดทบทวนในสิ่งที่แม่เลี้ยงบอก เธอก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งเธอก็คิดได้ว่าคงจะถึงเวลาที่ตัวเองจะต้องทำและเปลี่ยนบางอย่างเพื่อสามีแบบจริงจังสักทีเมื่อคิดได้โรสรินก็ไม่รอช้าวันนี้เธอตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อเอาใจสามี เพราะเธอเชื่อว่าทุกอย่างไม่มีคำว่าสายเกินไปและทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ“พี่นิดคะ โรสฝากดูน้องเฟิร์สด้วยนะคะ”“คุณโรสจะไปไหนคะ” นิดหน่อยถามเจ้านายด้วยความสงสัย เมื่อถึงเวลาที่จะนอนกันแล้ว“โรสจะไปรอพี่ฟาร์ค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างตรงไปตรงมา“รอ… รอที่ไหนคะ?” นิดหน่อยยังคงถามต่อด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว“ข้างล่างค่ะเผื่อพี่ฟาร์กลับมาจะได้เห็นโรส” โรสรินตอบด้วยความภูมิใจ เธออยากจะให้สามีกลับมาบ้านแล้วเห็นเธอเป็นคนแรก“ค่ะ”นิดหน่อยอยากจะห้ามแต่ก็กลัวว่าโรสรินจะเสียใจ เพราะเธอคิดว่ายังไงวันนี้เจ้านายก็คงไม่กลับมา แต่ถึงจะกลับก็คงจะตอนเช้าหรือไม่ก็คงจะเป็นตอนเลิกงานอีกตามเคยเมื่อแม่บ้านรับปากว่าจะดูลูกสาวให้ โรสรินก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าห้องนอนตัวเองเพื่อที่จะไปอาบน้ำแต่งตัวไปนั่งร
วันต่อมาโรสรินทำใจแล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ปล่อยให้เกิดไปเลย เธอจะไม่เก็บเรื่องราวร้ายๆ มาใส่ใจ เธอจะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ ซึ่งหน้าที่ที่เธอจะทำก็คือหน้าที่แม่ ส่วนเรื่องอื่นเธอจะไม่เก็บมาคิดให้ปวดใจ เธอไม่สามารถห้ามความคิดใครได้และเธอก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจใครได้เช่นกันถึงแม้เธอจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่น แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เธอเห็นแล้วว่าเธอไม่สามารถเปลี่ยนใจใครได้อยู่ดี ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหนถ้าเขาไม่เห็นค่ามันก็ไร้ค่าอยู่ดี ต่อไปนี้เธอก็แค่อยู่เงียบๆ ก้มหน้าก้มตายอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปให้ได้ เธอจะเข้มแข็งและผ่านทุกอย่างไปให้ได้ด้วยตัวเธอเองตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนโรสรินก็ได้ย้ายไปนอนห้องลูกสาวแบบถาวร เธอจะไม่พูดไม่บอกอะไร เธอจะรอเวลาให้ฟาร์ริกซ์เป็นคนคิดได้เอง แต่ถ้าเขาคิดอะไรไม่ได้และสุดท้ายหากต้องแยกทางกันจริงๆ เธอก็ต้องเข้มแข็งและยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ได้“คุณโรสจะไปไหนคะ?” นิดหน่อยที่เห็นเจ้านายจะเดินออกจากห้องจึงรีบเอ่ยถาม“โรสจะลงไปทานข้าวค่ะ พี่นิดอยู่กับน้องเฟิร์สก่อนนะคะ” ตอนนี้ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงและโรสรินก็รู้สึกหิวขึ้นมา เพราะเมื่อเช้
หนึ่งเดือนต่อมาโรสรินอดทนอดกลั้นมาตลอดเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ซึ่งก็ทำให้เธอได้รู้แล้วว่าสิ่งที่เธอทำอยู่มันไม่ได้มีผลอะไรเลย เมื่อทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เรียกได้ว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมจริงๆถึงฟาร์ริกซ์จะทำตัวดีขึ้นไม่ออกจากบ้านไปไหน แต่ผู้หญิงอีกคนก็ยังมาหาถึงบ้าน มาทานข้าวที่บ้านด้วยกันทุกวัน โดยที่เขาไม่เคยปฏิเสธผู้หญิงคนนั้นเลยสักครั้ง ทำให้โรสรินต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องกลับลูกสาว เพราะเธอไม่อยากมาเห็นภาพที่เจ็บปวดใจโรสรินเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงอีกคนมาบ้าน มันเป็นภาพที่เธอไม่อยากจะเห็นเธอจึงเลี่ยงด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง“เมื่อไหร่ทุกอย่างจะดีขึ้น” หญิงสาวเฝ้าถามตัวเองซ้ำๆ กับคำถามเดิมๆ ซึ่งเธอก็ยังไม่มีคำตอบให้กับตัวเองได้เลยสักครั้ง“แม่อยากจะพาน้องเฟิร์สหนีไปให้ไกลๆ แต่ทำไมแม่ถึงทำไม่ได้”โรสรินคุยกับลูกสาวทั้งน้ำตา เธออยากจะพาลูกสาวหนีไปให้ไกลจากคนใจร้ายที่ไม่เคยเห็นค่าเธอเลย แต่เธอก็ทำไม่ได้เพราะเธอมีเงินไม่มากพอ หากเธอดื้อพาลูกหนีไปก็จะทำให้ไปไม่รอด สุดท้ายเธอก็ต้องหอบลูกกลับมาบ้านเขาอยู่ดี เธอก็แค่ผู้หญิงจนๆ ที่ไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนักถ้าถามว่าเธอยังรัก
หลายวันต่อมาโรสรินใช้เวลาทำใจอยู่หลายวัน แต่สำหรับหัวอกคนเป็นแม่ไม่มีวันไหนที่เธอจะทำใจได้และไม่มีวันไหนที่เธอจะไม่ร้องสักวันหัวใจของคนเป็นแม่แทบแตกสลายเมื่อจะต้องห่างลูกน้อยที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจ ตั้งแต่โรสรินคลอดลูกเธอก็เลี้ยงลูกด้วยความรักและเธอก็ไม่เคยห่างจากลูกเลยสักวัน แต่พอวันนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมและเป็นเธอที่ต้องเป็นฝ่ายเดินออกไปถึงแม้เธอจะไม่เต็มใจเลยก็ตาม ถ้าหากการที่เธออยู่ที่บ้านหลังนี้ต่อไปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น เธอก็ไม่สมควรที่จะต้องอยู่บ้านหลังนี้อีกต่อไปถึงแม้ว่าเธอจะไม่อยากห่างลูกแต่โชคชะตาก็ไม่เข้าข้างเธอเลย นอกจากเธอจะต้องเข้มแข็งแล้วเธอยังต้องอดทนให้มากที่สุด เพราะถ้าเธอเดินออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้ว เธอจะไม่มีวันซมซานกลับมาที่นี่อีก แต่เธอจะกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกครั้งในวันที่ชีวิตเธอดีขึ้น วันที่เธอพร้อมเธอจะกลับมารับน้องเฟิร์สไปอยู่ด้วย“เข้มแข็งสิโรส” ร่างบางบอกตัวเองให้เข้มแข็ง เธอจะต้องผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดและทรมานแค่ไหนก็ตามหญิงสาวเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เป็นอย่างดี หากถึงวันที่เธอจะต้องไปจริงๆ เธอจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เธอไม่รู้เลยว่า
ตึกตัก! ตึกตัก!เสียงหัวใจดวงน้อยเต้นระรัวท่ามกลางความมืดที่เงียบสงบ ช่วงเวลานี้เป็นเวลานอนของใครหลายๆ คน แต่ไม่ใช่สำหรับโรสรินร่างบางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นว่าแม่บ้านนอนหลับแล้ว สายตานิ่งเรียบมองซ้ายมองขวาสำรวจภายในห้องด้วยความตื่นเต้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่ เป็นความรู้สึกที่หลากหลายไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะต้องรู้สึกยังไงก่อนดี เพราะทุกอย่างมันสับสนไปหมดถึงจะเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดี แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็อดที่จะร้องไห้ไม่ได้อยู่ดี พอถึงเวลาที่จะต้องออกจากบ้านน้ำตาก็ไหลออกมาอาบสองแก้มเนียนทั้งสองข้าง ถึงจะร้องไห้และเสียใจมากแค่ไหน โรสรินก็ไม่อาจปล่อยเสียงร้องไห้และเสียงสะอื้นออกมาให้ใครได้ยินหญิงสาวนั่งร้องไห้ท่ามกลางความเงียบสงบ มองลูกน้อยที่กำลังนอนหลับอยู่ เธออยากจะอุ้มลูกขึ้นมากอดแน่นๆ แต่เธอก็ทำไม่ได้ โดยที่เธอทำได้แค่เพียงนั่งมองและบอกลาลูกสาวผ่านทางสายตาฮึก!มือบางยกขึ้นมาป้องปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา เพราะอาจจะทำให้แม่บ้านตื่นขึ้นมาเห็นเธอในตอนนี้“แม่ไปก่อนนะลูก” โรสรินกระซิบบอกลูกสาวที่กำลังนอนหลับอยู่เสียงเบา ริมฝีปากเล็กจูบลงที่แก้
เช้าวันต่อมาภายในบ้านหลังมีแต่ความวุ่นวายเมื่อเจ้านายยังไม่มีใครกลับมาบ้านเลยสักคน ทำเอาแม่บ้านต้องช่วยกันแก้สถานการณ์ตอนนี้ให้ดีที่สุดไปก่อน“โทรติดหรือเปล่า” เสียงป้าบัวหันไปถามนิดหน่อยที่กำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์“ไม่ติดเลยป้า” นิดหน่อยแทบกุมขมับเมื่อตื่นมาไม่เห็นเจ้านาย หลังจากที่ช่วยกันตามหาในบ้านกันทั้งหมดแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ“โทรหาคุณหนูเฟย์สิ” เมื่อโทรหาโรสรินไม่ติด ป้าบัวจึงรีบเปลี่ยนเป้าหมายในการโทรและเห็นว่าคุณหนูเฟญ่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะช่วยทุกคนได้ในตอนนี้“ไม่ใช่คุณหนูสอบอยู่เหรอป้า” นิดหน่อยไม่กล้าพอที่จะโทรเพราะกลัวเจ้านายจะด่าที่โทรไปรบกวนในตอนเช้า“คุณหนูสอบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” ป้าบัวรู้เรื่องของคุณหนูเฟญ่าทุกอย่าง“ป้าแน่ใจเหรอ?” นิดหน่อยยังคงถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ“หรือจะโทรหาคุณฟาร์” ป้าบัวรีบเสนอชื่อเจ้านายอีกคนขึ้นมา เพราะรู้ดีว่านิดหน่อยไม่กล้าโทรไปอย่างแน่นอน“โทรหาคุณหนูเฟย์ดีกว่า” นิดหน่อยรีบกดโทรหาคุณหนูของบ้านทันที“รีบๆ โทร คุณหนูเฟิร์สร้องไม่หยุดเลย” ป้าบัวไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง ทั้งๆ ที่ทำมาสารพัดวิธีคุณหนูเฟิร์สก็ยังไม่หยุดร้อ
วันต่อมาฟาร์ริกซ์อยู่บ้านไม่ออกไปไหนตลอดหนึ่งวันเต็มๆ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของภรรยาว่าจะกลับมาบ้านเลย คนที่เคยรักสนุกไม่อยากอยู่บ้านแต่ตอนนี้กลับมานั่งรอภรรยาอย่างไร้จุดหมายถึงแม้ว่าวันนี้จะมีงานด่วนที่บริษัทแต่ฟาร์ริกซ์ก็เลือกที่จะอยู่บ้าน ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าลูกกับภรรยา ไม่ว่าจะงานด่วนแค่ไหนก็ต้องรอไปก่อน เพราะเขาเหมือนคนไม่มีสติ จิตใจล่องลอยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อไป“ป้าว่าเราไปแจ้งความกันดีไหมคะ”ป้าบัวใจคอไม่ดี รู้สึกเหมือนกับว่าโรสรินจะไม่กลับมาที่บ้านอีกจึงบอกเจ้านายให้ไปแจ้งความเอาไว้ก่อน เพราะถึงยังไงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อโรสรินได้เลยสักคน“รอดูอีกสักวันดีกว่าครับ” ฟาร์ริกซ์ยังคงรออย่างมีความหวัง หวังว่าภรรยาจะกลับมาบ้านในเร็วๆ นี้“ตอนป้าเห็น… คุณโรสถือกระเป๋าใบใหญ่มากเลยนะคะ” ป้าบัวยังคงจำภาพวันนั้นได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของโรสรินก็ดูเศร้า ตาก็บวมช้ำเหมือนกับคนที่ร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง“ไม่ใช่จะขนเอาของในบ้านไปขายเหรอครับ” เมื่อได้ยินฟาร์ริกซ์ก็อดที่จะคิดแบบนี้ไม่ได้“ป้าว่าไม่ใช่หรอกค่ะ คุณโรสไม่ใช่คนแบบนั้น” ป้าบัวรีบปฏิเสธ“ผมว่าโรสไม่ได้หนีไปหรอก” ฟาร์ริกซ์ยัง
ตอนเย็นของวันหลังจากที่พาลูกๆ เที่ยวสวนสัตว์ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย เด็กๆ ก็เริ่มที่จะหมดแรงกันแล้ว เนื่องจากใช้พลังงานกันไปเยอะ ทั้งพูดคุยกันไม่หยุดแถมยังชวนกันวิ่งไปดูสัตว์โดยที่ไม่กลัวอะไรกันเลยสักนิด“สนุกกันไหมครับ?”ฟาร์ริกซ์ถามลูกๆ พร้อมรอยยิ้มเมื่อเห็นเด็กๆ มีความสุขและสนุกสนานเป็นพิเศษถึงแม้อากาศจะร้อนแค่ไหน แต่ก็สู้แดดกันทั้งวันไม่บ่นว่าเหนื่อยเลยสักคำ“กลับบ้านกันค่ะ” โรสรินที่เห็นลูกๆ หมดแรงจึงชวนกลับบ้านทันที เพราะถ้าขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังคงจะกลับถึงบ้านมืดค่ำกันพอดี“ครับ / ค่ะ” เด็กๆ ตอบรับพร้อมกันอย่างว่าง่ายสงสัยคงจะหมดแรงกันแล้วจริงๆโรสรินพาลูกๆ ขึ้นรถและนั่งประจำที่ของตัวเอง เพื่อที่จะพาลูกๆ กลับบ้าน ซึ่งน่าจะถึงบ้านตอนเย็นพอดีฟาร์ริกซ์ทำหน้าที่ขับรถเช่นเคยพอขับรถออกจากสวนสัตว์มาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เด็กๆ ก็นอนหลับกันตามระเบียบกว่าจะมาถึงบ้านก็เกือบจะสองทุ่ม เพราะช่วงเย็นรถติดมากทำให้ใช้เวลานานกว่าปกติ เมื่อถึงบ้านเด็กๆ ก็ตื่นนอน แถมยังรีบไปคุยให้ทุกคนในบ้านฟังว่าที่สวนสัตว์มีตัวอะไรบ้าง“ไปทานข้าวกันครับ” เมื่อขึ้นมาบนบ้านฟาร์ริกซ์ก็รีบถามขึ้นมาก่อนที่โรสรินจะเข้าห้
เช้าวันต่อมาวันนี้เป็นอีกวันที่น้องเฟิร์สกับน้องไฟท์ตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวที่จะไปเที่ยว เรียกได้ว่าเด็กๆ ดีใจและตื่นเต้นจนแทบจะนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนถึงแม้ว่าการไปเที่ยวสวนสัตว์วันนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกของน้องเฟิร์ส แต่น้องเฟิร์สก็ตื่นเต้นมากกว่าทุกครั้ง เพราะวันนี้จะมีน้องชายไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วยกัน แถมยังมีคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยกันอีกส่วนน้องไฟท์ก็ตื่นเต้นไม่น้อยเพราะเป็นการไปเที่ยวสวนสัตว์ครั้งแรกในชีวิต แถมพี่สาวก็คอยเล่าให้ฟังอยู่ตลอดพอวันนี้จะได้ไปเที่ยวสวนสัตว์จริงๆ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก“ทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่ลงมาอีกนะ” น้องเฟิร์สพูดขึ้นหลังจากที่มานั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกได้ไม่นาน“สงสัยคุณแม่จะยังแต่งตัวไม่เสร็จแน่เลยครับ” น้องไฟท์รีบพูดขึ้นมาอีกเสียง“นั่งรออะไรกันอยู่ครับ?” ฟาร์ริกซ์เดินลงมาเห็นลูกๆ นั่งพูดคุยกันอยู่จึงเอ่ยถาม“นั่งรอคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ค่ะ” ลูกสาวคนสวยตอบคุณพ่อ“แล้วคุณแม่อยู่ไหนครับ?” น้องไฟท์รีบถามถึงคุณแม่ทันทีเมื่อไม่เห็นแม่ลงมาพร้อมกับคุณพ่อ“คุณแม่กำลังจะลงมาครับ” ฟาร์ริกซ์ตอบลูกชายพร้อมรอยยิ้ม“งั้นเราไปรอคุณแม่ที่รถดีไหมครับ” น้อ
ห้าเดือนต่อมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโรสรินใช้ชีวิตเป็นอย่างดีและมีความสุข นอกจากชีวิตของเธอจะมีลูกๆ ที่น่ารักแล้วเธอยังมีสามีที่รักและเอาใจใส่เธอมากเป็นพิเศษอีกด้วยไม่ว่าเธอจะไปไหนจะทำอะไรก็จะมีฟาร์ริกซ์คอยช่วยเหลือเธออยู่ตลอด เขาทำทุกอย่างได้ตามที่พูดเอาไว้ทุกอย่าง ซึ่งก็ทำให้เธอเห็นแล้วว่าเขาเป็นคนดีขึ้นมากแล้วจริงๆส่วนเรื่องผู้หญิงไม่ว่าจะเป็นคนเก่าหรือคนใหม่ก็ไม่มีเรื่องนี้เข้ามาให้โรสรินได้ปวดหัวหรือปวดใจอีก ซึ่งตอนแรกเธอก็สงสัยในความสัมพันธ์ของฟาร์ริกซ์กับอิงรักที่เป็นพี่เลี้ยงของน้องเฟิร์สแต่เธอก็เกิดความสงสัยไม่นานเธอก็ได้รู้ความจริงในทันทีว่าระหว่างฟาร์ริกซ์กับอิงรักเป็นเพียงแค่เจ้านายกับลูกจ้างกันเท่านั้น ทั้งสองไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างเลยสักนิดซึ่งโรสรินก็คิดว่าอีกไม่นานอิงรักคงจะได้เปลี่ยนสถานะจากพี่เลี้ยงมาเป็นคุณป้าของเด็กๆ แทน เพราะดูๆ แล้วฟินนิคซ์จะมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับอิงรัก ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ทุกคนในบ้านก็คิดว่าเป็นเรื่องดีและทั้งสองคนก็ดูเหมาะสมกันมาก“ทำอะไรอยู่ครับ?” ฟาร์ริกซ์เดินเข้าไปสวมกอดภรรยาที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานด้วยใจ
หนึ่งเดือนต่อมาระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนที่น้องเฟิร์สกับน้องไฟท์ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ทำให้เด็กทั้งสองคนรู้จักและสนิทกันมากขึ้นได้ภายในระยะเวลาไม่นานน้องเฟิร์สก็เป็นพี่สาวที่แสนดีคอยแบ่งของเล่นให้น้องชายถึงแม้ว่าของเล่นจะมีแต่ของเล่นผู้หญิงก็ตาม ส่วนน้องไฟท์ก็เป็นน้องที่น่ารักคอยเล่นกับพี่สาวได้ทุกอย่าง ไม่ว่าพี่สาวจะชวนเล่นอะไรน้องชายก็จะเล่นด้วยทุกอย่าง เพราะแบบนี้จึงทำให้ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องรักใคร่กันและอยู่ด้วยกันแบบมีความสุขมากขึ้นโรสรินก็มีความสุขมากขึ้นที่ได้เห็นลูกสาวและลูกชายอยู่ด้วยกันในทุกวัน แต่อีกไม่นานบ้านหลังใหญ่ก็คงจะเงียบมากขึ้นเพราะเด็กๆ ทั้งสองจะต้องไปโรงเรียนกันแล้วโดยที่ฟาร์ริกซ์จัดการเรื่องสมัครเรียนให้ลูกๆ ที่โรงเรียนเอกชนชื่อดังที่อยู่ใกล้บ้าน ส่วนค่าเทอมก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะคุณพ่อเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับลูกๆ อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าโรสรินจะไม่เห็นด้วยแต่เธอก็ต้องยอมเพื่อชีวิตที่ดีของลูก หากลูกๆ ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เธอก็เชื่อว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของลูกๆ ดีขึ้นไปด้วย“คุณพ่อกับคุณแม่จะไปทำงานแล้วเหรอคะ?” น้องเฟิร์สถามขึ้นมาก่อนใครเมื่อเห็นคุณพ่อกั
หลังจากที่น้องไฟท์เล่นบ้านบอลเสร็จโรสรินก็พาลูกชายกลับห้องพักทันที ในใจก็ว้าวุ่นคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับชีวิต แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีทางให้เลือกเยอะสักเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วคนเป็นแม่ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานถึงสามปีแต่ความรู้สึกเจ็บปวดในใจของโรสรินก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจไม่มีวันจางหาย หลายครั้งที่เธอคิดว่าตัวเองจะกลับไปใช้ชีวิตในบ้านสามีอีกครั้ง เธอก็จะคิดถึงความเจ็บปวดที่เธอเคยรู้สึก หากครั้งนี้เธอจะต้องเจ็บปวดแบบเดิมอีกความรู้สึกของเธอก็ไม่ต่างอะไรจากการตายทั้งเป็นแต่สุดท้ายแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงโรสรินก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกอยู่ดี เพราะเธอจะไม่มีวันยอมให้ลูกของเธอทั้งสองคนอยู่คนละที่หรือต่างคนต่างอยู่เด็ดขาด ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องกันก็ต้องถูกเลี้ยงดูและเติบโตมาด้วยกันถึงจะถูก“เพื่อลูกท่องไว้สิโรส” หญิงสาวมองหน้าลูกชายและพูดกับตัวเองเสียงเบาเพื่อให้กำลังใจตัวเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทุกอย่างที่เธอทำก็เพื่อลูกทั้งนั้นยิ่งรอเวลาทุกอย่างก็จะยิ่งช้าและทำให้เธอเสียเวลาเปล่า เธอต้องตัดสินใจและสู้ให้ถึงที่สุด เธอเชื่อว่าทางเลือกนี้คงจะเป็นทางเ
หลังจากวันนั้นไม่นานโรสรินก็ได้เข้ามาทำงานอยู่ที่โรงแรมของภูมิพัฒน์ที่อยู่สาขาใกล้ๆ กับบ้านของน้องเฟิร์ส ซึ่งเธอก็ได้ไปหาน้องเฟิร์สที่บ้านอยู่บ้าง แต่น้องเฟิร์สก็ยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ กับเธออยู่บ้างในตอนที่น้องเฟิร์สได้เจอโรสรินครั้งแรกก็ทำเอาคนเป็นแม่แทบน้ำตาไหล แต่เธอก็ต้องอดทนและกลั้นเอาไว้ก่อนเพื่อที่จะไม่ให้น้องเฟิร์สเห็นน้ำตาของเธอ ถึงน้องเฟิร์สจะยังไม่คุ้นชินกับเธอแต่เธอก็จะหาเวลาไปหาน้องเฟิร์สที่บ้านอยู่บ่อยๆ เพราะเธอเชื่อว่าการเจอหน้าและการพูดคุยกันทุกวันจะทำให้น้องเฟิร์สสนิทกับเธอมากขึ้นอย่างแน่นอนซึ่งตอนนี้โรสรินก็ต้องใจเย็นและรอเวลาที่น้องเฟิร์สจะปรับตัวให้เข้ากับเธอและยอมรับว่าเธอเป็นแม่จริงๆ ให้ได้ก่อน“วันนี้คุณแม่ไม่ไปทำงานเหรอครับ?” เด็กชายวัยสองขวบเศษๆ เอ่ยถามคุณแม่“วันนี้วันหยุดครับ” โรสรินตอบลูกชายพร้อมรอยยิ้ม“น้องไฟท์อยากไปเที่ยวครับ”เด็กชายตัวน้อยรีบบอกความต้องการของตัวเองทันที ถ้าเป็นตอนที่อยู่ภูเก็ตวันหยุดคุณแม่จะชอบพาลูกชายไปนั่งเล่นที่ชายหาดและพาเล่นน้ำทะเล แต่ก็นานๆ คุณแม่ถึงจะมีวันหยุด“ไปเที่ยวเหรอครับ?” ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่โรสรินก็ลืมนึกถึงเรื่องนี
หลังจากที่โรสรินกลับมาอยู่ภูเก็ตเธอก็พยายามคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาเธอรู้สึกรักและผูกพันธ์กับคนที่นี่มาก พอจะได้ย้ายกลับไปอยู่กรุงเทพย้ายไปอยู่ใกล้ๆ ลูกสาว บางทีเธอก็รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกันหลายครั้งที่โรสรินออกไปข้างนอกแล้วเห็นครอบครัวอื่นเลี้ยงลูกให้อยู่ด้วยกัน พี่น้องได้ใช้ชีวิตและเติบโตมาด้วยกันมันทำให้โรสรินอดที่จะคิดถึงชีวิตของตัวเองไม่ได้ เธอมีลูกถึงสองคนนอกจากลูกจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วลูกทั้งสองก็ยังไม่รู้จักกันและยังไม่เคยเจอกันอีกด้วย หัวอกคนเป็นแม่ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าถ้าหากเธอยังอยู่ที่นี่ต่อไปลูกของเธอก็จะไม่ต่างอะไรจากเด็กทั่วๆ ไป ที่รู้จักกันแบบผ่านๆ ไม่ได้รู้จักและสนิทกันแบบพี่น้องคู่อื่นๆ ตอนนี้ลูกทั้งสองของเธอยังเด็ก เธอก็ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง ให้รู้จักและสนิทกันตอนนี้ก็ดีกว่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า“โรสจะย้ายไปจริงๆ เหรอ?” แพรไหมเดินเข้ามาถามเสียงเศร้าเพราะไม่คิดมาก่อนเลยว่าโรสรินจะย้ายไปทำงานที่อื่นแบบนี้“ค่ะ โรสอยากไปอยู่ใกล้ๆ น้องเฟิร์ส” โรสรินเองก็ตอบเสียงเศร้าไม่ต่างกัน เพราะเธอเองก็รักและผูกพันกับที่นี่ไม่ต่างจากแพรไหม“แล้วจะไปวันไหน
สามวันต่อมาโรสรินยืนอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ด้วยความตื่นเต้น ข้างกายมีชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนพี่ชายคอยอยู่ข้างๆ น้องสาว หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นไม่ต่างจากครั้งแรกที่เธอมาอยู่ที่นี่เลยสักนิด“ไปกันครับ” น้ำเสียงอบอุ่นบอกกับหญิงสาวหลังจากที่ปล่อยให้เธอตั้งสติอยู่สักพักก่อนจะเข้าไปภายในบ้าน“ค่ะ” โรสรินพยักหน้าตอบ เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีแล้วก้าวเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่คุ้นเคยร่างบางก้าวเดินเข้าไปด้วยความประหม่า เธอไม่ได้บอกใครในบ้านเอาไว้ว่าเธอจะมา แต่ทุกคนต่างนั่งอยู่ในบ้านกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาจนเธอทำตัวไม่ถูกเมื่อทุกสายตาต่างจ้องมองมาที่เธอโดยเฉพาะสายตาที่อบอุ่นของฟาร์ริกซ์ทำเอาเธอเผลอมองและหาความหมายของแววตาที่เขามองมา แต่เธอก็ดูไม่ออกเลยว่าสายตาคู่นี้กำลังรู้สึกยังไงกับการที่เธอกลับมาในครั้งนี้“พี่โรส”เป็นเสียงของเฟญ่าที่ทักทายขึ้นมาก่อนใคร แต่ครั้งนี้เป็นการทักทายที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้งเมื่อทุกคนเห็นว่าโรสรินมากับผู้ชายอีกคน ผู้ชายที่ดูดีตั้งแต่หน้าตารวมไปถึงฐานะซึ่งก็พอจะดูออกว่าเขาคงจะรวยมากแน่ๆ“สวัสดีครับ” ภูมิพัฒน์ทักทายทุกคนตามมารยาท“โรสมีเรื่องจะ
หลายวันต่อมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาโรสรินได้คิดไตร่ตรองทุกอย่างเป็นอย่างดี ถ้าหากเธอทำงานอยู่ที่นี่ต่อโอกาสที่เธอจะได้เจอน้องเฟิร์สก็ยิ่งมีน้อย เธอจึงคิดเรื่องการหางานใหม่ทำ จากประสบการณ์ที่เธอเคยทำงานมาก็พอที่จะเอาไปเขียนในใบสมัครงานที่ใหม่ได้บ้าง เพราะเธอก็มีประสบการณ์การทำงานมาหลายปีพอสมควรเมื่อมีโอกาสและมีทางเลือกโรสรินก็อยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เธอจึงคิดและตัดสินใจที่จะลาออกจากงานที่ภูเก็ต แล้วไปหางานใหม่ทำที่อยู่ในเมืองหลวง จะได้อยู่ใกล้ๆ น้องเฟิร์สด้วย อีกอย่างลูกชายคนเล็กอย่างน้องไฟท์ก็จะได้เข้าโรงเรียนแล้วเธอคงจะมีเวลาทำงานมากขึ้นโรสรินตัดสินใจยื่นใบลาออกไว้บนโต๊ะทำงานของภูมิพัฒน์ ถ้าหากจะบอกเขาไปตรงๆ เธอก็คงไม่กล้าพอที่จะบอกอย่างแน่นอน ซึ่งวิธีนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเธอ“จดหมายอะไร?” เจ้านายหนุ่มขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยและแปลกใจเมื่อมีซองจดหมายสีขาววางอยู่บนโต๊ะทำงาน ซึ่งดูเด่นชัดมากกว่าแฟ้มเอกสารอื่นๆ ที่วางอยู่“พี่พัฒน์ลองเปิดดูสิคะ” โรสรินก้มหน้าพูดเพราะเธอไม่รู้ว่าจะบอกเขายังไงชายหนุ่มหยิบเปิดซองจดหมายและอ่านข้อความที่อยู่ด้านในด้วยความตั้งใจอยู่สั