เมื่อกงฮุยอวี่พูดจบ นางก็หลับตาลงพักผ่อนอีกครั้งโดยไม่สนใจหลี่เฉินแต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นแอบมองเล็กน้อย และเห็นหลี่เฉินทำหน้าหม่นหมองอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างพึงพอใจ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้จะเบาบาง แต่ก็แสดงความลำพองได้ชัดเจน“องค์ชาย!”เสียงของวั่นเจียวเจียวที่ดังขึ้นอย่างจงใจ ทำลายความเงียบบนหลังคา“ถึงเวลาเสวยมื้อเช้าแล้วเพคะ เสร็จแล้วต้องเสด็จไปประชุมเช้าเพคะ”วั่นเจียวเจียวมองกงฮุยอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เฉินด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจนางคิดว่า (นางจิ้งจอกนี่ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!)(ผู้หญิงที่ไหนจะไม่หลงเสน่ห์องค์ชายกัน!)(หน้าไม่อาย!)“มาแล้ว”หลี่เฉินลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดแล้วปีนลงจากบันได“จริงสิ”หลี่เฉินที่อยู่กลางบรรไดเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับกงฮุยอวี่ “ส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักของเจ้าให้ไปฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหยินหยางที่ตงอิ๋งเสีย”กงฮุยอวี่ยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจรู้สึกว่าหลี่เฉินช่างไร้เดียงสา นางคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบคำสั่งขององค์รัชทายาทคำขอเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก“ไม่เช่นนั้น ราชสำ
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ
จักรวรรดิต้าฉิน ห้องบรรทมในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท“ฝ่าบาท หม่อมฉันมีไฝที่หน้าอก ท่านอยากดูไหม?”หลี่เฉินลืมตาโพลงขึ้นมา และหอบหายใจอย่างหนักราวกับปลาขาดน้ำ เขาจ้องมองเสาแกะสลักลายมังกรรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ การตกแต่งห้องแบบโบราณและวิจิตรตระการตา บวกกับมีสาวงามที่น่าทึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆวิญญาณของฉัน ทะลุมิติมาเหรอ!?“ฝ่าบาท ท่านทรงเป็นอะไรไป?”ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขาสวยกว่าดาราหญิงทุกคนในชาติก่อนของเขากำลังส่งเสียงเรียก ทำให้ความคิดของหลี่เฉินกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉับพลันความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของหลี่เฉิน ทำให้เขาเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดหลังหายใจเข้าอย่างหนัก หลี่เฉินก็เข้าใจขึ้นมาชาตินี้ เขาไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนที่ถือว่าทำงานหามรุ่งหามค่ำเป็นพรอีกต่อไป แต่เป็นรัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน ว่าที่ฮ่องเต้ ทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงคนเดียวในจักรวรรดิต้าฉินอันยิ่งใหญ่!ชาตินี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายจนๆ อีกต่อไป แต่เป็นผู้มีอำนาจและสถานะ ควบคุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าไว้ในมือ!“ฉัน...ข้าอยากเห็น แน่นอนอยากเห็นสิ”หลี่เฉิ
เฉินจื้อกัดฟันด้วยความโกรธ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง มือที่จับบนด้ามดาบเกร็งแน่นจนเส้นเอ็นปูด เผยให้เห็นถึงความโกรธสุดขีด“ไม่กล้า? ไม่กล้าก็ไสหัวไป! ถอยไปด้านหลังให้ข้าห้าก้าว ลงไปจากขั้นบันได ถ้ากล้าเหยียบขั้นบันไดขึ้นมาหนึ่งก้าว สังหารไร้ปรานี!”หลี่เฉินมองสีหน้าอึมครึมของเฉินจื้อ ที่ค่อยๆ ถอยหลังไปอย่างช้าๆ ด้วยความอับอาย เมื่อถอยลงจากขั้นบันไดขั้นสุดท้ายจึงหยุด หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะหันหัวเดินเข้าไปด้านในเมื่อจ้องมองไปที่แผ่นหลังของหลี่เฉิน ความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกของเฉินจื้อก็แทบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่ง“หลี่เฉิน เจ้ารอข้าก่อนเถอะ เมื่อแผนการของฮองเฮากับใต้เท้าราชเลขาธิการบรรลุผล ข้าจะทำให้เจ้าตายไร้ที่ฝัง!”เมื่อกลับเข้ามาด้านใน หลี่เฉินก็เห็นฮองเฮาจ้าวชิงหลานกำลังปลอบใจจ้าวหรุ่ยที่กำลังร้องไห้อยู่อ้อมแขนของนางอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจ้าวชิงหลานจะไม่เคยถูกแตะต้อง แต่เมื่อเห็นท่าทางของจ้าวหรุ่ยตอนนี้ และยังรอยเลือดบนแท่นบรรทมจึงพอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในฐานะผู้หญิงด้วยกัน นางย่อมเข้าใจหัวอกผู้หญิงด้วยกัน“องค์รัชทายาท ท่านบังอาจไปแล้วนะ!”เมื่อเห็นห
เสียงร้องแผ่วเบานี้กระตุ้นความตื่นตัวของเฉินจื้อที่อยู่ข้างนอกทันที“ฮองเฮาทรงเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ?”จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินที่มองนางด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ นางแอบกัดฟันด้วยความเกลียดชัง และนำความไม่พอใจทั้งหมดไประบายใส่เฉินจื้อ“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องถามมาก”เมื่อเฉินจื้อถูกตำหนิ เขาก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้นเมื่อไม่มีที่ระบายความโกรธ เขาจึงหันกลับมาด่าขันทีที่กำลังขับรถม้า “ขับรถม้าให้ดีๆ หน่อย หากทำให้ฮองเฮาตกใจอีกครั้ง ข้าจะแล่เนื้อเจ้าซะ!”ภายในเกี้ยวหงส์ ตู้นั้นสั่นเล็กน้อย ราวกับกรงสัตว์ก็ไม่ปาน ทำให้จ้าวชิงหลานนึกอยากจะหนีก็หนีไม่ได้จ้าวชิงหลานนั่งบนต้นขาของหลี่เฉิน ราวกับนั่งอยู่บนเข็มก็ไม่ปานนางคิดจะลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ทำตามความตั้งใจ หลี่เฉินก็จะดึงนางกลับมา และบังคับให้นั่งลงอย่างแน่วแน่“เจ้า เจ้าไม่กลัวข้าจะสังหารเจ้ารึ!?”เมื่อมองไปที่ปากแดงฟันขาวนั่น จ้าวชิงหลานก็แอบกัดฟันแน่น หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “ฮองเฮายอมแพ้หรือไม่?”ในขณะที่พูดก็ฉวยโอกาสที่จ้าวชิงหลานไม่ทันสังเกต ใช้มือใหญ่ของเขาคลำไปตามระหว่างเอวและหน้าท้อง ท้องน้อยที่แบนราบ เ
หัวใจของหลี่เฉินหนักอึ้ง เขารู้ว่า ฮ่องเต้กำลังทดสอบตัวเองผลงานของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ค่อยดีนัก จนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วินาทีสุดท้ายของฮ่องเต้ พระองค์ก็ยังไม่กล้าที่จะมอบภาระของประเทศไว้บนบ่าของเขาตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า การกระทำของเขานั้นจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขาในท้ายที่สุด“ความยากในการบริหารแผ่นดิน เกิดจากปัญหาภายในและภายนอก”หลี่เฉินผสมผสานความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม เข้ากับความรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการขึ้นและลงของราชวงศ์ที่เขาอ่านก่อนทะลุมิติมา จากนั้นก็กล่าวว่า “ปัญหาจากภายนอก มาจากพวกคนเถื่อน เฉวี่ยนหรง หนู่เจิน ซยงหนู นอกจากนี้ยังมีพิษร้ายที่เหลือรอดจากอดีตราชวงศ์หยวน ซึ่งต้องการทำลายต้าฉินของพวกเรา”“ปัญหาจากภายใน มาจากการแบ่งแยกของอ๋องศักดินา ซึ่งก็คือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องหรือโหว พวกเขามีอำนาจเก็บภาษีในดินแดนศักดินา และมีอำนาจทางการทหาร มันเป็นเพียงสถานที่นอกกฎหมาย เป็นเขตปกครองตนเอง นับว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ”“ยังมีเจ้าหน้าที่ทุจริตออกอาละวาดในท้องถิ่น พวกขุนนางใหญ่จัดตั้งกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาต่อสู้เพื่ออำนาจและ
หลี่เฉินยิ้มอย่างมีความสุขไม่มีใครในใต้หล้านี้ไม่กลัวอำนาจและวิธีการสังหารของหน่วยบูรพา มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะไม่กลัว เพราะอำนาจของพวกเขามาจากฮ่องเต้ และพวกเขา ก็ยังเป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดีที่สุดในเงื้อมมือของฮ่องเต้อีกด้วยในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพาที่เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างต้องการสังหาร เขาคงเป็นคนแรกที่เต็มใจเข้ามาพึ่งพาตัวเองกองกำลังนี้จะช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน“ดีมาก”หลี่เฉินโยนดาบในมือไปตรงหน้าขันทีซานเป่าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเคยมอบดาบให้กับเจ้า แต่ตอนนี้ดาบเล่มนั้นขึ้นสนิมไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ ข้าจะให้ดาบเล่มนี้แก่เจ้า เจ้าต้องการมันไหม?”ขันทีซานเป่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม แล้วหยิบดาบบนพื้นขึ้นมา จับมันไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “เมื่อฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่บ่าว ทรงเคยตรัสว่า ต่อไปนี้ บ่าวจะเป็นดาบในมือของพระองค์”เมื่อมองดูประตูวังสุทธาสวรรค์ที่ปิดอยู่ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้บนแท่นนอนที่ยืนหยัดหายใจอยู่ จะได้เตรียมการเอาไว้แล้ว“ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย องค์ชายเก้าเป็นบุตรคนสุดท้อง เมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาทรงขอเสด็จพ่อรับเลี้ยงดูองค์ชายเก้า และเชิญหัวหน้าสภาขุนนางมาสั่งสอนเป็นการส่วน
“อย่าอะไร?”จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสนจ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้นหลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโหคำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูดนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้นหลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเห
ในเช้าวันที่สดใส หลี่เฉินที่กำลังครุ่นคิดเรื่องพัฒนาปืนไฟ เดินทางไปยังพระที่นั่งไท่เหอ หลังจากเสวยมื้อเช้าแบบง่ายๆวันนี้คือวันประชุมเช้าซึ่งหลี่เฉินมีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่ต้องผ่านมติในที่ประชุม เพื่อออกเป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของราชสำนักหนึ่งในเรื่องสำคัญคือการมอบรางวัลและการเลื่อนตำแหน่งให้กับกองทัพผู้ชนะนอกจากจะเป็นการยกย่องเหล่าทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ยังเป็นโอกาสที่หลี่เฉินจะสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกองทัพ และขยายอิทธิพลของตำหนักบูรพาในแวดวงการทหารเมื่อแสงแรกของวันพาดผ่านเมฆหมอก สะท้อนแสงอันงดงามบนสะพานทองหน้าพระที่นั่งไท่เหอ เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทยอยเดินข้ามสะพานทองเข้าสู่ลานหน้าพระที่นั่งบนลานกว้างเหนือขั้นบันไดของพระที่นั่งไท่เหอ ที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ขันทีคนหนึ่งยืนถือแส้สำหรับประกาศความสงบในมือเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!...เสียงป่าวร้องของขันทีดังขึ้นอย่างหนักแน่น "เข้า…เฝ้า!"ขุนนางฝ่ายบุ๋นนำโดยจ้าวเสวียนจี และฝ่ายบู๊นำโดยซูเจิ้นถิงฝ่ายบุ๋นอยู่ทางซ้าย ฝ่ายบู๊อยู่ทางขวา ขุนนางนับสิบคนที่มีคุณสมบัติเข้าเฝ้าต่างเดินเรียงแถวเ
เมื่อกงฮุยอวี่พูดจบ นางก็หลับตาลงพักผ่อนอีกครั้งโดยไม่สนใจหลี่เฉินแต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ลืมตาขึ้นแอบมองเล็กน้อย และเห็นหลี่เฉินทำหน้าหม่นหมองอย่างหนักหน่วง ริมฝีปากของนางเผยรอยยิ้มเล็กๆ อย่างพึงพอใจ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้จะเบาบาง แต่ก็แสดงความลำพองได้ชัดเจน“องค์ชาย!”เสียงของวั่นเจียวเจียวที่ดังขึ้นอย่างจงใจ ทำลายความเงียบบนหลังคา“ถึงเวลาเสวยมื้อเช้าแล้วเพคะ เสร็จแล้วต้องเสด็จไปประชุมเช้าเพคะ”วั่นเจียวเจียวมองกงฮุยอวี่ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เฉินด้วยสายตาไม่พอใจ ในใจนางคิดว่า (นางจิ้งจอกนี่ เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ!)(ผู้หญิงที่ไหนจะไม่หลงเสน่ห์องค์ชายกัน!)(หน้าไม่อาย!)“มาแล้ว”หลี่เฉินลุกขึ้น ปัดฝุ่นออกจากชุดแล้วปีนลงจากบันได“จริงสิ”หลี่เฉินที่อยู่กลางบรรไดเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับกงฮุยอวี่ “ส่งข่าวไปบอกเจ้าสำนักของเจ้าให้ไปฆ่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหยินหยางที่ตงอิ๋งเสีย”กงฮุยอวี่ยังคงนิ่งเฉย แต่ในใจรู้สึกว่าหลี่เฉินช่างไร้เดียงสา นางคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้หมุนรอบคำสั่งขององค์รัชทายาทคำขอเช่นนี้ช่างไร้สาระนัก“ไม่เช่นนั้น ราชสำ
กงฮุยอวี่ยิ้มบางๆ ก่อนตอบเรียบๆ “การบรรลุถึงระดับเซียนบนดินนั้น พรสวรรค์สำคัญกว่าความพยายาม และที่สำคัญยิ่งกว่าพรสวรรค์ คือโชคชะตา การฝึกฝนเพียงลำพังไม่อาจพาให้เข้าสู่ระดับนี้ได้ หากสวรรค์ไม่มอบโอกาส หรือหากตนเองไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะฝึกหนักเพียงใดก็ไม่มีทางไปถึง และเจ้าสำนักรุ่นปัจจุบันของสำนักบัวขาว ก็คือผู้ที่บรรลุถึงระดับเซียนบนดิน”“ในระดับนี้ เขาสามารถอยู่ในสภาพที่คมดาบและหอกธรรมดาทำอะไรไม่ได้ ใช้ดอกไม้หรือใบไม้เป็นอาวุธสังหารได้ทุกชนิด เพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากพลังลมปราณออกมาก็สามารถสังหารผู้อื่นได้”คำอธิบายของกงฮุยอวี่ทำให้หลี่เฉินรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ยิ่งใหญ่ในทันที เขาชี้ไปที่เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนคุ้มกันอยู่โดยรอบก่อนถาม “ถ้าหากเจ้าสำนักของเจ้ามาที่นี่ เหล่าองครักษ์เหล่านี้จะสามารถต้านทานเขาได้กี่คน?”กงฮุยอวี่ดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินคิดอะไร นางตอบเสียงเรียบว่า “หากเป็นเพียงนักยุทธ์ธรรมดา ต่อให้มาหลายร้อยก็เป็นเพียงการมอบชีวิต แต่หากเป็นกองทัพที่มีการฝึกอย่างดีและครบเครื่อง ทั้งกำลังพลและอาวุธ เพียงไม่กี่พันก็สามารถทำให้เซียนบนดินต้องจบชีวิตได้”เมื่อไ
เป็นที่พิสูจน์ว่า หากต้องการยั่วโทสะหญิงสาว เพียงแค่เรียกนางด้วยชื่อที่ไม่น่าฟังเท่านั้นก็เพียงพอแม้ว่ากงฮุยอวี่จะเป็นคนเยือกเย็นปานใด แต่นางก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่เซียนที่ลอยอยู่เหนือวิถีแห่งโลกียะ และยิ่งถ้าหากแม้แต่เซียนจริงๆ ได้ยินคำเรียกเช่นนี้จากหลี่เฉิน ก็คงอดที่จะเกิดโทสะไม่ได้เมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองของกงฮุยอวี่ หลี่เฉินหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ยว่า “ทำไม เจ้าโปรดปรานการนั่งอยู่บนหลังคามากนักหรือ?”กงฮุยอวี่ส่งเสียงฮึเบาๆ อย่างเย็นชา ก่อนจะหลับตาลงนั่งสมาธิต่อ โดยไม่สนใจหลี่เฉินหลังจากนางหลับตา หลี่เฉินกลับเงียบไปอย่างน่าประหลาดเดิมที กงฮุยอวี่คิดว่าหลี่เฉินคงเบื่อและเดินจากไปแล้ว แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา และลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางกลับเห็นหลี่เฉินสั่งให้คนยกบันไดขึ้นมา และเขากำลังปีนบันไดขึ้นมาบนหลังคากงฮุยอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูหลี่เฉินที่กำลังปีนขึ้นมา และเริ่มชั่งใจว่าควรจะลุกออกไปจากที่นี่หรือไม่แต่ก่อนที่นางจะตัดสินใจ หลี่เฉินก็ขึ้นมาถึงบนหลังคาแล้ว“บนนี้ วิวทิวทัศน์ดีไม่น้อยเลยทีเดียว”ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ในที่สูงอยู่แล้ว และเมื่อขึ้นมาบนหล
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ท่านอ๋อง ข้ามั่นใจว่าสวีเว่ยต้องมีปัญหาแน่นอน เขาออกจากจวนบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผล และทุกครั้งก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย แม้เขาจะมีข้อแก้ตัวเสมอ แต่ข้ากล้าพูดได้ว่ามันต้องเป็นข้อแก้ตัวที่โกหก!”หลี่อิ๋นหู่มองชายชราอย่างไม่พอใจ ก่อนกล่าวว่า “เรื่องที่เขาเลี้ยงดูหญิงงามคนหนึ่ง ข้ารู้ดีอยู่แล้ว ผู้ชายจะมีผู้หญิงคนที่ชอบมันก็ธรรมดา หากเป็นเจ้า เจ้าออกไปหาผู้หญิงเจ้าจะป่าวประกาศให้ใครๆ รู้หรือไม่?”คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ทำให้ชายชราพูดไม่ออก แต่เขายังยืนกรานว่า “โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด ข้าสัญญาว่าจะสืบหาความจริงเกี่ยวกับเขาให้ได้!”“เจ้าสืบเรื่องอ๋องแห่งแคว้นที่สนับสนุนหลงไหวอี้ให้ได้ก่อนเถอะ”หลี่อิ๋นหู่โบกมืออย่างรำคาญ “เอาเถอะ ออกไปซะ วันๆ เอาแต่ทำให้ข้าหนักใจ”ชายชราเปิดปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ถอนหายใจ แล้วออกจากห้องไปคืนนั้น หลี่เฉินถูกปลุกขึ้นจากการนอนอีกครั้งแม้ว่าดวงตาจะล้าจนร้อนผ่าว แต่เขายังรับรายงานลับสุดยอดจากเฉินทงมาพิจารณาเมื่ออ่านรายงานที่สวีเว่ยส่งมา หลี่เฉินถึงกับหายง่วงเป็นปลิดทิ้งรายงานแบ่งเป็นสองส่วน
คำพูดของหลงไหวอี้ทำให้หลี่อิ๋นหู่ตาวาวขึ้นมาทันที เขาลองถามหยั่งเชิงว่า “อ๋องแห่งแคว้นผู้ที่ท่านกล่าวถึงนั้นคือ…?”หลงไหวอี้ยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รอถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจัดให้ท่านพบกับท่านอ๋องผู้นั้น แต่ในเวลานี้ อ๋องฟานยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยท่าทีที่หลงไหวอี้ชอบปิดบังอะไรไว้เสมอ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อเขายังต้องพึ่งพาหลงไหวอี้ในหลายๆ เรื่อง หลี่อิ๋นหู่จึงกลืนความไม่พอใจลงไป และยิ้มแย้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่รีบ”ทั้งสองคนพูดคุยถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก่อนที่หลงไหวอี้จะลุกขึ้นกล่าวลา “ท่านอ๋อง ข้าขอตัวลา”หลี่อิ๋นหู่รีบกล่าวขึ้น “เรื่องที่ข้าเคยขอให้ท่านช่วยเมื่อวันก่อน...”หลงไหวอี้หยิบตั๋วเงินชุดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ “ท่านอ๋อง นี่คือตั๋วเงินสองแสนตำลึง ใบละหมื่นตำลึงรวมยี่สิบใบ เงินจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นของอาจารย์ข้า อีกครึ่งมาจากท่านอ๋องผู้ที่ข้ากล่าวถึง อย่างไรก็ดี ทั้งอาจารย์ข้าและท่านอ๋องผู้นั้นก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเหลือเฟือ…”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าเข้าใจดี
ในเมื่อไม่สามารถสังหารเย่ลู่กู่จ้านฉีได้ จ้าวเสวียนจีจึงเลือกที่จะตัดขาดช่องทางทั้งหมดที่เย่ลู่กู่จ้านฉีจะใช้ส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังแคว้นเหลียวแผนการที่ตามมาภายหลังจึงเกิดขึ้นแต่หากหลี่เฉินรู้แผนการนี้ล่วงหน้า เขาย่อมจะไม่ปล่อยให้จ้าวเสวียนจีสังหารสายลับแคว้นเหลียวสำเร็จเพราะถ้าเย่ลู่กู่จ้านฉีสามารถส่งข้อความกลับแคว้นเหลียวได้ และทำให้แคว้นเหลียวโกรธจนเกิดปัญหาที่เชื่อมโยงไปถึงจ้าวเสวียนจี นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อหลี่เฉินดังนั้น หากหลี่เฉินคิดจะขัดขวาง เขาย่อมต้องลงมือก่อนที่จ้าวเสวียนจีจะประสบความสำเร็จเมื่อปัดความเป็นไปได้ที่หลี่เฉินจะเกี่ยวข้อง จ้าวเสวียนจีเริ่มครุ่นคิดถึงผู้อื่นที่อาจมีส่วนร่วมอ๋องแห่งแคว้น? หรืออาจเป็นกลุ่มอิทธิพลในราชสำนัก?ความคิดนับร้อยพันพุ่งเข้ามาในหัวเหมือนเงื่อนปมที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถจับจุดได้แม้แต่เงื่อนเดียวในขณะนั้น เสียงไก่ขันดังขึ้นจากนอกหน้าต่างรุ่งอรุณกำลังมาเยือนเสียงไก่ขันทำให้จ้าวเสวียนจีราวกับถูกปลุกให้ตื่น เขาสงบจิตใจลงในทันทีหลังจากโลดแล่นในวงราชสำนักมานานหลายสิบปี แม้จะถูกสถานการณ์บีบคั้นจนเสียศูนย์ชั่วขณะ แต่จ้าวเ
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงช่วงจิบชาเดียว ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและจบลงเร็วยิ่งกว่า ทิ้งไว้เพียงซากศพที่ถูกไฟเผาไหม้และบ้านที่กำลังลุกไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านกลุ่มคนชุดดำกระจายตัวออกไปในความมืดหลังจากสังหารสายลับและชิงเอาสิ่งของได้สำเร็จ คนหนึ่งในนั้นที่ถือจดหมายสำคัญไว้ในมือ วิ่งผ่านค่ำคืนมุ่งหน้าไปยังจวนจ้าวเมื่อมาถึงประตูเมืองที่ปิดสนิทในยามค่ำคืน ต่อหน้าคำถามของทหารเฝ้ายาม เขาโยนป้ายออกไปโดยไม่พูดพล่ำ"ที่แท้เป็นคนจากจวนท่านอาวุโสนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทนัก ข้าจะรีบเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้!"เมื่อเห็นป้ายที่สลักอักษรจ้าวตัวใหญ่ๆ ไว้ ทหารเฝ้าประตูไม่กล้าลังเล รีบส่งสัญญาณให้เปิดประตูทันทีหลังเก็บป้ายคืน คนชุดดำกำลังจะก้าวเข้าเมืองแต่ทันใดนั้น ทหารเฝ้าประตูที่เมื่อครู่ยังยิ้มแย้ม กลับเผยสีหน้าดุดัน ชักดาบยาวฟันคนชุดดำในทันทีเสียงปังดังขึ้น ร่างของคนชุดดำล้มลงกับพื้นทหารผู้โจมตีคุกเข่าลงค้นตัว หยิบซองจดหมายออกมา เขายิ้มอย่างพอใจและกล่าวกับทหารคนอื่นว่า"พี่น้องทั้งหลาย ขอบใจทุกคนมาก ท่านอ๋องของข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม!"หลังจากกล่าวคำจนจบต่อเหล่าทหารธรรมดาที่กำลังหว
หลี่เฉินหรี่ตามองเย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยังคงพูดจาฉะฉานและแสดงความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เขากลับไม่ได้ตอบโต้หรือขัดจังหวะจากท่าทีของเย่ลู่กู่จ้านฉี ดูเหมือนว่าเขาไม่รู้เลยว่าจ้าวเสวียนจีมีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเหลียวหลี่เฉินอดผิดหวังไม่ได้เดิมทีเขาหวังว่าจะสามารถหาหลักฐานความผิดของจ้าวเสวียนจีได้ และเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า แต่ในเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉีไม่รู้อะไรเลย แผนการนี้คงต้องพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ ทำได้เพียงรอให้ข่าวเรื่องเย่ลู่กู่จ้านฉีตกเป็นเชลยแพร่ไปถึงแคว้นเหลียว และหวังให้แคว้นเหลียวเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับเองแต่ปัญหาคือ หลี่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ว่าแคว้นเหลียวจะดำเนินการอย่างไรหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เฉินก็หมดความสนใจที่จะสนทนากับเย่ลู่กู่จ้านฉีอีก เขาลุกขึ้นและเตรียมตัวออกไปเย่ลู่กู่จ้านฉีที่เห็นหลี่เฉินจะจากไป รีบร้อนพูดขึ้น "เจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเป็นพยานแล้วหรือ? เรื่องอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายชาติหรือการส่งข่าวกรอง หากเจ้าอยากให้ข้าร่วมมือ ข้าก็ยินดีทำให้"หลี่เฉินหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า "สมองของเจ้าเหมาะจะใช้เลี้ยงม้าบนทุ่งหญ้าเท่า