เย่เสวียนถิงกุมมือของซูชิงอู่อย่างอ่อนโยน ความสนิทสนมระหว่างคนทั้งสองชัดเจนมากจนแทบไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำนอกจากนี้ องค์รัชทายาทผู้นั้นก็รักใคร่นางบำเรอของเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งพวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกันมากเท่าไร ก็จะกระตุ้นความสงสัยของผู้อื่นได้น้อยลงเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น องค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการทางทหาร ดังนั้นขอเพียงคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับเขาเป็นพิเศษมาทำตัวสอดรู้สอดเห็น ก็จะไม่มีใครรู้ว่าองค์รัชทายาทถูกปลอมตัวมาซูชิงอู่ลุกจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกใบหน้าขององค์รัชทายาทที่แต่งกายด้วยอาภรณ์ของสตรีไม่แปลกสะดุดตาเลย อีกทั้งยังดูดีทีเดียวซูชิงอู่หัวเราะเบา ๆ ด้วยใบหน้านางบำเรอของเขา พลางเห็นความตกตะลึงและความโกรธในดวงตาขององค์รัชทายาทเห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจผิดว่านางบำเรอของตนทรยศเขาและทำสิ่งเลวร้ายลับหลังซูชิงอู่กล่าวว่า “เมื่อครู่ท่านจงใจส่งเสียงดังเพื่อทำให้คนนอกสงสัยอย่างนั้นรึ ไม่เชื่อฟังเอาเสียเลยนะ”นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบแมลงตัวหนึ่งออกมาจากกล่องขนาดเล็กที่อยู่ในอ้อมอก พลางง้างปากอีกฝ่ายแล้วยั
แน่นอนว่าที่ซูชิงอู่พูดกับเขาไปมากมายเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเพราะนางว่างหากอีกฝ่ายสามารถให้ความร่วมมือได้สักนิด แผนของนางและเย่เสวียนถิงก็จะราบรื่นขึ้นอีกหลายเท่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกใช้มือเขียนข้อความต่อ ‘ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าทุกสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง?’เขาถามอย่างรู้ทันซูชิงอู่เหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “หากท่านต้องการหลักฐาน ข้าก็เอาให้ท่านได้ ทีนี้ก็มาดูกันว่าแม่ทัพเหยียนจั๋วจะร้อนรนจนมุมแล้วจะกล้าสังหารท่านหรือไม่”องค์รัชทายาทเขียนว่า ‘เขาเป็นแค่แม่ทัพ จะกล้าลงมือทำร้ายองค์รัชทายาทเช่นข้าได้อย่างไร?’“เช่นนี้ท่านก็ลองเดิมพันกับข้าดูไหมเล่า หากเขาคิดจะสังหารท่านจริง ๆ ท่านต้องให้ความร่วมมือกับข้าอย่างเต็มที่เพื่อกำจัดเหยียนจั๋ว”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุดท้ายองค์รัชทายาทก็พยักหน้าตอบรับดูเผิน ๆ แล้ว สิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นล้วนส่งผลดีกับเขาทั้งนั้นและไม่มีตรงไหนที่เขาเสียเปรียบเลยเขาเหม็นขี้หน้าเหยียนจั๋วมานานแล้ว เพราะตอนนั้นที่เขาถูกจับตัวไป อีกฝ่ายไม่รีบร้อนที่จะมาช่วยเหลือแม้แต่น้อยหากไม่ใช่เพราะคนสนิทของเขานำเรื่องนี้มาบอกด้วยตัวเอง เขาก็คงไม่เชื่อว่าเหยียนจั๋วค
ไม่นานหลังจากนั้น เหยียนจั๋วก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเย่เสวียนถิง เขามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มศีรษะ “องค์รัชทายาททรงต้องการสั่งอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”แม้กองทัพจะขาดแคลนอาหารและไม่มีทางที่จะเลี้ยงกองทหารนับแสนได้ แต่ก็ง่ายมากที่จะเลี้ยงองค์รัชทายาทเพียงคนเดียวให้อิ่มหนำสำราญดังนั้นในทุกวันที่นี่จึงมีสุราเนื้อสัตว์ไม่ขาด จะมีเพียงแค่ผักที่ขาดไปนิดหน่อยเท่านั้นเย่เสวียนถิงหรี่ตาพลางจ้องมองเขาด้วยท่าทางที่อันตราย จากนั้นเขาก็เสมองไปทางอื่นออกแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่ามีคนในกองทัพที่หิวโหยจนสร้างปัญหา แม่ทัพใหญ่ทำงานประสาอะไรกัน?”เหยียนจั๋วที่ถูกซักถามกำนิ้วแน่น อารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด“ขอองค์รัชทายาทโปรดเย็นพระทัยก่อน เรื่องนี้จะคลี่คลายได้ในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ!”“เจ้าจะแก้ปัญหาอย่างไร? ให้คนหลอกลวงสองคนนั่นที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนมาแก้ปัญหารึ!”เมื่อได้ยินองค์รัชทายาทเรียกคนสองคนที่มาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ว่าคนหลอกลวง ท่าทางของเหยียนจั๋วก็เปลี่ยนไป“สองท่านนั้นไม่ใช่คนหลอกลวง องค์รัชทายาทวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีแผน
เย่เสวียนถิงขมวดคิ้ว และความโกรธเกรี้ยวอันไร้ที่สิ้นสุดก็พลุ่งพล่านอยู่ในใจของเขาแต่เขายังคงรักษาท่าทางเดิมไว้โดยไม่เปิดเผยความผิดปกติใด ๆ“วิธีนี้ก็ดูใช้ได้ แต่จะไม่ถูกจับได้เอาหรือ?”เหยียนจั๋วหรี่ตา ม่านตาของเขาก็มืดขรึม “คนธรรมดาพวกนั้นจะรู้อะไร จะจับได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ? อีกทั้งตอนนี้อากาศก็หนาวเช่นนี้ จะป่วยก็ไม่แปลกหรอกพ่ะย่ะค่ะแผนนี้ดำเนินการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ในช่วงสองวันที่ผ่านมา กองทัพเขตเจิ้นเป่ยส่วนใหญ่คงติดโรคจากลมหนาวจนไม่สามารถลุกขึ้นได้แล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะแม้เหล่าทหารของเราจะกินไม่มาก แต่ก็มีการเตรียมโจ๊กผสมยาต้มไว้แล้ว จึงจะไม่เป็นโรคนี้แน่นอน ดังนั้น…”เย่เสวียนถิงพยักหน้า “ผู้ที่ติดเชื้อจะตายหรือไม่?”เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เหยียนจั๋วส่ายหัวเบา ๆ “โรคนี้ไม่รุนแรงนัก เพียงทำให้มีอาารเวียนหัวและอ่อนเพลียเท่านั้น แต่มันสามารถแพร่กระจายไปได้เร็วมาก และทำให้ไม่สามารถรับมือได้พ่ะย่ะค่ะการต่อสู้กับคนที่ป่วยจนลุกขึ้นมาไม่ไหว องค์รัชทายาททรงคิดว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่คิดว่าตนจะได้รับชัยชนะสาเหตุที่ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แ
เขากระซิบที่ข้างหูนาง “เช่นนั้นผลลัพธ์ในครั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วอาอู่”ซูชิงอู่คลี่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นนางก็เบิกตาแล้วพูดอย่างจริงจัง “ทุกเรื่องต้องพยายามให้สุดแรง ข้าจะทำให้ทั้งกองทัพแคว้นอู๋ตะวันตกได้ลิ้มรสความร้ายกาจของข้า”ตกดึก“รายงานขอรับ!”มีเสียงที่เจือความกังวลดังมาจากด้านนอก เมื่อเหยียนจั๋วได้ยินเสียงเรียกฉุกเฉิน เขาซึ่งพร้อมที่จะให้ทั้งกองทัพออกเดินทางก็ลุกขึ้นยืนทันที“สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”“เรียนท่านแม่ทัพ หน่วยสอดแนมกลับมารายงานว่ามีคนจำนวนมากในเขตเจิ้นเป่ยล้มป่วย ตอนนี้มีเพียงหนึ่งในสิบคนที่สามารถต่อสู้ได้ นี่เป็นโอกาสที่ดีเลยขอรับ!”เหยียนจั๋วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วหันกลับมาทำความเคารพบุรุษจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์สองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขา“ขอบคุณทั้งสองท่านสำหรับความช่วยเหลือ เรียกได้ว่าศึกไม่หน่ายเล่ห์ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ต้องคว้าชัยชนะมา ให้จงได้!”เสียงของเหยียนจั๋วเยือกเย็น และน้ำเสียงของเขาก็เย็นเยียบไม่รู้จบ เขาก้าวออกจากกระโจมทหาร ในสายตาของเขาเหมือนได้เห็นผู้นำฝ่ายศัตรูคุกเข่าร้องขอความเมตตา“กระจายคำสั่งของข้าออกไป ให้กองทัพทั้งหมดออกเดินทา
ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น ทั้งกองทัพแคว้นอู๋ตะวันตกถูกครอบงำด้วยอาการปวดท้องที่ไม่อาจทนได้ในสถานการณ์เช่นนี้ จะพูดถึงเรื่องการทำสงครามก็...หลังจากที่คนเหล่านั้นตอบสนองความต้องการของร่างกายแล้ว พวกเขาก็นอนแผ่อยู่บนพื้นไม่สามารถขยับไปไหนได้เดิมทีพวกเขาไม่ได้กินอะไรมาเลย และเมื่อตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทุกคนได้สูญเสียพลังงานไปแล้วเหยียนจั๋วเองก็ไม่ได้ไปไหนเขาสั่งให้คนรีบไปเชิญท่านอาจารย์แห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองหลังจากที่คนทั้งสองตรวจชีพจรของเหยียนจั๋ว สีหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป คนที่เป็นผู้นำกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพไม่ได้ป่วยหนัก เพียงแค่บังเอิญดื่มน้ำที่ไม่สะอาดหรือกินอะไรที่ไม่สะอาดจึงทำให้เป็นโรคบิด”“น้ำ…”เมื่อเหยียนจั๋วได้ยินคำนี้ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันที“ขอท่านอาจารย์โปรดตรวจสอบให้ทีว่ามีอะไรผิดปกติกับน้ำหรือไม่!”มีคนนำชามน้ำมาวางบนโต๊ะ คนจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ยกมือใช้ปลายนิ้วจุ่มลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาแตะชิมหลังจากนั้นแม้จะผ่านไปนานแต่เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งปกติเพราะถึงอย่างไรสิ่งที่เป็นตัวนำเชื้อโรคก็ไม่สามารถมองเห็นได้อย่าง
คนอื่นต้องหัวเราะจนฟันร่วงแน่นอนเย่เสวียนถิงหัวเราะเบา ๆ และพูดอย่างใจเย็น ๆ “ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวก็จะมีคนฉวยโอกาสโยนหินลงบ่อน้ำเพื่อซ้ำเติมแน่”กองทัพแคว้นอู๋ตะวันตกออกเดินทางทันทีคิดจะผ่านเมืองโม่เฉิงมุ่งหน้าไปยังอีกเมืองหนึ่งเพื่อรอรับเสบียงการเคลื่อนไหวครั้งนี้เท่ากับว่าพวกเขาละทิ้งเขตชายแดนของเมืองโม่เฉิงโดยสิ้นเชิงองค์รัชทายาทที่เย่เสวียนถิงปลอมตัวมาย่อมอยู่ในขบวนนี้ด้วย เขาสั่งให้คนเตรียมรถม้าไว้ล่วงหน้าและนำคนสองคนในกระโจมทหารยัดเข้าไปในรถม้าองค์รัชทายาทตัวจริงและนางบำเรอของเขาที่ถูกมัดไว้ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ดูซีดเซียวและเหมือนว่าพวกเขาจะถูกทรมานอย่างหนักไม่มีใครพบบุคคลที่ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าเพราะไม่มีใครกล้าเปิดม่านรถขององค์รัชทายาทโดยพลการทหารทุกคนดูป่วยและเซื่องซึมไปมากแม่ทัพแห่งแคว้นอู๋ตะวันตกไม่สามารถขี่ม้าได้ ดังนั้นเขาจึงต้องนั่งรถม้าแทน ทุกคนรู้สึกทุกข์ทรมานมาตลอดทาง แต่พวกเขาทำได้เพียงกัดฟันและอดทนไว้และเมื่อกองทหารหลายแสนคนเพิ่งออกจาก เมืองโม่เฉิง ห่างออกไปไม่ถึงยี่สิบไมล์ พวกเขาก็บังเอิญผ่านป่าแห่งหนึ่งใต้ร่มเงาของต้นไม้ทั้งสองข้างทาง จู่ ๆ ก็มี
สีหน้าของเหยียนจั๋วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นดุร้ายเมื่อได้ยินว่าเผ่าคนเถื่อนทางเหนือไม่คิดที่จะปล่อยพวกเขาไปแม้เขาจะสั่งถอนกำลังแล้วก็ตาม“กองทัพทั้งหมดจงฟังคำสั่ง โจมตีกลับ!”“ท่านแม่ทัพ แต่ว่า…”เหยียนจั๋วไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายเช่นนี้มาก่อนเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่า แต่พวกเขากลับถูกกดดันมาถึงขั้นนี้โดยเผ่าคนเถื่อนทางเหนือซึ่งมีน้อยกว่าหลายแสนคนทำให้ต้องวิ่งหนีไปมาเหมือนสุนัขหลงทางเขาลงจากรถม้า พลางอดทนต่อความเจ็บปวดและขึ้นม้าพร้อมกับหอกยาวในมือหลังจากที่ท้องเสียทั้งคืนจนปวดทรมานไปหมดก็เหมือนว่าเขาจะเป็นริดสีดวงทวารหากวันนี้ไม่สามารถทำให้เผ่าคนเถื่อนทางเหนือชดใช้ได้ เกรงว่าในภายภาคหน้าแคว้นอู๋ตะวันตกจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้นและจะกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วหล้าในเวลานี้ ในรถม้าที่ได้รับการคุ้มครองโดยกองทัพ สีหน้าของคนทั้งสองยังคงสบายและผ่อนคลายซูชิงอู่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเย่เสวียนถิงคงให้คนที่อยู่ข้างนอกไปส่งข่าว โดยบอกเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ในกองทัพของแคว้นอู๋ตะวันตกให้เผ่าคนเถื่อนทางเหนือทราบ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงปรากฏตัวที่นี่และต้องการใช้ประโยชน์จาก
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้