คำพูดของเฟนด์ทำให้ไอรีน ลอว์เรนซ์ และคนอื่น ๆ พูดไม่ออกอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาขึ้นราคา ช่างเถอะ เขารีดไถเงินไปสามร้อยร้อยเหรียญ แต่เขากลับมาบอกว่ายาไม่ได้มีค่าขนาดนั้น “ฮ่า มันไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้นจริง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้ฉันคิดดูแล้ว มันก็ไม่แพงเลยถ้ามันช่วยแม่ได้จริง ๆ มันก็ไม่ได้มีค่ามากขนาดนั้น เพราะยังไงซะ หัวของนายอาจจะมีค่าแค่สามร้อยล้านเหรียญ เป็นหัวที่ดีเลยทีเดียว!” เจย์เดนพูดยิ้ม ๆ “เอาล่ะ ทานอาหารกันเถอะ!” ลอว์เรนซ์พูดยิ้ม ๆ เขารู้ว่าลูกชายของตนเป็นคนแบบไหน ทุกคนยิ้มในขณะที่เจย์เดนพูดอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่ถ้ายาของเฟนด์ใช้ไม่ได้ผล ด้วยเงินสามร้อยล้านเหรียญที่เขาเสียไป เขาจะจัดการฆ่าเฟนด์เอง นอกจากนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะภรรยาของเขาชวนให้พวกเขามาพบกับสาวสวยสมัยก่อนในชั้นเรียน และมาดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง เขาก็คงไม่อยากมาที่นี่หรอก เพราะรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ทำเขาเสียเวลาอันมีค่าไป ฟีโอน่ายิ้ม “นายน้อยวัตสัน คุณเป็นคนตลกจัง คุณรู้จักพูดล้อเล่นด้วย!” เธอมองไปที่ไอรีนที่อยู่ข้าง ๆ เธอ “ฉันจำได้ว่านายใหญ่ของตระกูลวัตสันป่วยด้วยโรคประหลาด” เธอพูด “หลังจากที่เราทานอาหา
เฟนด์หน้าบึ้งเมื่อเขาเห็นรอยยิ้มบนหน้าของเจย์เดน เขารู้สึกเหมือนว่าพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้สนใจเรื่องอาการป่วยของนายใหญ่วัตสันเลย อีกอย่าง พวกเขาที่ดูเหมือนว่ากำลังตามหาหมอไปรักษานายใหญ่วัตสัน แต่กลับไม่มีร่องรอยของความเศร้าอยู่เลย มันยากที่จะบอกได้ว่านายใหญ่วัตสันกำลังจะตายหรือเปล่า “ได้สิ ผมจะลองดูเพราะคุณสองคนไม่สนใจแพทย์แผนจีน ยังไงช่วงนี้ผมก็ไม่มีอะไรทำ ผมจะช่วยรักษานายใหญ่วัตสันเอง!” เฟนด์เหยียดแขนและพูดอย่างถ่อมตัว ดวงตาของเขาจ้องไปที่ลอว์เรนซ์ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่ามุมปากของอีกฝ่ายกระตุกเมื่อเขาพูดว่าเขาจะช่วยรักษานายใหญ่วัตสันเอง อีกฝ่ายดูกระวนกระวายใจ แต่ความกระวนกระวายของอีกฝ่ายนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วอย่างกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ก็ได้ เฟนด์ แต่คราวนี้นายจะคิดค่าใช้จ่ายเราเท่าไหร่? นายคงไม่ได้รักษาให้ฟรี ๆ หรอกใช่ไหม ? อย่างน้อยควรมีค่ารักษาถึงแม้ว่านายจะรักษาท่านไม่ได้ก็ตาม!” ลอว์เรนซ์ถามยิ้ม ๆ “ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ผมจะไม่เรียกเก็บเงินจากคุณและจะไม่เรียกเก็บเงินหลังจากที่รักษาท่านเสร็จด้วย ทำไมผมจะต้องเรียกเก็บเงินจากคุณล่ะ เพราะย
“ไม่มีทาง คุณพูดว่าสามารถหาสาเหตุของโรคว่าคืออะไรได้ เพียงแค่ใช้ตามองคุณปู่งั้นเหรอ?”ริมฝีปากของเมลินดาแยกออกจากกันเล็กน้อย เธอตกใจมาก เธอสงสัยว่าได้ยินที่เขาพูดผิดไปหรือเปล่า เธอมองไปที่ไอรีน “แม่คะ ใคร นี่ใคร? เขาเป็นหมอเหรอ?” ไอรีนพยักหน้า “เขาเป็นลูกเขยของเพื่อนสนิทแม่เอง เขาบอกว่าเขาเป็นแพทย์แผนจีน สำหรับทักษะทางการแพทย์ของเขา แม่เองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน!” “เฮ้ นายพูดอะไรน่ะ? ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้และเคยรักษาโรคแปลก ๆ มาหลายครั้งแล้ว ฉันค่อนข้างมีชื่อเสียงมากในอาณาเขตกลาง ฉันยังหาสาเหตุไม่เจอเลยแม้ว่าจะทำการตรวจสอบไปแล้วหลายครั้ง แต่นายกำลังบอกฉันว่านายสามารถหาสาเหตุของโรคได้โดยจากการใช้ตามองเพียงอย่างเดียว? โกหกชัด ๆ!” คำพูดของเฟนด์ทำให้แพทย์แผนตะวันตกรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกต่อยเข้าที่หู เขากำลังจะจากไปพร้อมกับหมออีกสองสามคน เขารู้สึกไม่พอใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฟนด์ เขาหันกลับมามองและพูดกับเฟนด์ทันที “นายต้องโกหกแน่เลย ดร.นิวแมนเป็นคนที่มีประสบการณ์มากมายกับผู้ป่วยที่ใกล้ตาย...” หมออีกคนหนึ่งพูดบอกกับเฟนด์ทันที หลังจากฟังหมอคนนั้นพูดทั้งหมดจบ เมลินดาที่ค่อนข้าง
“นาย!” หมอทุกคนโกรธจัด “ก็ได้ ผมจะตรวจดูนายใหญ่วัตสันก่อน ห้ามรบกวนเด็ดขาด ผมให้พวกคุณอยู่ได้แค่คนเดียว ส่วนที่เหลือ กรุณาออกไปแล้วปิดประตูซะ!” ตอนท้าย เฟนด์เอานิ้วชี้ไปด้านหลังและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า “คุณเมลินดา กรุณาอยู่ต่อก่อน ส่วนที่เหลือออกไปได้แล้ว!” “ก็ได้ ออกไปกันเถอะ เราจะให้เฟนด์ตรวจรดูอย่างละเอียด!” สีหน้าของลอว์เรนซ์มืดลง เขามองไปที่เฟนด์เป็นเวลานาน โดยคิดว่าหนุ่มนั่นคงตรวจอะไรไม่เจอหรอก ในพริบตา ทุกคนก็ออกไปจนหมดและเมลินดาก็ปิดประตูตามหลังทันที จากนั้นเธอก็เดินมาตรงหน้าเฟนด์ “หมอคะ มีเหตุผลอะไรหรือเปล่าที่คุณขอให้ฉันอยู่ต่อ?” “ตอนนี้คุณปู่ของคุณพูดไม่ได้ใช่ไหม? คอของเขาก็ดูปกติดี แต่ดูเหมือนเขาจะใช้เสียงพูดออกมาไม่ได้ ถูกต้องไหม?” เฟนด์ไม่ได้ตอบคำถามของเมลินดา แต่เขากลับถามคำถามอื่นออกมาแทน “ถูกต้อง คุณ คุณยังไม่ได้ตรวจชีพจรของคุณปู่เลย คุณก็รู้อาการของคุณปู่แล้ว!” เมลินดายิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิมอีก เธอรู้สึกว่ามันเป็นไปได้ที่เฟนด์จะมีศักยภาพในการวินิจฉัยโรคคุณปู่ของเธอได้ นายใหญ่วัตสันมองไปที่เฟนด์ เขาอ้าปากอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่มีเร
“แค่นั้นเองเหรอ?” เมลินดาอึ้งไปสักพักก่อนที่เธอจะก็พูดขึ้น “พิษสะสมอยู่ในร่างกายของเขามาเป็นเวลานานแล้ว มันเป็นพิษที่แปลกมาก มันจะบั่นทอนชีวิตของเขาทีละนิด ๆ เครื่องมือของแพทย์แแผนตะวันตกทั้งหมดนั้นก็ตรวจจับอะไรไม่ได้ แม้ว่าผมจะใช้ยาของผมเพื่อซึมผ่านผิวหนังของเขาทีละนิด ขับพิษอย่างช้า ๆ ไม่มีทางที่จะแก้พิษได้ในเวลาสั้น ๆ แน่!” เฟนด์อธิบายพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ถ้าสิ่งที่คุณพูดเกี่ยวกับพ่อของฉันที่เป็นคนวางยาพิษเป็นเรื่องจริง ฉันควรจะทำยังไงดี? พ่อจะต้องแอบวางยาพิษต่อแน่ ๆ!” ความกลัวปกคลุมไปทั่วร่างกายเมลินดาเมื่อเธอคิดได้ “เฮือก!” ในตอนนั้นเอง นายใหญ่วัตสันก็กระอักเลือดที่มียาพิษออกมาเต็มปาก และเขาก็กลับมาพูดได้อีกครั้ง เขาอ่อนแรงมากขณะที่เขาพูด น้ำเสียงของเขารุนแรงและโมโหมาก “ไอ้ลูกเวรนั่น! มันเลวมาก มันแทงข้างหลังฉัน มันโกหกฉัน! ฉันอยากจะบีบคอมันด้วยสองมือของฉันจริง ๆ!” “คุณปู่ คุณปู่พูดได้แล้ว! บอกหนูทีว่าทำไมพ่อถึงได้วางยาพิษคุณปู่?” เมลินดาถามออกมาทันที “ไอ้ลูกอกตัญญูนั่น! ฉันบอกให้เขาเลิกทำธุรกิจที่ไม่ดี หยุดทำสิ่งที่เลวร้ายทุกอย่าง เขาถึงได้แอบวางยาพิษฉันอ
เฟนด์หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าไอรีนไม่สามารถจัดการทรัพย์สินและบริษัทของตระกูลวัตสันได้ คุณต้องพร้อมที่จะรับช่วงต่อ ผมบอกคุณไว้ล่วงหน้าเพื่อที่คุณจะได้เตรียมใจไว้ให้พร้อมด้วย” ดวงตาของเมลินดามองไปรอบ ๆ ห้องเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเฟนด์ จากนั้นเธอก็ตอบว่า “ขอบคุณค่ะ ที่คุณเตือนฉัน มันไม่ง่ายเลยสำหรับฉันที่จะรับช่วงต่อโดยลำพัง ฉันก็ไม่ชอบสิ่งที่พวกเขาทำเหมือนกัน หลังจากที่ฉันได้ดูแลธุรกิจของตระกูลวัตสันแล้ว ฉันคิดว่าจะขายทรัพย์สินบางส่วน และกลับไปที่แคทธีเซียแล้วเริ่มลงทุนทำธุรกิจบางอย่าง” “อืมมม...” เมลินดาหยุดไปสักพักแล้วพูดต่อว่า “คุณปู่อยากกลับไปที่แคทธีเซียมานานแล้ว ฉันเชื่อว่าคุณปู่จะช่วยฉันจัดการธุรกิจหลังจากที่ท่านหายดีแล้ว ในที่สุดคุณปู่ก็จะมีได้มีความสุขและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในแคทธีเซียบ้านเกิดของเรา” “อืม!” ดวงตาของเฟนด์เป็นประกายทันทีเมื่อได้ยินแผนของเมลินดา “ผมชอบแผนของคุณ มันยอดเยี่ยมมาก! เอาล่ะ ผมจะไปเปิดประตูแล้วนะ!” ในเวลาต่อมา เฟนด์ก็เอื้อมมือออกมาและเปิดประตูห้อง ทันทีที่ประตูเปิดออก ลอว์เรนซ์ เจย์เดน และคนอื่น ๆ ก็รีบเข้ามา “เป็นย
ในตอนเย็นของวันนั้น คนในกรีนสกายฮอลล์รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด “นายท่าน ผมมีข่าวร้ายมาบอก! คนในกลุ่มของเราสามคนหายตัวไป!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเฮคเตอร์ ซาโบรอฟสกี และรายงานพร้อมทั้งขมวดคิ้ว “และผมได้ข่าวมาอีกว่าไม่ไกลจากคฤหาสน์ของเฟนด์ มีชายสามคนถูกยิง พวกเขาถูกจับได้จึงถูกฆ่าตาย ผมสงสัยว่าสามคนนั้นอาจเป็นลูกน้องของเรา พวกเขาเจอกับไอ้ลูกเขยนั่นและถูกเขาฆ่าตาย นายท่านคิดว่าไง?” “อะไรนะ!” เฮคเตอร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากได้ยินข่าวที่น่าตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับคนของเรา? ฉันบอกพวกเขาหลายครั้งแล้วว่าให้จับตาดูเฟนด์และระวังอย่าให้เขาจับได้! แล้วเป็นไง? อยากแสดงความอวดเก่งของตัวเองด้วยการถ่ายรูปสาว ๆ ใกล้คฤหาสน์ของเฟนด์งั้นเหรอ? พวกเขาหาเรื่องอยากตายเองงั้นเหรอ?” สีหน้าของชายวัยกลางคนหมองและมืดลง เขาถามด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “นายท่านซาโบรอฟสกี ไอ้หมอนั่นเป็นคนหัวร้อนและหุนหันพลันแล่น เขาฆ่าคนของเราโดยไม่คิดเลย เห็นได้ชัดว่าเราไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย!” เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ผมไม่กังวลเรื่องที่ชายสามคนถูกฆ่าหรอก แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือไอ้หมอนั่นจะมาหาเรา
ผู้เฒ่าวอร์ดหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้านขณะที่เผชิญหน้ากับอีกฝ่าย “คุณพูดถูก ไม่เจอกันนานเลย และฉันได้ยินมาว่าครั้งนี้ คุณได้ของดีมาให้เราด้วย ขอฉันดูของใกล้ ๆ หน่อย!” ลอว์เรนซ์ตอบกลับพร้อมหัวเราะ “คุณภาพดีจริง ๆ ทุกวันนี้หญิงสาวคุณภาพดี สวย ๆ หาไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว พวกเราบางคนต้องไปที่เมืองอื่นเพื่อจับตัวพวกเธอมา!” ผู้เฒ่าวอร์ดหัวเราะอีกครั้งแล้วพูดต่อว่า “ครั้งนี้ดูให้ดี ๆ นะ บางคนหน้าตาดีอย่างกับนางงามที่ประกวดการแข่งขันนางงามพวกนั้นเลย คุณสามารถสร้างรายได้มากมายจากพวกเธอ ดังนั้นครั้งนี้นายท่านของเราบอกว่าคงต้องขึ้นราคาซื้อขายสักหน่อย อย่างน้อยราคา 150 ล้านเหรียญสำหรับสินค้าชุดนี้ “อะไรนะ? มันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านหรือ 110 ล้านเหรียญนะ ครั้งนี้พวกคุณขอมากเกินไปแล้ว!” สีหน้าของลอว์เรนซ์มืดลง “ไม่ ๆ ไม่มากไปหรอก! ฉันเชื่อผู้หญิงพวกนี้จะทำเงินให้คุณได้มากกว่าสิบเท่าของเงิน 150 ล้านเหรียญ!” ในทางกลับกัน ผู้เฒ่าวอร์ดหัวเราะเมื่อได้ยินพูดของลอว์เรนซ์ “แล้วราคา 130 ล้านเหรียญล่ะ?” ลอว์เรนซ์ตอบโต้ด้วยราคาที่ครุ่นคิดดูแล้ว “ว้าว! นายท่านวัตสัน ทำไมคุณทำอย่างนั้นล่ะ? คุณค
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ