เฟนด์มองไปที่เซซิเลียอย่างไม่แยแส กับความพยายามที่ฟังไม่ขึ้นของเธอ “คุณไม่กลัวโดนฟ้าผ่าเหรอ? คนที่โกหกแล้วไม่กระพริบตา จะโดนฟ้าผ่านะ” “นาย…” เซซิเลียโกรธจัดทันที เขากล้าพูดกับเธอแบบนั้นได้ยังไง! เขากล้าดีจริง ๆ นายใหญ่เทย์เลอร์ตกใจมาก เขาจ้องเขม็งไปที่เฟนด์ “อย่าพูดพล่อย ๆ แบบนั้นนะเฟนด์!” นายใหญ่เทย์เลอร์ทำใจให้สงบ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาอีกฝ่าย “นายใหญ่โกลด์ คุณไปต่างประเทศเมื่อสองเดือนก่อน ส่วนเฟนด์เพิ่งจะกลับมาได้เดือนเดียว ผมว่าคุณอาจจะยังไม่เข้าใจเขาดีพอ!”นายใหญ่โกลด์พยักหน้า พร้อมรอยยิ้มบนหน้า “ใช่ ผมไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่ ไม่เคยรู้เลยว่าเขาขี้โม้น่ะ!”มุมปากของซีอุสกระตุกขึ้น ก่อนที่เขาจะตอบกลับมา “พูดยังไงดีล่ะ? คือเขาค่อนข้างเชี่ยวชาญเรื่องยาเลย และบางทีเขาก็ขี้โม้หน่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าถ้าเทพเจ้าแห่งสงคราม อีธาน ฮายส์อยู่ที่นี่ เขาคงไม่ฆ่าเฟนด์หรอก ที่สุดแล้ว เขาก็เคยอยู่ในสนามรบในนามของแคทธีเซีย และเป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชาอีกด้วย”นายใหญ่เทย์เลอร์หยุดไปครู่นึง ก่อนจะพูดต่อ “และที่สำคัญไปมากกว่านั้น ครั้งหนึ่ง เฟนด์เคยช่วยชีวิตเทพีแห่งสงคราม ลา
“ฮ่าฮ่า แน่นอน!” เห็นได้ชัดว่านายใหญ่เทย์เลอร์อยากอวดไข่มุกเรืองแสงของเขา เขาเดินขึ้นไปด้านบนและกลับลงมาพร้อมกับไข่มุกเรืองแสงในเวลาไม่นาน เขาวางมันลงตรงหน้าของนายใหญ่โกลด์ เซซิเลียเงียบไปเมื่อเธอเห็นว่าไม่มีใครสนใจเฟนด์อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เธอกำลังท้องอยู่จริง ๆ และนายใหญ่เทย์เลอร์จะต้องไม่พอใจแน่ ๆ ถ้าคนอื่นรู้เข้า“โอ้ มันใหญ่มากเลย! ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะมีไข่มุกเรืองแสงที่ใหญ่ขนาดนี้บนโลกด้วย! คนอื่น ๆ ต้องอิจฉาคุณแน่ ๆ ” นายใหญ่โกลด์ตาโตขณะมองไปที่ไข่มุกเรืองแสงที่อยู่ในกล่อง เขาเห็นไข่มุกเรืองแสงมามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยท่ีเขาเห็นไข่มุกเรืองแสงที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้“ฮ่ะฮ่า ขนาดมันไม่สำคัญหรอก ประเด็นสำคัญก็คือผลของมัน ผมได้ยินมาว่ามันยืดอายุคนได้ ผมหวังว่าไข่มุกนี่จะช่วยให้ผมมีชีวิตอีกสักสองสามปี ผมรู้สึกจริง ๆ นะว่ามันได้ผล!” นายใหญ่เทย์เลอร์พูดด้วยรอยยิ้ม สีหน้าท่าทางของเขาดูภูมิใจมาก “ผมล่ะอิจฉาคุณจริง ๆ ! ทำไมพวกเราไม่ปิดไฟ แล้วมาชมความแวววาวของมันกันสักหน่อยล่ะ?” นายใหญ่โกลด์อดใจไม่ไหว และพูดราวกับว่าเขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เอาสิ!” นายใหญ่เทย์เลอร์สั่งใ
หัวหน้าของตระกูลโกลด์หยิบบัตรเครดิตออกมา และยื่นมันให้กับแม่ของเซซิเลียด้วยรอยยิ้มแม่ของเซซิเลียมีความสุขมาก เธอรับบัตรเครดิตมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “นี่…นี่มันมากเกินไปแล้ว ฉันรู้สึกอายจริง ๆ ที่ได้เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้เป็นของหมั้น!”“ฮ่าฮ่า…คุณแม่ของเซซิเลีย คุณเลี้ยงเซซิเลียมาหลายปีจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และคุณเลี้ยงเธอมาอย่างดีมาก มันไม่ง่ายเลยที่จะเลี้ยงคนคนนึงให้เติบโตมาอย่างมีเกียรติแบบนี้ ตระกูลของพวกเราพอใจในตัวเซซิเลียมาก!” หัวหน้าของตระกูลโกลด์หัวเราะออกมา “ใช่เลย เซซิเลียเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เธอยังดูงดงามและมีเกียรติอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้ว เธอยังเป็นสาวมหาลัยที่ปฏิเสธนายน้อยที่มาตามจีบเธอมานักต่อนัก แต่สุดท้าย เธอกลับสนใจนายน้อยโกลด์ นี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้!” แม่ของเซซิเลียใส่บัตรเครดิตลงในกระเป๋า เธอจ้องไปที่เซเลน่า ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “น่าเสียดายจริง ๆ ที่ผู้หญิงที่สวยที่สุดของตระกูลเทย์เลอร์ไปแต่งงานกับตระกูลต่ำ ๆ ดูเหมือนพวกเขาจะให้ของหมั้นเป็นเงินเพียงยี่สิบล้านเองด้วย ตัวเลือกของคน ๆ นึงช่างเป็นเรื่องที่สำคัญกับชีวิตจริง ๆ ”หัวหน้าของตระกูลโกลด์เข้าใจ
“ฮ่าฮ่า เปลี่ยนเป็นวันอื่นอย่างงั้นเหรอ? ทำไมฉันต้องเปลี่ยนวันจัดงานแต่งด้วย ทำไมลูกสาวของคุณไม่เปลี่ยนวันล่ะ?” สีหน้าของเซซิเลียเปลี่ยนไปด้วยความโมโหทันทีเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น เธอพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันเลือกวันนี้ หลังจากใช้ทั้งความพยายามและความคิด คุณจะมาบอกให้ฉันเปลี่ยนง่าย ๆ ได้ยังไง?”ฟีโอน่าไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำแบบนั้นอย่างแน่นอน เธอปฏิเสธ “นั่นมันวันเกิดของลูกสาวของฉัน ฉันจะเปลี่ยนวันเกิดเธอได้ยังไง? ส่วนเธอกำลังจะแต่งงาน จะแต่งอีกหนึ่งเดือนถัดไป หรือวันก่อนหน้านั้นสักสองสามวัน ก็ไม่เห็นต่างกันเลยสักนิด ใช่ไหมล่ะ?”“ฮ่าฮ่า งานวันเกิดก็จัดก่อนสองสามวันได้เหมือนกันนี่ ทำไมฉันต้องหลีกทางให้เธอด้วยล่ะ? งานแต่งของฉันไม่สำคัญเท่างานวันเกิดของเธออย่างงั้นเหรอ?” มันเป็นปกติที่เซซิเลียจะไม่อยากเปลี่ยนวันแต่งงาน เธอยังพูดอีกว่า “งานวันเกิดของเธอก็จัดทุกปี แต่ฉันแต่งงานแค่ครั้งเดียว ฉันจะเปลี่ยนวันงานง่าย ๆ ได้ยังไงกัน?”นายใหญ่เทย์เลอร์เองก็หน้านิ่วคิ้วขมวด ก่อนจะหันไปพูดกับเซซิเลีย “เซซิเลีย ทำไมถึงไม่เปลี่ยนวันสักหน่อยล่ะ? มันไม่เป็นไรหรอกนะถ้าจะจัดงานแต่งก่อน
เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “เฟนด์ไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น อย่างมากก็เจ็ดถึงแปดล้านเหรียญ ส่วนค่าโฆษณาก็คงไม่เกินสองถึงสามล้าน ดังนั้น เขาก็คงจ่ายไปแค่หกล้าน เขาคงจัดงานโออ่าอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก ในโฆษณาเขาก็แค่โม้เท่านั้นแหละ เขาไม่มีข้อเสียอื่นแล้ว นอกจากชอบขี้โม้น่ะ”“เขาจ่ายไปแค่สองสามล้านใช่ไหม? เอางี้ไหมล่ะ ฉันจะจ่ายให้ห้าล้าน ที่เหลือเป็นค่าตอบแทน จะได้ไม่มีคนมาพูดได้ว่าตระกูลโกลด์กลั่นแกล้งพวกนาย!” เคลลี่กอดอก ก่อนจะดูถูกพวกเขาอย่างวางมาด และหยิ่งยโส“แน่นอน งั้นตกลง เราจะเปลี่ยนวันใหม่” ฟีโอน่าพนักหน้าไม่หยุด และเห็นด้วยกับพวกเขาอย่างไรก็ตาม นายน้อยโกลด์พูดขึ้นมาว่า “คำพูดของคุณไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น ผมต้องการให้ลูกเขยของคุณพยักหน้า หรือพูดอะไรก็ตาม ถึงจะนับ เข้าใจไหม? สุดท้ายแล้วเขาเป็นคนที่จ่ายเงิน และทำโฆษณานั่นขึ้นมา”เฟนด์ยักไหล่ “เอาจริง ๆ ผมไม่รู้ ว่าผมจ่ายไปเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ผมไม่ต้องการเงินห้าล้านนั่นหรอกนะ เพราะผมไม่ได้จะเปลี่ยนวันอยู่แล้ว ผมระบุวันไว้แล้ว และนั่นก็เป็นวันเกิดของภรรยาของผม”“เฟนด์ นายโง่รึเปล่า? นายจะได้เงินตั้งเยอะนะ นายเลื่อนวันให้เร็วขึ้นสักวั
“ฮ่าฮ่า แมนจริง ๆ นายนี่เป็นทหารจริง ๆ สินะ กระดูกของนายแข็งยิ่งกว่าอะไรดี” เคลลี่หัวเราะออกมาเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น “ในเมื่อนายไม่อยากเปลี่ยนวัน เราก็ไม่อยากเหมือนกัน งั้นก็จัดมันวันเดียวกันซะเลย มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นที่จะจัดงานสองงานในวันเดียวกัน ตราบเท่าที่พวกนายไม่เสียใจน่ะ”หัวหน้าของตระกูลโกลด์ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “ในเมื่อเขาไม่อยากได้ห้าสิบล้าน เราก็ไม่จำเป็นต้องหว่านล้อมเขาอีกแล้วล่ะ ตระกูลโกลด์ของเรา เป็นตระกูลที่ดีที่สุดในบรรดาชนชั้นสูงระดับที่สองทั้งหลาย ฉันเชื่อว่าจะต้องมีคนมากมายเดินทางมางานแต่งงานของลูกชายของฉันแน่ พอถึงตอนนั้น จะต้องมีคนเสียใจแน่นอน!”“ฮ่าฮ่า ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้นล่ะ นายน้อยโกลด์ นายต้องคิดดี ๆ นะ ถ้านายจะจัดงานแต่งงานวันเดียวกับเรา คนที่ต้องเสียใจอาจจะเป็นนายก็ได้!” เฟนด์พูดอย่างไม่แยแส ก่อนจะยิ้มออกมา“ฮ่าฮ่า ชักจะสนุกแล้วสิ งั้นก็มาจัดวันเดียวกันเลย ฉันอยากจะเห็นไอ้คำว่าสนั่นไปทั้งเมืองของนายจริง ๆ” หัวหน้าของตระกูลโกลด์หัวเราะอย่างเย็นชา แล้วมองมาอย่างมั่นใจข้าง ๆ ของพวกเขา เซซิเลียก็ยืนขึ้นแล้วประกาศให้สมาชิกของตระกูลเทย์เลอร์ได้ยิน
นายใหญ่เทย์เลอร์คำรามด้วยเสียงหัวเราะ “ฉันโทรหาฟังกัสแล้ว เขาบอกว่าเขาค่อนข้างยุ่งเพราะทำงานหนัก”ในตอนนี้ เขามองไปที่แอนดรูว์ เทย์เลอร์ แล้วพูด “โอ้ ใช่ แอนดรูว์ ทำไมเบ็นไม่มาด้วยล่ะ? รู้สึกเหมือนไม่ได้เห็นเบ็นมาสองสามวันแล้วนะ”แอนดรูว์ยิ้มอย่างไม่แยแส “พ่อครับ เบ็นเพิ่งจะเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาคงจะยุ่งมาก ไม่ได้กลับบ้านมาสองวันแล้วล่ะครับ”คุณปู่เทย์เลอร์ยิ้มด้วยความพึงพอใจ แล้วพูด “เจ้าเด็กนี่ ในที่สุดก็รู้จักหาเงินแล้วสินะ ดูเหมือนเขาจะเติบโตจากการเล่นเกมด้วย!”ได้ยินคุณปู่เชยชมลูกชายของเขา ฟีโอน่าก็ยิ้ม ก่อนจะพูดว่า “ใช่ เบ็นของพวกเราค่อนข้างทำงานหนักเลยล่ะค่ะ แต่ก่อนเขายังเด็กและขาดประสบการณ์ แถมยังทำเรื่องผิด ๆ แต่ตอนนี้เขาได้เติบโตขึ้นจริง ๆ แล้ว”“โอ้ ฉันได้ยินมาว่าพวกเธอจ้างบอดี้การ์ดเหรอ และพวกหล่อนก็งดงาม แถมยังขายาวสวยซะด้วย”เซซิเลียมองไปที่เฟนด์ ก่อนจะพูด “ขอเดานะ เฟนด์ต้องเป็นคนจ้างแน่ ๆ จะจ้างบอดี้การ์ดหรือประกวดนางงามกันแน่?”เมื่อเคลลี่ โกลด์ได้ยิน เขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งยโสทันที “นั่นมันเรื่องปกตินะ! ผู้ชายบางคนก็แสดงเป็น‘เ
เฟนด์ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่ามีการพนันเป็นเดิมพัน เขาพูด “แน่นอน เรามาพนันกันเท่าไหร่ดีล่ะ ลองแนะนำมาสิ ไหน ๆ คุณก็เป็นตัวตั้งตัวตีแล้วนี่”เคลลี่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ดี งั้นฉันจะเรียกราคาไม่สูงมากแล้วกัน เผื่อนายแพ้ ทีนี้นายจะมาพูดไม่ได้นะ ว่าฉันแกล้งนาย และอย่าพูดว่าจ่ายไม่ไหวด้วย! ไหน ๆ นายก็ยังมีเงินอยู่อีกหลายล้านนี่ มาพนันกันสักตาละสิบล้าน เป็นไง?”“ตาละสิบล้านเหรอ? นั่นมันไม่มากไปหน่อยหรือไง? ถ้าเราแพ้สักสองสามตา จะทำยังไง? เราต้องใช้เงินสำหรับอาหารค่ำในงานแต่งงานนะ!”ฟีโอน่าได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจสุดขีด“ใช่ นั่นมันมากเกินไปนะเคลลี่ มันไม่ดีหรอกนะถ้าจะพนันด้วยเงินจำนวนขนาดนั้น แค่ตาละแสนก็พอแล้ว” โจแอนตกใจมาก จนเธอถึงกับยืนขึ้น ก่อนจะพูดเหน็บแนม“ฮ่าฮ่า คุณอา ทำไมคุณถึงล้อผมเล่นแบบนั้นล่ะ? เงินสิบล้านสำหรับผมจะมีค่าเท่าไรเชียว? เงินเพียงแค่สิบล้านนั่น ไม่คู่ควรกับคนสถานะอย่างผมเลยด้วยซ้ำ”เคลลี่หัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะพูดว่า “อย่าลืมสิ ลูกชายของคุณให้ผมเลือกเองนะ แสนนึงมันน้อยเกินไป ถ้ามีใครแขนขาขาด หรือตาบอดตอนสู้กันจะทำยังไง? มันไม่ใช่เรื่องเล็ก
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ