เคนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบเงินออกมาให้คนแปลกหน้า “ขอบคุณที่สละเวลามาให้เรา นี่เงินซื้อบุหรี่”"ว้าว ขอบคุณ! ขอบคุณนายน้อย!” ชายคนนั้นรับเงินและเดินออกไปด้วยความยินดี“นายน้อยคลาร์ก ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” นีลมองเคนที่อยู่ตรงหน้าและสะกิด “เราจะทำยังไงกันดีล่ะ?”เคนถอนหายใจ “พวกเราทำอะไรกันได้บ้าง? คนในตระกูลเซนอสตายกันหมดแล้ว เราทำได้แค่กลับไปที่อาณาเขตกลาง เฟนด์รอดตัวไปนะ ยังไงซะเขาก็โดนวางยาพิษอยู่ดี ฮ่า ๆ! ยาแก้พิษก็ไม่มี กว่าจะรู้ตัวก็คงสายเกินไปแล้ว”“ใช่ ดูเหมือนว่านายน้อยของตระกูลเซนอสไปทำให้ราชาแห่งสงครามเคืองเข้านะ เขาคงโกรธมากเลยจัดการตระกูลเซนอสอย่างนี้” นีลเดา “ช่างอำมหิต เอาล่ะ! สิ่งที่เราคิดไม่ถึงก็คือราชาแห่งสงครามได้ช่วยเฟนด์ที่ไร้ค่าเช่นนี้เอาไว้”เคนก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “นายน้อยเซนอสนี่น่าจะตายไปแล้ว ฉันได้ยินมาจากซีน่าว่าเขาลักพาตัวเธอกับฟีโอน่าไปด้วยซ้ำ พวกเขาอยากรุมเธอ แต่เฟนด์ไปถึงทันเวลาแล้วก็ฆ่านายน้อยก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น”“ใช่ พวกเขาอาจจะทำอะไรกับลูกสาวของราชาแห่งสงคราม แล้วคนก็มาจัดการเขาหลังจากที่มันมีอะไรเกิดขึ้น!”หลังจากนั้นท
วันต่อมา...เฟนด์กับเซเลน่าเพิ่งจะกินอาหารเช้ากันเสร็จตอนที่เบ็นเดินไปหาเบ็นยืนคอตกต่อหน้าพวกเขาก่อนพึมพำว่า “พี่เขย พี่สาว ผมมีอะไรจะบอก เราออกไปคุยกันข้างนอกได้ไหม?”เฟนด์และเซเลน่ามองหน้ากันอย่างสงสัยว่าเบ็นดีขึ้นหรือยัง พวกเขาพยักหน้าและเดินออกไปพร้อม ๆ กันเมื่อเดินออกไปสนาม เบ็นก็พูดว่า “ผมจะตั้งใจหางานทำ แต่ว่าผมไม่ได้จบสูง ๆ มา เลยไม่รู้เลยว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้าง ผมอยากเปิดร้าน แต่ผมไม่มีเงินเลย”เบ็นหยุดพูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นและยืนยันว่า “ผมเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้ในสายตาคนอื่น ผมอยากเติบโต ตอนนี้ผมคิดได้แล้วว่าผมมันเป็นแค่ไอ้โง่ที่สูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์และมองข้ามคุณค่าของมันไป ตอนที่ตระกูลของเรายังจน พี่สาวผมเก็บขยะเพื่อความอยู่รอด แล้วผมก็เอาเงินนั้นมาซื้อวีดีโอเกม...!”เฟนด์และเซเลน่ามองหน้ากัน พวกเขาสังเกตว่าเบ็นโตขึ้นจริง ๆ ในชั่วข้ามคืน เขาคิดและไตร่ตรองสิ่งที่ตัวเองทำมาอย่างรอบคอบ“ผมไม่มีแรงแม้แต่จะต่อยคนที่ขโมยคนรักของผมไป” เบ็นโพล่งขึ้นมา “แม้กระทั่งสู้ให้ชนะอีวานยังทำไม่ได้เลย...!” เบ็นหัวเราะอย่างขมขื่น แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ไม่มีความสนุกสนานอะไรเลย “
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม! พี่สาวออร์คิด พูดมาสองครั้งแล้วนี่...” เอเลนยิ้มตอบก่อนจะเดินไปหาเฟนด์ออร์คิดรู้สึกขายขี้หน้า เอเลนพูดก่อน!“นายท่าน มีอะไรให้รับใช้คะ? กำลังจะไปช้อปปิ้งกับคุณผู้หญิงหรือ? อยากให้เราตามไปคุ้มกันหรือไม่?” เอเลนเข้าไปพูดทันที“น้องชายฉันกำลังจะออกไปทำธุระ พวกเธอตามไปคุ้มกันเขาซะ” เฟนด์ออกคำสั่งเบ็นตกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ไม่ไม่ ผมว่ามันไม่จำเป็นหรอก ผมเป็นผู้ชายนะ ทำไมต้องมีคนคุ้มกัน? สำหรับแม่กับพี่สาวมันปกติที่จะพาบอดี้การ์ดไปด้วย แต่ทำไมผมต้องพาไปด้วย? มันดูแปลกมาก!”“นี่ ดูคุณสิ! มีรอยช้ำอยู่ที่หน้าเห็นได้ชัดเลยว่ามาจากการต่อสู้ กล้าดียังไงมาบอกว่าไม่ต้องการคนคุ้มกันเพราะเป็นผู้ชาย? ฉันว่าคุณน่ะเป็นคนที่ต้องได้รับการปกป้องที่สุดแล้ว!” เอเลนตอบโต้กลับไปอย่างไม่เคารพ เธอขมวดคิ้ว ในที่สุดนักรบสูงสุดก็มอบหมายงานให้เธอ ดังนั้นเธอจะต้องทำมันให้สำเร็จไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอต้องทำผลงานให้ดีที่สุดเบ็นไม่คิดว่าบอดี้การ์ดจะเถียงเขากลับ เขากลอกตาใส่เธอ “ถ้าเป็นอย่างนี้ ฉันไม่ต้องใช้บอดี้การ์ดผู้หญิงสองคนตามไปด้วยใช่ไหม?”“นี่ ดูถูกผู้หญิงไปหรือเปล่า?” เอเลนมองอย่างยั่ว
เบ็นตกตะลึงกับข้อเสนออันแรงกล้าของผู้หญิงคนนี้ เขายิ้มออกมา “ไม่เป็นไร” เบ็นปฏิเสธ “แม้ว่าฉันอยากจะล้างแค้นเหมือนกันก็ตาม แต่ฉันต้องทำเอง”“เอาเถอะ ฉันไม่รู้นะเนี่ยว่าคุณยังมีความกล้าอยู่ด้วย!” เอเลนคิดและแนะนำว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น เวลาว่าง ๆ ฉันจะช่วยฝึกให้คุณแข็งแกร่งขึ้น ว่าไง?”เบ็นเงียบไปก่อนพยักหน้า แปลว่าตกลง “เอาสิ ฉันจะถือว่าได้เพิ่มสมรรถภาพทางร่างกาย!”กลับมาที่คฤหาสน์ แอนดรูว์และฟีโอน่าเดินไปหาเซเลน่าและเฟนด์“เซเลน่า น้องชายไปไหน? ซีน่าไปหาอีวานแล้วจริง ๆ เหรอ? เมื่อคืนเรานอนไม่หลับเลย เรากลัวว่าน้องจะเสียสติและทำอะไรโง่ ๆ ลงไป!” ฟีโอน่าขมวดคิ้ว ใบหน้าเธอดูกังวลอย่างมาก “ดูจากเมื่อเช้าเขาไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยซ้ำ”“ไม่ต้องห่วงนะแม่” เซเลน่ารับรอง ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่น่าเชื่อถือออกมา “หนูว่านี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับน้อง!”“เรื่องดี? คู่หมั้นไปคบกับผู้ชายคนอื่นแล้วเกือบฆ่าเขา ครอบครัวเรากังวลมากแล้วมาบอกว่าเป็นเรื่องดีเนี่ยนะ?” ฟีโอน่าพูดไม่ออก เธอไม่รู้ว่าทำไมเซเลน่าถึงพูดแบบนี้“ฮ่า ๆ! ผู้หญิงแบบนั้นไม่เคยดีสำหรับน้องชายหนู หนูเคยบอกแล้วว่าซีน่าแค่มาเกาะกิน ความสัม
“เฟนด์ ที่สุดคุณก็มา ฉันคิดถึงคุณจังเลย!” ชารอนวิ่งไปหาเฟนด์และกอดแขนเขาอย่างที่เคยทำเฟนด์รู้สึกมีบางอย่างผิดปกติทันที เขาเกือบจะเป็นลมเมื่อมองไปที่ด้านข้างของเขาทำไมชารอนถึงใส่ชุดคอวีลึกแบบนี้?! เห็นได้ชัดเลยว่าเธอกำลังยั่วยวนเขาที่สำคัญไปกว่านั้น ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจทำมันอีกด้วย เธอกอดแขนเขาแน่นและถูเข้ากับหน้าอกอย่างไม่หยุด หากเป็นผู้ชายคนอื่นคงล้มเหลวในการระงับอารมณ์ตัวเองแล้ว“จริงเหรอ? ทำไมคุณถึงคิดถึงผม?” เฟนด์ค่อย ๆ ยิ้มขณะที่ผลักเธอออกไปอย่างเบามือ จากนั้นเขาก็เดินถอยหลังเว้นระยะห่าง“ฉันต้องมีเหตุผลในการคิดถึงคุณด้วยเหรอ?” ชารอนแก้มแดงที่จริงแล้วนี่เป็นความคิดของอีวอนน์ เธอรู้ว่าไม่มีใครชอบสิ่งนี้ เนื่องจากชารอนแสดงความรู้สึกกับเฟนด์ออกมาอย่างชัดเจน อีวอนน์คิดว่าทำให้เธอกล้าแสดงออกได้มากขึ้น ชารอนจึงสามารถแต่งตัววับ ๆ แวม ๆ เช่นนี้ได้นอกจากนั้น อีวอนน์ยังบอกชารอนว่าควรอยู่ใกล้ ๆ เฟนด์ตอนที่เจอ เพื่อให้ ‘ใกล้ชิด’ กันมากขึ้น“โอ้...” อีวอนน์พูดไม่ออกเมื่อเห็นเช่นนี้ เธอเป็นคนขอให้ชารอนรุกเฟนด์ แต่งตัวไม่เรียบร้อยและเข้าไปยั่วเฟนด์ แต่เธอก็ไม่คิดว่าชารอนจะกล้าทำขนาดนั
“ใช่ ทันย่า สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง ฉันรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์และเป็นลูกผู้ชาย ถ้าไม่ใช่แบบนั้นฉันคงไม่ตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น!” พวกเขาตกใจที่ชารอนเข้าหาเฟนด์แม้เขาจะพยายามหนีก็ตามราวกับเธอเป็นแฟนคลับตัวยงเฟนด์รู้สึกเหมือนเขากำลังจะเป็นบ้า “คุณชารอน คุณเป็นผู้หญิงนะ ต้องรักนวลสงวนตัวสิ!” ที่นี่คือบ้านของทันย่า เพราะงั้นเขาทำได้แค่แนะนำเธอมากกว่าจะไล่กลับไปอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนมันจะยากสำหรับเขาที่จะเปลี่ยนใจเธอในเวลาอันสั้นเมื่อได้เห็นเธอรุกเสียขนาดนี้“จริงเหรอ?” ชารอนขมวดคิ้ว “ฉันต้องสงวนไว้เหรอ? คุณจะชอบฉันไหมถ้าฉันสงวนเอาไว้ แต่พี่สาวอีวอนน์บอกว่าผู้ชายชอบผู้หญิงรุก ๆ นี่? เธอพูดอีกด้วยว่าผู้ชายไม่มาไล่ตามผู้หญิงง่าย ๆ ผู้หญิงไปจีบผู้ชายมันง่ายกว่า!”ใบหน้าของเฟนด์นิ่งลง “ฉลาดเหลือเกินคุณอีวอนน์ แถมยังสอนวิธีสร้างความสัมพันธ์ด้วยเหรอ?”อีวอนน์หันไปหาชารอนและโพล่งเสียงดัง “ชารอน ทำไมโง่อย่างนี้? โถ่เอ๊ย!”เมื่อได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชารอนก็พูดอย่างอาย ๆ ว่า “ขอโทษนะ แย่จริง ๆ ฉันประมาทไปเอง!”จากนั้นเธอก็พูดเสริมว่า “ฉันจะจ่ายทุกอย่างเองตอนที่เราออกไปสวนสนุก ค่าอาหารและค่าต
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่านายจะโฆษณางานเลี้ยงวันเกิดของภรรยานายแบบนี้ เฟนด์ ภรรยาของนายจะต้องมีความสุขกับเรื่องนี้แน่ ๆ !” จริง ๆ แล้ว อีวอนน์ก็อิจฉาเซเลน่าในระดับนึง เฟนด์ได้โฆษณาเรื่องงานเลี้ยงไปแล้วก่อนที่งานจะเริ่ม เธอคงตกหลุมรักหัวปักหัวปำแน่ ถ้ามีผู้ชายมาทำแบบนี้ให้“แต่ว่า คำพูดพวกนี้มันสวยหรูมากเกินไป แถมยังมีการนับถอยหลังจนกว่าจะถึงวันงานอีก ที่มากไปกว่านั้น มันยังระบุตรงนี้ไว้อีกว่าคุณคือ ‘คนที่ช่วยชีวิตเทพีแห่งสงครามไว้’ และภรรยาของคุณคือ ‘สาวสวยหมายเลขหนึ่งของตระกูลเทย์เลอร์’…” ทันย่าพูดด้วยรอยยิ้มแบบตึง ๆ บนหน้าของเธอ“คุณไม่คิดว่าคำโฆษณาพวกนี้มันไม่ดูเกินจริงไปหน่อยหรือไง? เพราะแบบนี้ คนทั้งเมืองคงรู้กันหมดแล้ว ว่าคุณเป็นคนช่วยชีวิตเทพีแห่งสงครามเอาไว้”เฟนด์เพียงแค่ยิ้มแห้ง ๆ เท่านั้น แต่ท่าทีของเขาก็ดูหม่นลงเช่นกัน “ผมไม่ได้ทำใบปลิวพวกนี้ ถึงแม้ว่าผมจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ภรรยาของผมเพื่อให้งานนี้สนั่นไปทั้งเมือง และนั่นก็เป็นเซอร์ไพรส์ที่ผมเตรียมไว้ให้เธอ แต่ผมไม่ได้ทำใบปลิวพวกนี้”“อาจจะเป็นคนในครอบครัวคุณรึเปล่า? แม่ของคุณล่ะ? ฟีโอน่า? แอนดรู?” ในตอนแรก ทันย่าเดาว่าเฟนด
“คุณหมายความว่าอะไร ‘แผน’ อย่างงั้นเหรอ? หรือคุณรู้ว่าใครเป็นคนทำ?” ทันย่าถามขึ้นมาทันทีอย่างไรก็ตาม คุณปู่ของทันย่า บอกให้เธอช่วยเฟนด์ด้วยทุก ๆ อย่างที่เธอมี เพราะคน ๆ นี้มีตำแหน่งที่สูงมากเธอรู้สึกราวกับว่าเธอยิ่งไม่รู้จักเฟนด์มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นความรู้สึกประหลาด ๆ ที่ทำให้เธออยากรู้จักเขามากขึ้นไปอีกเธอเชื่อว่าตราบใดก็ตาม ที่เธอยังเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเฟนด์ เธอก็จะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาถ้าให้ตัดสินคำตอบของเฟนด์เรื่องใบปลิวพวกนี้ ดูเหมือนราวกับว่า การโฆษณาพวกนี้ทำขึ้นเพื่อจงใจโจมตีเขาแต่เธอก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าการโฆษณาพวกนี้จะถือว่าเป็นการโจมตีเขาได้อย่างไร“ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ผมสงสัยอยู่คนสองคน ช่างมันเถอะ เราไปกันเถอะ ถึงเวลาเข้าไปข้างในแล้ว เราไปสนุกกันดีกว่า!” เฟนด์ยิ้มอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินไปที่ทางเข้าของสวนสนุกทันย่าขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ขณะที่เธอมองไปที่ร่างของเฟนด์เธอดูออกว่าเฟนด์คาดเดาแล้วว่าใครเป็นคนทำ แต่เขาไม่อยากจะพูดอะไรออกมา“ให้สนั่นไปทั้งเมืองเหรอ?” หลังจากครุ่นคิด ทันย่าก็นึกขึ้นได้ว่า ‘ให้คนรู้ไปทั้งเมือง’ นั่นหมายความ ยิ่งงานนี้ถู
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ