การตำหนิของผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งไม่ได้ทำให้ผู้อาวุโสลำดับที่สองตื่นตระหนก“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คุณกำลังตีความหมายในคำพูดของผมอย่างผิด ๆ ในพวกเรามีใครบ้างที่ยังทะลวงไม่ถึงขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิด ถ้าผมหมายความอย่างที่คุณพูด นั่นไม่เท่ากับว่าผมกำลังต่อว่าตัวเองด้วยงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสลำดับที่สองกล่าวอย่างชอบธรรมเช่นกัน “หากผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดต้องรับศิษย์เพียงคนเดียว เขาจะต้องยอดเยี่ยมในทุกด้าน มูลค่าในการบ่มเพาะก็ถือเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา ความสามารถการบ่มเพาะในขั้นสูงสุดของระดับแรกกำเนิดไม่สูงเท่ากับขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด คุณก็น่าจะรู้เรื่องนี้ดีนี่”ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าไร โอกาสที่สามารถได้รับการฝึกฝนก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่ทุกคนรู้ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งโบกแขนของเขาและพูดอย่างไม่ใยดีว่า "โอลิเวอร์อยู่ในระดับแรกกำเนิดและพรสวรรค์ของเขาก็สูงมาก อีกไม่นานเขาจะลงสมัครรับตำแหน่งศิษย์ที่ถูกเลือกได้ ด้วยข้อเท็จจริงเหล่านี้ คุณยังคิดว่ามูลค่าในการบ่มเพาะของเขายังต่ำอยู่อีกหรือ?”พวกเขาไม่ได้เห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้และพวกเขาจะทะเลาะกันไม่รู้จบเพราะป
ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและผู้อาวุโสที่สองเงียบปากลงในทันที ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พูดถูก พวกเขาอาจต้องทะเลาะกันจนปากเปียกปากแฉะและยังไม่อาจฟันธงได้ว่าใครจะได้เป็นศิษย์ลำดับสุดท้ายนี้ดวงตาของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ยังคงจับจ้องไปที่ผู้ฟัง “คนที่จะได้เป็นสิทธิ์เพียงคนเดียวของฉัน คือใครบางคนที่อยู่ในใจของฉันอยู่แล้ว ฉันเคยบอกแล้วว่าศิษย์เพียงคนเดียวของฉันต้องเก่งในทุกด้านที่ฉันเห็นว่าสำคัญ”เฟนด์ขมวดคิ้ว โนเอลเคยวิเคราะห์และอธิบายประโยคนี้ให้เขาฟังมาก่อน เขาคิดว่าผู้อาวุโสก็อดฟรีย์คงกำลังหมายความถึงศิษย์ที่ใกล้ชิดของเขาจะต้องเป็นเลิศในทุกด้าน เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ สายตาของเขาจึงจับจ้องไปที่โอลิเวอร์และอีกสองคน ซึ่งทั้งหล่อเหลา มีความสามารถ และมีภูมิหลังที่โดดเด่น ดูแล้วไร้ที่ติในทุกด้านในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น เสียงของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ก็ดังขึ้นในหูของทุกคน “พวกเขาสามคนไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันเลยแม้แต่น้อย ฉันมีตัวเลือกอยู่ในใจแล้ว”ร่างกายของทุกคนแข็งทื่อ พวกเขาหันมาจ้องมองผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ทีละคน คนที่กังวลมากที่สุดคือผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและผู้อาวุโสลำดับที่สอง เพราะทั้งสองต่างรู้ดีอยู่แก่ใ
เขายังสงสัยว่าในหมู่ศิษย์ภายในมีคนชื่อเฟนด์ด้วยหรือเปล่า แต่เขาก็หักล้างความคิดนั้นในทันทีที่มันผุดขึ้นมาในสมองของเขา เขารู้ความลับของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ ถึงกระนั้น เขาก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะได้รับความสนใจทั้งที่เขามาที่นี่ในฐานะผู้ชมโนเอลและบรู๊คถึงกับอึ้งไป ทั้งสองยืนอยู่ตรงจุดนั้นด้วยความงุนงงและมีความไม่เชื่อเขียนอยู่ทั่วใบหน้าราวกับเพิ่งรู้ว่าตัวเองถูกรางวัลที่หนึ่งโนเอล หันหน้าไปและเห็นว่าเฟนด์เองก็มีสีหน้าไม่ต่างจากเขา “ผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดเพิ่งเลือกให้นายเป็นศิษย์เพียงคนเดียว…”เสียงของโนเอลแหบลงเล็กน้อย ในขณะที่บรู๊คตกใจจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เวสลีย์เริ่มสะท้าน เขาคิดว่าการที่ผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดประกาศชื่อของเฟนด์ในครั้งแรกเป็นความผิดพลาด แต่เมื่อได้ยินเขาพูดซ้ำเป็นครั้งที่สองโดยเน้นที่ชื่อของเฟนด์อย่างชัดเจน จิตใจของเวสลีย์ก็เริ่มสัมผัสกับคลื่นแห่งอารมณ์“ไม่ มันไม่ใช่เขา! เขามีสิทธิ์อะไรได้เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ด? เขาไม่ได้เข้ามาในตำหนักได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นศิษย์คนสุดท้ายของผู้อาวุโสลำ
เวสลีย์สูดลมหายใจเข้าปอด มุมปากของเขากระตุกไม่หยุด“นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่ ไม่ใช่อย่างแน่นอน! ทำไมผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ถึงเลือกเขาได้ล่ะ?” เขาพูดเสียงแหบ เขาหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง และตบชายที่มีดวงตารูปสามเหลี่ยมอย่างรุนแรงโดยปราศจากการเตือนล่วงหน้าเสียงที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้าง ชายผู้มีดวงตารูปสามเหลี่ยมผงะใบหน้าไปด้วยความตกใจ แต่เขาไม่กล้าปริปากแสดงความโกรธออกมาเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าเขาถูกลงโทษเนื่องจากสิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่ในขณะนี้เฟนด์ไม่มีอารมณ์จะมาใส่ใจอะไรในตัวเวสลีย์ เขาเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะมาพร้อมกับการเป็นศิษย์คนแรกและคนสุดท้ายของเขา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมศิษย์มากมายถึงเดินมาถึงจุดนี้ แต่ผลประโยชน์เหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขาสนใจเสียเท่าไหร่เขาได้เรียนรู้ถึงความสามารถอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษของเขาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้ผู้อาวุโสคนใดมาสอนอะไรเขาเพิ่มอีก ยิ่งไปกว่านั้น ชีวิตของเขาก็มีแต่ความลับเต็มไปหมด และการติดต่อกับผู้อาวุโสก็อดฟรีย์อย่างใกล้ชิดก็จะทำให้เขาเสี่ยงถูกเผยความลับอีกด้วย หากเกิดสิ่งนั้นขึ้นจริงแทนที่จะได้รับประโยชน์เขากลับรู้สึกว่าตัวเองจะต้อง
ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งถึงกับแน่นหน้าอกและนิ้วของเขาสั่นสะท้าน เขาตะคอกด้วยความไร้ความเมตตาและพูดว่า "ผมต้องการเลือกศิษย์ภายในที่ดีที่สุดต่างหาก!"เขาเน้นคำว่า 'ศิษย์ภายใน' เพื่อเตือนผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ว่าในประวัติศาสตร์ของตำหนักสองกษัตริย์ ศิษย์ทั้งหมดได้รับเลือกล้วนมาจากศิษย์ภายใน“ผมจะเลือกใครก็ตามที่ผมพบว่าถูกใจผมที่สุดให้มาเป็นศิษย์คนสุดท้ายของผม” ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงที่ปนไปด้วยรอยยิ้มในเวลานี้แม้แต่ผู้อาวุโสลำดับที่สองก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาชำเลืองมองผู้อาวุโสก็อดฟรีย์และพูดว่า "เอาล่ะ ฮ่า ๆ ตลกมากเลย เราเข้าใจแล้ว ทีนี้ก็เลิกล้อเล่นและเอาจริงสักทีเถอะ"เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสลำดับที่สองไม่เห็นด้วยกับการเลือกของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เช่นกัน จากวิธีที่เขาพูดเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นได้แค่เรื่องตลก ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์หัวเราะเยาะอยู่ในใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ปกติเขาจะไม่ตอบโต้อะไรกลับไปเพราะเขาแน่ใจว่าผู้อาวุโสลำดับที่สองรู้ดีอยู่แล้วว่าตลอดเวลาที่เขาเสวนาด้วยเขาไม่เคยล้อเล่นกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่ครั้งเดียวอันที่จริง เขาไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้อาวุโสลำดับที่สองถึงต้องการให
ด้วยเหตุนี้ ศิษย์จำนวนมากจึงไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าโล่มนุษย์เป็น 'สิทธิ์ร่วมสำนัก' ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจินตนาการถึงความโกรธของพวกเขา เมื่อพวกเขาพบว่าเฟนด์ไม่ได้เป็นแค่ศิษย์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์ภายนอกที่มาจากฝูงโล่มนุษย์อีกด้วย!การวิพากษ์วิจารณ์ต่อกันเกี่ยวกับพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่นของผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดนั้นมีกระฉ่อนไปทั่ว เขาล้อเล่นหรือเปล่า? เขาจะเลือกขยะอย่างเฟนด์ให้ขึ้นมาเป็นศิษย์คนสุดท้ายได้อย่างไร? แล้วกับพวกเขาที่เข้ามาก่อนล่ะ?หลายคนไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้และเริ่มซุบซิบกันอย่างดุเดือด“ผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ดคิดอะไรอยู่? ทำไมเขาถึงเลือกเดนมนุษย์แบบนั้นในเมื่อเขาสามารถเลือกศิษย์ภายในที่ยอดเยี่ยมที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้”“ฉันพนันได้เลยว่าเขาไม่เคยต้องการศิษย์คนสุดท้ายเลยแม้แต่น้อย เพราะงั้นเขาถึงได้เลือกหมอนี่เพื่อหนีจากการรับศิษย์!”“การเลือกศิษย์คนสุดท้ายไม่ใช่เรื่องเล็กเสียหน่อย แม้ว่าผู้อาวุโสที่สิบเอ็ดจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเรามากนัก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมาล้อเล่นเรื่องแบบนี้ได้ บางทีเขาอาจมีเหตุผลของเขา แต่ต่อให้หาคำตอบไปทั้งชีวิตก็คงไม่รู้คำต
ผู้อาวุโสลำดับที่สองเย้ยหยันเบา ๆ และหันความสนใจไปที่เฟนด์ เขาเย้ยหยันอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางไม่แยแสต่อสิ่งใดของเฟนด์“นายคือเฟนด์ใช่ไหม?”มุมปากของเฟนด์กระตุก สิ่งที่เขากลัวกำลังเกิดขึ้น เขาไม่อยากอยู่ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของคนพวกนี้ เขายังคงเป็นศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์ และผู้อาวุโสเหล่านี้อาจทำให้ชีวิตของเขาลำบากมากหากเขาต้องตกเป็นเบี้ยในกระดานของคนพวกนี้เขาพยักหน้าอย่างมีชีวิตชีวาและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสลำดับที่สอง นั่นคือชื่อของผมเอง”“เธอดูไม่ค่อยยินดีเท่าไหร่เลยนะที่ได้รับเลือกให้เป็นศิษย์คนสุดท้ายของผู้อาวุโสลำดับที่สิบเอ็ด” ผู้อาวุโสลำดับที่สองให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเฟนด์ขมวดคิ้ว เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ผู้อาวุโสลำดับที่สองพูด เขามั่นใจว่าเขาไม่อาจจัดการกับอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย อันที่จริงเขาอาจจะขาอ่อนจนล้มทับไปแล้ว แต่โชคดีที่เขาเคยรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้มาก่อนเฟนด์โค้งคำนับเล็กน้อยและพูดอย่างใจเย็น "พ่อของผมสอนให้ผมสุขุมต่อทุกสถานการณ์"โอลิเวอร์ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขารู้สึกว่าคำพูดของเขาเป็นการไม่ให้เกียรติผู้อาวุโส เขาจ้องไปที่เฟนด์และ
เมื่อเห็นการให้กำลังใจในแววตาของผู้อาวุโสก็อดฟรีย์ ทำให้เฟนด์ไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ 'คุณจะมาให้กำลังใจผมทำไม? ผมไม่เคยอยากเป็นศิษย์คนสุดท้ายของคุณหรืออยากได้อะไรจากคุณเลย!' ยิ่งเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกหม่นหมองมากขึ้นเท่านั้นหากเขาถอยกลับ เขาจะถูกคนอื่นดูถูกมากยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงยืนตัวตรงขึ้นเล็กน้อย มองตรงกับไปยังโอลิเวอร์และพูดว่า “ก็ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกไม่พอใจผมคุณคงไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมาหรอก! หยุดพยายามใส่ร้ายผมได้แล้ว อีกอย่าง ผู้อาวุโสก็อดฟรีย์เป็นคนเลือกศิษย์คนสุดท้าย ไม่ใช่คุณ! เพราะงั้นคุณควรจะหุบปากเอาไว้เสียจะดีกว่า!”ทุกคนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แต่ดวงตาของพวกเขาก็เริ่มเป็นประกายอย่างรวดเร็วด้วยความคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป พวกเขาจะไม่คิดเลยว่าต่อให้ต้องเกิดใหม่อีกสิบชาติจะมีใครกล้าพูดกับโอลิเวอร์ในลักษณะนี้อีกหรือเปล่า?นี่เป็นครั้งแรกที่โอลิเวอร์ถูกศิษย์ภายนอกสบประมาท มุมปากของเขากระตุกและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เวสลีย์ซึ่งยังคงยืนอยู่แถวหน้าของศิษย์ภายนอกโกรธมากจนเกือบจะพุ่งตัวเข้าไปทุบตีเฟนด์อย่างไร้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ