“อำนาจทั้งหมดของโลกนี้อยู่ในมือของตำหนัก พ่อคิดว่าผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของเซนิธ ซัน ซิตี้ นั้นอยู่ในระดับแรกกำเนิดเท่านั้น และเป็นเจ้าเมืองเซนิธ ซัน ซิตี้ก็อยู่ในขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด ปรมาจารย์ที่อยู่ในขั้นสูงของระดับแรกกำเนิดหรือคนที่แข็งแกร่งกว่าระดับนี้ยังคงอยู่ในตำหนัก มีเพียงตำหนักเท่านั้นที่มีทรัพยากรมากพอสำหรับการรองรับการฝึกของพวกเขา พูดตามตรง เซนิธ ซัน ซิตี้ เป็นเพียงเมืองของคนเดินดินเท่านั้น” เฟนด์พยักหน้าอย่างช้า ๆหากคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้อยู่เพียงขั้นกลางของระดับแรกกำเนิด ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจพาไคลี่ออกไปหาความสำราญ ตราบเท่าที่เขาระมัดระวังตัว ปัญหาก็จะไม่มาถึงพวกเขาไคลี่มีความสุขมากเมื่อได้ยินว่าพ่อของเธอจะพาเธอออกไปเดินเล่น เพราะเธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบ แม้ว่าเธอจะถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าญาติมิตรในมัสตาร์ด ซี๊ดแต่เธอก็ยังรู้สึกเบื่อเฟนด์พาไคลี่ออกจากโรงแรม ทั้งสองคนไม่ได้ไปวุ่นวายกับใคร ยิ่งกว่านั้นสถานที่นี้ก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนและอุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้ง่าย เฟนด์ได้แต่พาไคลี่ไปที่ถนนไม่ไกลกับที่พักแม้ว่าท
เฟนด์ซื้อหมั่นโถวให้ไคลี่สองลูกและเธอยังถือมันอยู่ในมือเพราะเธอยังไม่มีโอกาสได้กินเลยสักคำ เฟนด์ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แต่ไคลี่มีจิตใจที่บริสุทธิ์ เธอโยนหมั่นโถวในมือให้กับคนที่มีคำสาปอยู่เต็มใบหน้าคนผู้นั้นยัดหมั่นโถวเข้าปากทันทีที่ได้รับ ดูเหมือนว่าคน ๆ นี้จะไม่ได้กินมานานแล้ว “ขอบคุณ พวกคนทั้งสองคน” เขาพูดอย่างล้นเหลือขณะที่เขากิน “ขอบคุณมาก พวกคุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม?”ไคลี่ไม่ได้จะช่วยพวกเขา แต่เฟนด์ก็ไม่ได้โง่ เห็นได้ชัดว่าบุคคลนี้ได้ยินการสนทนาของพวกเขา และนั่นคือสาเหตุที่จู่ ๆ เขาก็เพิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือจากไคลี่ คนผู้นี้มีหูที่มีประสิทธิภาพขนาดนี้เชียวหรือ? ไคลี่พูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา แต่พวกเขาซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่มากกลับได้ยิน แต่ก่อนที่เขาจะมีโอกาสทบทวนเรื่องนี้ให้กระจ่าง เขาก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันดังมาจากระยะไกล “กล้าดียังไงมาให้อาหารทาสของฉันแบบนี้?!”คนรอบข้างต่างก็จ้องมองคู่พ่อลูกอย่างช่วยอะไรไม่ได้ หญิงวัยกลางคนพูดกับเฟนด์อย่างฉุนเฉียว “พ่อหนุ่ม เธอเพิ่งมาอยู่ในเมืองนี้งั้นเหรอ? ทำไมถึงไม่รู้กฎของที่นี่?”เฟนด์ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังจากที่เขาได้ยินสิ่งนี้
เฟนด์ตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่วอร์เรนพูด เขาไม่คิดเลยว่านายน้อยลำดับหนึ่งของเจ้าเมืองจะกร่างไปทั่วเช่นนี้ ถ้าเขาต้องการเขาจะตัดมือใครก็ได้! เห็นได้ชัดว่าวอร์เรนไม่อยากเสียเวลาคุยกับเฟนด์อีกเขายกแขนขึ้น และออร่าที่แข็งแกร่งก็เปล่งออกมาจากร่างกายของเขาคนผู้นี้อยู่ในขั้นต้นของระดับแรกกำเนิดแล้ว และมียอดฝีมือสักกี่คนในซัน ซิตี้ที่คู่ควรกับเขา เสียงกระซิบกระซาบกันของผู้คนเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มดังจนลอยเข้าหู “นายน้อยลำดับที่หนึ่งของเจ้าเมืองเพิ่งได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ภายนอกของตำหนักสองกษัตริย์เมื่อปีที่แล้ว ฉันได้ยินมาว่าเขาสะดุดตาผู้อาวุโสจากตำหนักสองกษัตริย์และกำลังฝึกฝนทักษะยุทธระดับสูงอยู่ด้วย!”“พ่อหนุ่มคนนี้โชคไม่ดีเลย น่าเศร้า เร็ว ๆ นี้นายน้อยลำดับหนึ่งของเจ้าเมืองกำลังอารมณ์ไม่ดี และเขาก็ต้องการระบายความโกรธใส่ใครสักคน”การสนทนาทุกรูปแบบลอยเข้าหูของเฟนด์และทำให้เขายิ่งโกรธ อันที่จริงวอร์เรนก็แค่พยายามหาเรื่องที่จะสร้างปัญหา และเฟนด์ก็บังเอิญอยู่ผิดที่ผิดเวลา วอร์เรนหยิบดาบสีเงินออกมาจากแหวนเก็บของและชี้ไปที่ใบหน้าของเฟนด์“ถ้านายตัดมือทั้งสองข้างออกเสียตั้
ณ จุดนี้ทุกคนเริ่มไว้อาลัยให้กับเฟนด์อย่างเงียบ ๆ ถึงอย่างไรวอร์เรนก็เป็นถึงผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังแม้ว่าตัวตนของเขาจะถูกมองข้าม แต่เขาก็เป็นถึงศิษย์ภายนอกของตำหนักสองกษัตริย์และฝึกฝนทักษะยุทธขั้นเลิศระดับอำพัน ผู้ฝึกยุทธทั่ว ๆ ไปเทียบเขาไม่ได้หรอกแต่ผู้ชมไม่ได้โง่ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเฟนด์ดูคล้ายจะไม่สะทกสะท้านต่อทักษะยุทธอันทรงพลังที่วอร์เรนแสดงออกมา พวกเขาก็นึกสงสัยทั้งที่อีกใจก็นึกสมเพชเฟนด์ไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังอีกคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ?ความคิดดังกล่าวผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของผู้คนก่อนที่พวกเขาจะปฏิเสธความคิดนั้นอยู่ในใจ เฟนด์ไม่ใช่คนของเซนิธ ซัน ซิตี้ และเขาอาจไม่เข้าใจถึงน้ำหนักของชื่อตำหนักสองกษัตริย์การนิ่งเฉยของเฟนด์ทำให้วอร์เรนซึ่งโกรธจัดอยู่แล้ว ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เขาเย้ยหยันอย่างเย็นชาและพิพากษาการตายให้เฟนด์อย่างเงียบ ๆดาบสีเงินในมือของเขาเปล่งแสงสีเงินเย็นยะเยือกออกมาในขณะที่ฟันเข้าหาเฟนด์ เมื่อมองดูแสงจากดาบอย่างละเอียด จะพบว่ามีระลอกคลื่นไหลเวียนอยู่ในนั้น นี่แสดงได้ถึงการรวบรวมพลังอันแข็งแกร่ง ผู้คนที่ยืนอยู่รอบ ๆ เฟนด์รีบถอยออกห่าง
หลังจากที่แสงสีดำผ่าเข้าที่แขนของวอร์เรนมันก็ทำให้เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นไปในทันที เนื้อหนังภายใต้เสื้อผ้าของเขาก็ถูกลำแสงนี้ฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ในพริบตาเศษเนื้อและเลือดปลิวสะพัดไปทั่ว และวอร์เรนก็ได้แต่คุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเจ็บปวดความเจ็บปวดที่เขาประสบไม่ใช่แค่ทางร่างกายเท่านั้น มันทำให้เขารู้สึกราวกับวิญญาณของเขาถูกฉีกออกจากกัน เมื่อทุกคนเห็นสถานการณ์ที่น่าเศร้าของวอร์เรน ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างและจ้องมองคนทั้งสองด้วยความไม่เชื่อ โดยเฉพาะสายตาที่มองมายังเฟนด์ทุกคนมองว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในของระดับแรกกำเนิดเท่านั้น แต่เหตุใดพวกเขาถึงต่างกันมากขนาดนี้ เฟนด์ปล่อยแสงสีดำออกมาเพียงครั้งเดียว และไม่เพียงแต่เขาจะสามารถเอาชนะการโจมตีของวอร์เรนได้เท่านั้น แต่เฟนด์ยังทำให้แขนของเขาบาดเจ็บจนไม่เป็นชิ้นดีอีกด้วยเมื่อพิจารณาจากอาการบาดเจ็บของวอร์เรนแล้ว เขาคงไม่อาจรักษาให้หายได้ภายในเวลาอันสั้น เฟนด์ไม่แปลกใจกับสถานการณ์ที่น่าเศร้าของวอร์เรน เฟนด์แอบถอนหายใจแทน 'การควบคุมทักษะนี้ของฉันยังไม่ดีพอ และฉันก็ควบคุมพลังงานของการโจมตีนี้ได้ไม่ดีพอ ฉันเล็งไปที่หน้าอกแต่ดันไปโดน
นักรบในชุดเกราะสีเงินรู้สึกโล่งใจเมื่อสังเกตเห็นว่าเฟนด์ยืนนิ่งไม่ไหวติง และจ้องมองพวกเขาอย่างเงียบ ๆ เหตุผลหลักคือเฟนด์กำลังแสดงให้เห็นว่าเขาทรงพลังเพียงใดและนายทหารทั้งสองคนก็หวาดกลัวเขาในตอนนั้นเอง วอร์เรนตะโกนใส่ทหารทั้งสองอย่างโกรธเกรี้ยว “รีบไปหายาให้ฉันสิ! พวกนายตาบอดกันทั้งคู่เลยหรือไง?!"วอร์เรนกัดฟันพูด เขาเจ็บปวดราวกับจะเป็นลม เสียงคำรามของเขาทำให้นักรบทั้งสองในชุดเกราะสีเงินสั่นสะท้าน ก่อนที่พวกเขาจะตระหนักได้ว่านายน้อยของพวกเขายังไม่ได้โอสถที่จำเป็นจากนั้นทั้งสองก็พยุงช่วยวอร์เรนขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็หยิบยารักษาศักดิ์สิทธิ์สำหรับใช้ทั้งภายในและภายนอกออกมาจากแหวนเก็บของ สีหน้าของวอร์เรนดูดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่พวกเขาดูแลบาดแผลให้ถึงกระนั้น สีหน้าของเขาก็ยังคงซีด และผู้คนก็มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากขึ้น แต่พวกเขาทุกคนรู้ว่าวอร์เรนกำลังอารมณ์ไม่ดีและไม่มีใครกล้าทำให้เขาโมโห ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆวอร์เรนหายใจเข้าลึก ๆ และจ้องมองเฟนด์ดวงตาแดงก่ำอันโหดเหี้ยมของเขา "นายเป็นใครกัน และนายเป็นสมาชิกของกองกำลังใดกันแน่! นายไม่ได้มาจากตำห
มุมปากของวอร์เรนสั่นสะท้าน และแววตาของเขาดุดันราวกับดวงตาของหมาป่าที่หิวโหย เฟนด์เพิกเฉยต่อการแสดงออกทางสีหน้าที่ดูมืดมนของวอร์เรนเฟนด์ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า "ความอดทนของผมมีจำกัด คุณควรไปได้แล้ว มิฉะนั้นผมจะฆ่าทั้งคุณและก็ลูกน้องของคุณด้วย"สิ่งที่วอร์เรนพูดเรื่องที่จะให้ไคลี่ไปเป็นสาวใช้ของเขาทำให้เฟนด์โกรธเกินกว่าข่มใจไว้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเฟนด์เพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน และไม่ต้องการก่อปัญหา เขาคงลงมือฆ่าวอร์เรนไปแล้วใบหน้าของวอร์เรนแดงก่ำเพราะถูกพูดหยาบคายใส่ แต่เมื่อมองดูพฤติกรรมของเฟนด์ วอร์เรนก็ตระหนักได้ว่าเขาอาจจะตายขึ้นมาจริง ๆ หากเขายังอยู่ที่นี่ ดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่เขาจ้องไปที่ใบหน้าของเฟนด์ ดูราวกับว่าต้องการที่จะจดจำใบหน้าของเฟนด์เอาไว้ในความทรงจำของเขา"ไปกันได้แล้ว!" หลังจากนั้น เขาก็เอ่ยปากสั่งนักรบในชุดเกราะสีเงิน และทั้งสามคนก็จากไปอย่างสลดใจ เขารีบร้อนเสียจนดูคล้ายกับถูกสุนัขไล่“พ่อ พ่อสุดยอดมากเลย! เพราะทำให้ผู้ชายคนนั้นกลัวจนหัวหดแล้ว!” ไคลี่ตะโกนตามหลังเฟนด์ด้วยสีหน้าตื่นเต้นเฟนด์หัวเราะเบา ๆ และยื่นมือออกไปเกลี่ยผมของไคลี่ "เอาเถอะ ๆ กลับกันไ
เมืองสองกษัตริย์คึกคักเพราะตำหนักสองกษัตริย์ ตามกฎของพวกเขา ผู้ที่จะเข้ามายังเมืองสองกษัตริย์ได้จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ พวกเขาต้องมีพรสวรรค์หรือไม่ก็ทรงพลังอย่างมากไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องเป็นคนท้องถิ่นของเมืองสองกษัตริย์ไม่อย่างได้ก็อย่างหนึ่ง เนื่องจากศึกระหว่างพวกเขากับเผ่าปฐมหายนะ เมืองสองกษัตริย์จึงผ่อนปรนเงื่อนไขในการเข้าสู่เมืองของตนลงแต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวไม่มีผลต่อสมาชิกของตำหนักสองกษัตริย์ วอร์เรนเป็นศิษย์ของตำหนักสองกษัตริย์มาระยะหนึ่งแล้ว และหากเขาต้องการเข้าเมืองก็จะไม่มีใครหยุดเขาได้แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงศิษย์ภายนอก แต่เขาก็เป็นในด้านการเลียแข้งเลียขา และยังชอบเอาอกเอาใจคนอื่นอยู่เป็นนิจ ดังนั้นเขาจึงมีภาพลักษณ์ที่ดีสำหรับตำหนักหลังจากที่เขาเข้าไปในเมืองสองกษัตริย์เขาก็ตรงไปที่บ้านขนาดกลางหลังหนึ่งในทันที เจ้าของบ้านหลังขนาดนี้ในเมืองสองกษัตริย์ย่อมเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์พิเศษอย่างแน่นอนหลังจากที่เขาได้รับเชิญเข้าไปในห้องโถง เขาก็เห็นเซฟ กริฟฟินนั่งอยู่ข้างโต๊ะแปดเหลี่ยมขณะกำลังดื่มชา เซฟไม่ใส่ใจที่จะเงยหน้าขึ้นมองการมาถึงของวอร์เรนและทักทายวอร์เรนด้วยการพยัก
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ