"ผู้อาวุโสลำดับสามกับนายหญิงคนแรก มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? ตระกูลสาขาให้อะไรกับพวกเรามามากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่พวกคุณก็แอบเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของพวกเขาไปมากเลย!" ผู้หญิงคนหนึ่งของตระกูลวู๊ดก้าวขึ้นมา ใบหน้าเธอซีดด้วยความโกรธ"ใช่ เห็นแก่ตัวมาก จะต้องการทรัพยากรมากขนาดนั้นไปทำไม? เพราะทำไม่สำเร็จขนาดนั้นใช่ไหม?" ชายวัยกลางคนอีกคนก็ก้าวเข้ามาข้างหน้าเช่นกัน พวกเขาคือสมาชิกของตระกูลวู๊ด และขัดขวางการกระทำของลิลลี่ไม่ได้"ฮึ่ม! ตระกูลสาขาก็ควรจะรับใช้เราตระกูลหลักอยู่แล้ว ถ้าฉันขอมากกว่านี้มันจะทำไม?" ลิลลี่พูดอย่างไม่พอใจ "นอกจากนั้น พวกแกก็ไม่ได้แข็งแกร่งนักหรอกถ้าตระกูลลาโกริโอไม่สนับสนุน ถึงเวลาที่ตระกูลวู๊ดจะตอบแทนตระกูลลาโกริโอแล้ว เอาจริง ๆ นะ ฉันส่งทรัพยากรไปให้ตระกูลลาโกริโอแล้ว""ลิลลี่ ลาโกริโอ นี่มันมากเกินไปแล้ว!" แนชโกรธจนหน้าเขียว เขามองเธอด้วยความโกรธขณะพูด "มันจริงที่ตระกูลลาโกริโอช่วยเราไว้ตอนที่เราอ่อนแอ แต่เราก็ได้ช่วยพวกคุณเช่นกันในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าทำไมตระกูลลาโกริโอถึงไม่เติบโตไปไหนสักที? เพราะพวกเธอต้องทรมานกับความตายมากมายในตอนที่แอบไปสู้ก
"ออร่าแข็งแกร่งอะไรขนาดนี้! นี่มันเป็นออร่าที่อลังการที่สุดในหมู่ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดของระดับเทพแท้จริงเลยนะ!" ชายชราอุทานหลังจากเห็นออร่านั้น"ใช่! ทำไมนายท่านบินได้ง่ายขนาดนั้น? นอกจากนี้ ผิวของเขาก็ไม่เหมือนโดนยาพิษอีกแล้ว เขาดูสดชื่นขึ้นมาก!" หนึ่งในผู้พิทักษ์ตื่นเต้นอย่างมากและเหมือนจะมีความหวังขึ้นมา เป็นไปได้ไหมว่านายท่านจะสบายดี? เหมือนว่าเขาไม่เคยมีอาการอะไรมาก่อนเลย!"เกิด... เกิดอะไรขึ้น? มันโดนวางยาไม่ใช่เหรอ?" ลิลลี่พูดไม่ออกขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธอมองแนชอย่างตกตะลึง"เป็นไปไม่ได้! ทำไมแก..." ผู้อาวุโสลำดับสามตกใจมากจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวและสีซีด แม้ว่าเขาจะอยู่ขั้นสูงสุดของเทพแท้จริงแล้ว แต่ฝีมือก็ยังห่างไกลจากแนชเพราะเขาเพิ่งจะบรรลุ แนชอยู่ที่ตรงนี้มานานสองสามปี พลังการต่อสู้ของเขาดีกว่าเวดแน่นอนนอกจากนั้น บาดแผลของผู้อาวุโสลำดับแรกและลำดับสองก็ไม่ได้เจ็บหนักจนตาย เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขายังต่อสู้ได้ เวดคงสู้ไม่ไหวหากเจอทั้งสามคนแนชไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะเมตตา เขาชี้ลิลลี่และคนที่สนับสนุน "ฆ่าคนพวกนี้ซะ เอาไอ้แก่เวดนั่นมาให้ฉัน!""แนชวู๊ด แกกล้าดียังไง?! ฉันคือนายห
พ่อของฮัดสันมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาพลิกมือขึ้นและฝ่ามือก็มีดาบปรากฏขึ้นมา "สู้... สู้เพื่อทางรอดของเรา!""ฆ่ามัน!" คนที่อยู่ข้างลิลลี่รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว พวกเขาเลยรีบวิ่งเข้าไปต่อสู้แนชยิ้มอย่างเย็นชาและพูดกับเวดว่า "เวด วู๊ด ฉันแน่ใจว่าทั้งแกกับลิลลี่ไม่รู้ว่าเฟนด์ ลูกชายของฉันรักษาฉันจากการโดนยาพิษได้ ใช่ไหม?"ลิลลี่คิดได้และท่าทีของเธอก็นิ่งลง "ครั้งล่าสุดที่เฟนด์ออกไปคือหาสมุนไพรมาล้างพิษให้แก...? มันรู้ได้ไงว่าแกโดนยาพิษ?""ฮ่า ๆ ! ลูกชายฉันคือผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เขามีแผนวิธีการรักษา!" แนชหัวเราะและกำดาบในมือแน่น เขาเปลี่ยนเป็นพลังฉีและโบกดาบออกไป "เพลิงฟาดฟัน!"ขณะที่แนชวาดดาบออกไป ก็มีออร่ามันแสนดุร้ายออกมาจากการวาดนั้น พลังฉีและออร่าดาบของเขารวมเข้าด้วยกันเหมือนเพลิงไฟ และยังดูคล้ายกับอุกกาบาตหางยาว ๆ เมื่อพุ่งไปข้างหน้า"เยี่ยม มันใช้ทักษะขั้นต้นของระดับสองแล้ว!" ผู้อาวุโสลำดับสามนิ่งลงเมื่อเห็นการโจมตีนี้ เขากัดฟันและแสดงออกมาบ้าง ในไม่ช้าก็มีการวาดดาบออกไปเช่นกันตูม!การโจมตีอันทรงพลังของทั้งสองดังขึ้นพร้อมเสียงฟ้าร้อง เกิดเป็นคลื่นพลังกระเพื่อมไปรอ
ตูม!หลังจากมีการระเบิดหลายครั้ง คนที่อยู่ฝั่งลิลลี่กับผู้อาวุโสลำดับสามก็โดนฆ่าตายหมด เหลือเพียงแค่ลิลลี่เท่านั้นที่บาดเจ็บสาหัส เธอนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าไม่พอใจแนชบินกลับมาพร้อมกับเวดที่บาดเจ็บสาหัส จากนั้นเขาก็โยนเวดทิ้งลงพื้น"ทำไม? แนช วู๊ด แกตั้งใจจะทำให้ฉันขายขี้หน้าก่อนจะฆ่าทิ้งใช่ไหม?" เวดที่นอนเปลี้ยอยู่บนพื้นมองหน้าแนชอย่างจงเกลียดจงชัง "ฉันคำนวณทุก ๆ ขั้นตอนมาแล้ว ไม่คิดว่าลูกชายแกจะมีทักษะการแพทย์สูงขนาดนี้ ไม่ใช่แค่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติอยู่ในร่างกายแกนะ แต่ยังรักษาหายได้ด้วย ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดขึ้น ฉันก็ได้ตำแหน่งนายท่านของตระกูลวันนี้ไปแล้ว!""ฮ่า ๆ... ฉันพาแกกลับมาโดยที่ไม่คิดจะทำให้แกขายขี้หน้าเลยสักนิด ผู้อาวุโสลำดับสาม แกจินตนาการมากเกินไปแล้ว ฉันพาแกกลับมาเพราะอยากฆ่าแก ไอ้คนบาป ฆ่าแกต่อหน้าบรรพบุรุษตระกูลวู๊ด!" แนชหัวเราะและยกดาบขึ้น"คนบาป?" ไม่มีใครคิดว่าเวดจะหัวเราะออกมาดัง ๆ ในตอนนั้น "ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบาปหรืออะไรหรอกนะ อย่างคำกล่าวที่ว่า 'ผู้ใดที่มีความสามารถ ผู้นั้นย่อมได้สวมมงกุฏ' โลกดำเนินการไปตามขนาดของกำปั้นผู้คนว่ามันใหญ่แค่ไหน แล้วมันก
อั่ก!ลิลลี่กระอักเลือดออกมาและพลังยุทธของเธอก็ถูกทำลายออกไป"แกนี่มันใจร้ายจริง ๆ แนช...! แกทำลายพลังยุทธของฉันเหรอ?!" ลิลลี่หันไปมองแนช ดวงตาเธอมีแต่ความเกลียดชัง "เราอยู่ด้วยกันมามากกว่ายี่สิบปี ฉันไม่คิดเลยว่าแกมันจะใจร้ายใส่กันขนาดนี้!""ฉันปล่อยให้เธอรอดเพราะความสัมพันธ์ยี่สิบกว่าปีของเรานี่แหละ ฉันจะให้สมาชิกของตระกูลลาโกริโอส่งเธอกลับไป แต่เธอควรจะระวังตัวไว้ให้ดีตอนที่ไป" แนชพูดขณะกอดอกอย่างไร้ความปราณี"ให้ผมพาเธอกลับไปเองเถอะ" ผู้อาวุโสของตระกูลวู๊ดคนหนึ่งที่มีนามสกุลลาโกริโอก็รู้สึกแย่กับลิลลี่แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกของตระกูลวู๊ด และเต็มใจที่จะทำงานให้ตระกูลวู๊ด"แนช วู๊ด จำที่แกทำกับฉันในวันนี้เอาไว้ ฉันจะเกลียดแกไปตลอดชีวิต และฉันจะทำให้แน่ใจว่าแกจะต้องเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าฉัน!" สีหน้าของลิลลี่ซีดขณะที่ยืนขึ้น เธอเช็ดเลือดที่มุมปากและผู้อาวุโสจากตระกูลลาโกริโอก็ช่วยพาเธอออกไปแนชมองศพบนพื้นและแอบถอนหายใจหลังจากที่ลิลลี่เดินออกไปแม้ว่าคนพวกนี้จะสมควรตาย แต่ก็มีปรมาจารย์มากมายอยู่ในนั้น ตระกูลวู๊ดสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียว โดยเฉพาะปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งอย่างผู้อาวุโสล
"เทพแท้จริงขั้นกลางและคนจากตระกูลสาขาจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหลักได้ไหมครับ?" แลนเซล็อตตื่นเต้นอย่างมากเมื่อได้ยินข่าวนี้ เขาก็มีความสามารถที่สูงกว่าหลาย ๆ คนในตระกูลสาขา จนถึงขั้นกลางของเทพแท้จริงเห็นได้ชัดเลยว่าเขาผ่านข้อกำหนดทั้งหมดเขาจะได้ค่าแรงดีมากถ้าได้เป็นผู้อาวุโสในตระกูลหลัก ไม่ใช่แค่เขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องของตระกูลสาขาอีกต่อไป แต่เขายังได้ทรัพยากรเสริมทักษะยุทธมาฝึกด้วยตัวเองอีก เขาจะได้เพิ่มระดับความสามารถและสนุกกับการใช้ทรัพยากรการฝึกที่สำคัญที่สุดคือไม่เคยมีคนจากตระกูลสาขาที่ได้มาในตระกูลหลักและกลายเป็นผู้อาวุโสได้การตัดสินใจนี้ของแนชเป็นการทำลายกฏเก่า ๆ ทิ้งไปนี่ไม่ใช่เรื่องดีของตระกูลหลัก แต่เป็นเรื่องดีของสมาชิกในตระกูลสาขาสุดท้ายแล้ว ถ้าใครในพวกเขาได้มาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหลัก ก็จะมีโอกาสแนะนำหรือมีสิทธิโหวตในตอนที่มีการประชุมที่สำคัญ เสียงของเขาอาจจะสำคัญในปัญหาบางเรื่องพวกเขาช่วยปรับปรุงสวัสดิการของตระกูลสาขาได้ด้วยซ้ำ"แน่นอน ฉันต้อนรับทุกคนที่อยู่ในขั้นกลางของเทพแท้จริง และยินดีให้เป็นผู้อาวุโสของเราได้!" แนชพยักหน้าอย่างพอใจและพูดด้วยรอยยิ้ม "ฉัน
เมสันพูดอย่างตื่นเต้น "นายท่าน งั้นผมตัดสินใจแล้ว!""เยี่ยม ที่ตัดสินใจได้เลย!" แนชยิ้มและพูด"ผมคิดว่าถ้าทุกคนค้างคืนและค่อยกลับพรุ่งนี้จะดีที่สุด ผมจะกลับไปกับทุกคนเพื่อเกณฑ์อัจฉริยะบางคนมา ผมต้องเลือกแค่สองหรือสามจากตระกูลสาขามา จากจำนวนคนในตระกูล ผมจะเลือกสามคนในตระกูลใหญ่ และเลือกสองคนในตระกูลเล็ก!" เฟนด์คิดและพูดกับแลนเซล็อตและคนอื่น ๆ "ฮ่า ๆ เยี่ยมเลย! นี่คือข่าวดีมาก!" ทุกคนมีความสุข แม้ว่าตระกูลวู๊ดจะสูญเสียไปครั้งใหญ่ แต่การตัดสินใจนี้ของแนชก็ทำให้ทุกคนจากตระกูลสาขามีความหวังขึ้นมา นอกจากนี้ พวกเขายังมีคำดี ๆ กลับไปบอกตระกูลของตัวเองอีกด้วยทุกคนกลับมาที่พักของตัวเองหลังจากเก็บกวาดศพ"ที่รัก ฉันคิดถึงไคลี่กับคนอื่น ๆ !" ในตอนเย็น เซเลน่าพูดขณะที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเฟนด์เฟนด์ยิ้มอย่างขมขื่นและพูด "ใช่ ผมก็คิดถึงลูกและอยากพาพวกเขามาด้วย แต่น่าเสียดายที่ผมไม่อยากพามาเพราะตระกูลวู๊ดยังแก้ไขปัญหาไม่ได้!"เฟนด์หยุดก่อนจะพูดต่อ "แล้วถ้า พรุ่งนี้ล่ะ? ผมจะขอให้ลาน่ากับอีธานกลับไปพร้อมกับคุณ คุณจะพาพวกเขามาหมดเลยก็ได้ คุณถามแอ็บเนอร์กับแซมว่าอยากมาฝึกหรือไม่ก็ได้ ถ้าพวกเขาเต็ม
"อะไรนะ? เป็นทายาทของตระกูลวู๊ด? เฟนด์ที่นายพูดถึงน่ะเหรอ คนที่เพิ่งมาจากโลกภายนอกน่ะเหรอ?" ดวงตาของชายหนุ่มมีแต่ความประหลาดใจทันทีที่ได้ยิน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้หวังว่าเฟนด์จะอยู่ที่นั่นด้วยจริง ๆ "ทุกคน มาทักทายนายน้อยเฟนด์เร็ว!" สีหน้าของแลนเซล็อตนิ่งลงและให้ทุกคนรีบมา"สวัสดีนายน้อยเฟนด์!" ทุกคนยืนตรงทักทายเฟนด์อย่างเคารพ พวกเขาสงสัยว่าคนที่กลับมาพร้อมกับหัวหน้าของพวกเขาคือใคร และไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นนายน้อยของตระกูลหลัก"ไม่ต้องสุภาพมากขนาดนั้นหรอก พวกคุณให้ตระกูลวู๊ดมามากเลย มันคงจะเป็นเรื่อยากสำหรับพวกคุณจริง ๆ !"เฟนด์โค้งคำนับหลังจากที่เดินไปสองก้าว "ผมต้องขอโทษในนามของตระกูลวู๊ดด้วย เพราะผมรู้ว่าพวกคุณต้องเพิ่มเปอร์เซ็นต์ทรัพยากรขึ้นมา ดังนั้น คุณจะต้องหาทรัพยากรเพิ่มถ้าอยากฝึกฝน ทุกคนคงจะเหนื่อยน่าดู และคงมีคนไม่น้อยที่เสียชีวิตด้วยฝีมือของสัตว์อสูร เพราะเหตุนี้ผมก็เลยต้องขอโทษ!"ดวงตาของชายชราเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อนึกถึงหลานชายที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายเดือนก่อนอย่างไรก็ตาม เขาเดินไปข้างหน้าและพูดว่า "นายน้อยเฟนด์ ไม่ต้องสุภาพหรอกครับ ในฐานะผู้ฝึกยุทธ เราไม่
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ