ชายกลางคนยิ้มขมขื่นและถามอย่างช่วยไม่ได้แลนเซล็อตมองไปที่ฝูงชนและพูดว่า "นายท่านวู๊ดบอกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ให้อดทนรออีกสองสามเดือน!""อีกสองสามเดือน? เราจะต้องทนกับเรื่องนี้อีกนานแค่ไหน? ถ้าเขาทำอะไรไม่ได้ตอนนี้ แล้วอีกสองสามเดือนจะทำได้เหรอ? และฉันคิดว่าร่างเขาคงจะแข็งทื่อไปแล้วในสามเดือนหลังจากนี้ เขากำลังจะตายตอนนั้น! เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะได้ 'พักผ่อน' และไม่สนใจอะไรเลย!" ชายวัยกลางคนมีแต่ความปั่นป่วนในท้องและหงุดหงิด เขาโวยวายอย่างประชดประชัน "เราอดทนมานานแล้ว จะต้องทนไปอีกนานแค่ไหน! เห็นไหม? ที่ฉันเคยพูดไว้ แม้ว่านายท่านวู๊ดจะรู้เรื่องนี้ ก็ทำอะไรไม่ได้เลย! กลับกลอกอะไรขนาดนี้!""เมสัน นายจะโยนความผิดไปที่แนชไม่ได้นะ เขาไม่ได้อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น สุดท้าย คนที่ร้ายที่สุดก็คือผู้อาวุโสลำดับสามและลิลลี่ นายท่านวู๊ดต้องหาหลักฐานให้แน่นอนก่อนที่จะทำอะไรได้!" แม้ว่าแชดจะผิดหวังกับวิธีนี้ แต่ก็ยังเข้าข้างแนชและปลอบเมสัน แลนเซล็อตพูดอย่างสนับสนุน "ทุกคนใจเย็น ๆ ก่อน เรารู้ดีว่าเรื่องนี้มันยาก แต่เราก็ได้ข่าวดีมาเหมือนกัน เฟนด์คุยกับนายท
ตอนเที่ยง แนชก็เรียกประชุมแผนการใหม่ที่พูดถึงก่อนหน้านี้นำขึ้นในที่ประชุม และผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย ลิลลี่ ผู้อาวุโสลำดับสามและผู้อาวุโสอีกสองคนค่อนข้างไม่เห็นด้วย แต่สมาชิกส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า ตระกูลสาขาได้ให้ช่วยเหลือไว้อย่างลบล้างไม่ได้ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาจึงอนุมัตินโยบายใหม่ ลิลลี่กับพรรคพวกก็ทำอะไรไม่ได้แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยก็ตาม หลังจากกำหนดนโยบายใหม่แล้ว เรื่องต่าง ๆ ก็ส่งไปหาเฟนด์เพื่อจัดการ เบธและยูลเป็นคนช่วยเฟนด์ในเรื่องนี้ ลิลลี่กับผู้อาวุโสลำดับสามออกจากห้องประชุมไปอย่างหงุดหงิด พวกเขาวิ่งเข้าหาฮัดสัน ที่กำลังเดินกลับคฤหาสน์ พวกเขาคุยกันอย่างดุเดือดจนฮัดสันปรากฏ "สวัสดี นายหญิงคนแรก! สวัสดี ผู้อาวุโสลำดับสาม!" ฮัดสันทักทายลิลลี่และผู้อาวุโสลำดับสามด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า หลังจากทักทายแล้ว เมื่อจะเดินต่อ เขาก็นึกอะไรออก จากนั้นก็ตะโกนกับลิลลี่และผู้อาวุโสลำดับสามทันที "จริงสิ! ผู้อาวุโสลำดับสาม มีบางอย่างที่ผมไม่รู้ว่าจะแจ้งพวกคุณดีหรือไม่!" "อะไรน่ะ?" ผู้อาวุโสลำดับสามมองฮัดสันอย่างสงสัยและถาม "อืมมมม...ผมเห็นแลนเซล็อต หัวหน้าตระกูล
ลิลลี่และเวดคิดว่าตอนที่ฮัดสันได้ยินสิ่งที่ปู่ทำกับตระกูลหลักเขาจะตัวสั่นด้วยความโกรธพวกเขาไม่คาดหวังอะไรนัก ดวงตาฮัดสันเป็นประกายเมื่อได้ยินความคิดใหม่ ๆ และยิ้มอย่างมีความสุข "เยี่ยมไปเลยนี่? ความจริง การเข้าป่าหาทรัพยากรก็เหมือนกับการล่าขุมทรัพย์ น่าตื่นเต้นสุด ๆ ไปเลย! ผมดีใจกับความคิดนี้นะ โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องอยู่แต่บ้านเพื่อฝึกแล้วก็ฝึก มันน่าเบื่อ! ผมเลยอยากเข้าป่าเพื่อไปสำรวจโลกบ้าง ผม ฮัดสัน วู๊ด ไม่กลัวตาย ถ้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้น ผมก็ควรพร้อมรับมือกับความท้าทาย..." ใบหน้าของลิลลี่และเวดแหยเกทันทีที่ได้ยิน พวกเขาพูดไม่ออก"เอาล่ะ! นายหญิงคนแรกและผู้อาวุโสที่สาม ผมไปก่อนล่ะ! การปล่อยให้สมาชิกตระกูลสาขามาฝึกที่นี่นั้นผมไม่พอใจแน่นอน แต่การส่งเราไปป่าเพื่อหาทรัพยากรเป็นเรื่องที่ผมว่ามันน่าสนใจนะ และผมก็ชอบแบบนั้น!" "ผมอยากไปพักผ่อนนานแล้ว!" ฮัดสันเดินออกไปขณะพูดเสียงดัง "ไอ้บ้านั่นมันคิดอะไรอยู่? เห็นด้วยกับนโยบายใหม่ได้ยังไง?" หน้าลิลลี่นิ่งลงเมื่อเห็นแผ่นหลังฮัดสันเดินออกไปมากขึ้น "เฮ้อ! เทพีแห่งความโชคดีไม่ได้อยู่ข้างฉัน! ทำไมทุกอย่างไม่เป็นไปได้ด้วยดีนะ? แล้วเรื่องล
ลิลลี่สงบสติลง ก่อนจะครุ่นคิดกับเรื่องนั้น “ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ที่แนชจะรู้เรื่อง ถ้าเขารู้ เขาคงพูดอะไรบ้างแล้วในที่ประชุม อาจจะทุบโต๊ะหรืออะไรสักอย่าง แต่วันนี้เขาดูยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดในที่ประชุม ฉันว่าเขาน่าจะยังไม่รู้เรื่องหรอก!” ลิลลี่ส่ายหน้าก่อนจะพูดออกมาเวดถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เมื่อเขาได้ยินลิลลี่พูด "คุณพูดถูก ถ้าแนชรู้เรื่องขึ้นมา เขาคงสติแตกไปนานแล้ว อีกอย่างนะ แลนเซล็อตในฐานะหัวหน้าของตระกูลสาขาน่ะนะ เขาไม่ใช่คนกล้าบ้าบิ่นอะไรเลย ทุกครั้งที่ผมไปเก็บทรัพยากรที่เขา เขาจะทักทายผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตลอด แถมเตรียมอาหารกับไวน์ไว้ดูแลผมอีก คนแบบนี้คงไม่กล้าพูดอะไรออกมาหรอก ถ้าเขาไม่อยากตาย!”“อืม… ดูจากสถานการณ์แล้ว ผมว่านะ แลนเซล็อตคงอยากสู้เพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่างเพื่อคนในตระกูลสาขาของเขานั่นแหละ นอกจากนี้แล้ว ผมว่าเขาคงไม่มีปัญหาอะไรกับเราหรอก!”เวดหัวเราะ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกว่า “ไอ้สารเลวเฟนด์ ผมว่าเขาไม่กล้ายุ่งกับตระกูลหลักหรอก เขาค่อนข้างฉลาดเลยนี่ ใช่ไหม? ถ้าเขาไม่ได้โง่ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เขาจะจากตระกูลวู๊ดไป อีกอย่าง พ่อของเขาก็กำลังจะตาย เพราะงั้น เข
ทว่า เมื่อเวลาผ่านไป เธอก็เริ่มรู้สึกเสียวแปล๊บไปทั้งตัว ราวกับมดหลายพันตัวกำลังไต่ไปทั่วร่างกาย และกัดผิวหนังอันบอบบางของเธอ เธอรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอไม่รู้สึกเสียวซ่านอีกต่อไป แต่เธอรู้สึกถึงความทรมานที่เข้ามาแทนที่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เหงื่อมากมายก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเธอจนเป็นประกายแวววาว แล้วไหลลงมาบนหน้าที่แสนงดงามของเธออย่างไม่หยุดหย่อน เธอกำหมัด กัดฟันแน่น เธอพยายามอดทน“เอ๊ะ? ทำไมถึงมีน้ำมันดำ ๆ ไหลออกมาจากตัวฉันล่ะ? เหม็นมากเลย ฉันจะเป็นอะไรรึเปล่า?”ไม่นานนัก เซเลน่าก็พบว่าแขนของเธอมีของเหลวสีดำไหลเยิ้มออกมา มันขยะแขยง และน่าสะอิดสะเอียนมาก“ไม่ต้องห่วงนะ มันเป็นเรื่องปกติ น้ำพวกนี้มันคือสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในร่างกายของคุณ เหมือนสารพิษอะไรสักอย่าง หญ้าวิญญาณจะเป็นตัวขับให้มันออกมา พอมันออกมาหมดแล้ว คุณก็จะรู้สึกดีขึ้น ต่อจากนี้คุณก็จะไม่เจ็บป่วยง่าย ๆ อีกต่อไป!”เฟนด์หัวเราะ ก่อนจะพูดต่อว่า “งั้น คุณคิดว่าผมเตรียมน้ำไว้สองถังเพื่ออะไรล่ะ? พอคุณทำสปาหญ้าวิญญาณเสร็จแล้ว คุณก็ไปแช่น้ำอีกถังนึง ขัดผิวทั้งตัวให้สะอาด!”"อ่า!"เธอรู้สึกทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เธ
"อ๊า!”เมื่อเวลาผ่านไป เซเลน่าก็รู้สึกทรมานมากขึ้นเรื่อย ๆ เธออดไม่ได้ที่จะร้องออกมาดัง ๆ ด้วยความเจ็บปวดข้าง ๆ เธอ เฟนด์ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับความเจ็บปวดของเธอ “ที่รัก คุณอยากให้ผมลงไปเป็นเพื่อนไหม?” เฟนด์เสนอ พลางยิ้มออกมาหน้าของเซเลน่าเปลี่ยนเป็นสีชมพูกุหลาบทันทีด้วยความเขิน เธอจ้องเขม็งไปที่เฟนด์ด้วยสายตาเย้ยหยัน “ตาบ้า! มันใช่เวลามาล้อเล่นไหม? น้ำมันเต็มไปด้วยน้ำดำ ๆ เต็มไปหมด คุณยังจะกล้าลงมาอีกเหรอ?”"เฮ้! ตราบเท่าที่คุณภรรยาของผมอนุญาต จะอายอะไรอีกล่ะ? แน่นอน ผมต้องเข้าไปอยู่แล้ว!”เฟนด์หัวเราะคิกคักอย่างลามก มันทำให้เซเลน่าอยากจะหัวเราะและร้องไห้ไปพร้อม ๆ กัน“ใกล้ถึงเวลาแล้วคุณ ทนอีกนิด มันจะไม่ทรมานอีกต่อไปถ้าคุณทนได้ถึงจุดสูงสุด คุณจะต้องผ่านมันไปให้ได้นะ!”เฟนด์ดูเวลา ก่อนจะอธิบายให้เซเลน่าฟัง “ที่รัก เก่งมาก! คุณทำได้! คุณจะผ่านมันไปได้!” เฟนด์เชียร์เซเลน่าเต็มที่“อืม!”เซเลน่าพยักหน้าราวกับเด็กหญิงตัวน้อยที่ว่านอนสอนง่าย เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะอดทนต่อไปในที่สุด ร่างกายของเธอก็ถูกชำระล้างโดยสมบูรณ์ หลังจากนั้นเธอก็ลงไปในน้ำอีกถัง แล้วล้างร่างกายของเธอจ
“มันใหญ่เกินไปนะ! ไม่มีทาง พี่ทำให้หินนั่นแตกไม่ได้หรอก แค่เห็นก็กลัวจะแย่แล้ว!”เซเลน่ามองหินที่อยู่ในมือของเธอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ เธอรู้สึกว่า แค่หินเท่าฝ่ามือเธอยังทุบให้แตกไม่ได้ นับประสาอะไรกับหินก้อนเท่าลูกบาสล่ะ“ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้นะ”เบ็นกลอกตาใส่เธอ “ผมก็คิดว่าผมน่าจะทุบมันไม่แตกเหมือนกัน แต่ผมทำได้” เขาพูด “พี่ลองดูสิ พี่ พี่ไม่รู้สึกเลยเหรอ ว่าหินมันไม่ได้หนักขนาดนั้นตอนที่พี่ถือมันน่ะ? เพราะความแข็งแกร่งของพี่มันไม่ใช่ความแข็งแกร่งของคนธรรมดาอีกต่อไปยังไงล่ะ พี่มีร่างกายที่เป็นผู้ฝึกยุทธแล้ว!”เบ็นหยุดไปครู่นึง ก่อนจะพูดออกมา “พี่ พี่รู้ไหมว่าคนที่เขาแข็งแกร่งกันจริง ๆ น่ะ เขาไม่ผงะต่อหน้าเสือกันหรอก แถมยังคิดว่าเสือก็เป็นแค่มดอีกต่างหาก!”เอเลน เมื่อได้ยินอย่างงั้น ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ฉันเพิ่งจะบอกคุณไปเมื่อกี้เองนะ คุณนี่ไวจริง ๆ !”“เฮอะ!”เบ็นจับหลังคอของเขา “ผมเชื่อในการเรียนรู้ตลอดชีวิตมาตลอดนะ”“คุณลองดูสิที่รัก คุณเป็นพี่สาวของเขา แม่ก็คนเดียวกัน ในเมื่อเขาทำได้ คุณก็ไม่มีทางแพ้เขาหรอก คุณเป็นถึงพี่สาวของเขาเลยนะ! นอกจากนี้แล้ว ตอนนี้ร่างกายของคุณก
“เซเลน่า คุณเห็นหินก้อนนั้นรึเปล่า? ที่อยู่บนพื้นน่ะ ใหญ่กว่าลูกบาสหน่อย ถ้าคุณยังไม่เชื่อ ก็ลองไปทุบดูสิ ถ้ามันแตกออกมาเป็นเสี่ยง ๆ ก็แสดงว่า คุณแข็งแกร่งเท่ากับนักฝึกยุทธระดับสามแน่นอน!”เฟนด์มองไปรอบ ๆ เขา ก่อนจะเลือกหินใกล้ ๆ เขามาลูกนึง เขาพูดกับลาน่า"จริงเหรอ? ไหนลองซิ!"เซเลน่าฟังคำพูดของเขา เธอยิ้มออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปต่อยหินก้อนนั้นปัง!เสียงแตกของหินก้อนนั้นดังกึกก้องไปในอากาศ และหินก้อนเขื่องก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ "วิเศษไปเลย พี่ พี่เก่งมาก ผมอิจฉาจัง!”ขณะที่เบ็นมองเซเลน่า ความตื่นเต้นที่เขามีในตอนแรกก็ลดฮวบลง เขารู้สึกราวกับว่าตัวเขาเจ็บปวดมาก ๆ เขาอยากอวดมาก แต่เขาไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว“ช่วยไม่ได้ ก็พี่เป็นพี่ของน้องนี่นา!”หน้าของเธอเปล่งปลั่งด้วยรอยยิ้มที่ใครเห็นก็ต้องยิ้มตาม เธอครุ่นคิดอะไรสักอย่าง ก่อนจะพูดเสริมว่า “ไคลี่ต้องมีความสุขแน่ถ้าลูกเห็นฉันในตอนนี้ ลูกคงดีใจที่เห็นแม่ของลูกเข้มแข็งขนาดนี้!”หลังจากพูดจบ เธอก็ทำคิ้วขมวด เธอหันไปหาเฟนด์ “ที่รัก เราไม่เห็นไคลี่มาสองสามวันแล้วนะ” เธอพูด "ฉันคิดถึงลูกจัง!"เฟนด์กวาดสายตาไปรอบ ๆ พวกเขา “เราไม่พูดถึงไ
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ