เทาคำรามออกมาสุดพลังขณะที่พุ่งเข้าหาเฟนด์พร้อมกับดาบเล่มใหญ่ในกำมือแต่อนิจจา เขาเข้าใกล้เฟนด์ไม่ได้เลยพร้อมโดนฆ่าด้วยรังสีดาบผู้เชี่ยวชาญนับร้อยถูกฆ่าตายในเวลา 10 นาทีเพียงแค่นั้นส่วนเฟนด์และคนของเขา สูญเสียไปเพียงไม่กี่คนและบาดเจ็บไม่กี่สิบคนเท่านั้น“ฮ่า ๆ ! รู้สึกดีจริง! นานมากแล้วที่ไม่ได้สู้ใหญ่ขนาดนี้!” ชายแก่คนหนึ่งจากตระกูลชนชั้นสูงของเมืองศิลปะการต่อสู้หัวเราะออกมาเฟนด์มองเวลาแล้วพูดว่า “นี่มันก็สายมากแล้ว คนพวกนี้ต้องมีของกำนัลมากแน่ ๆ อาวุธหรือไม่ก็อย่างอื่นที่ดี ๆ! ทุกคนไปแบ่งกันได้เลย แล้วเราจะไปทานอาหารกลางวันกัน!”นั่นเป็นเหมือนเสียงเพลงกับทุกคน สุดท้ายแล้ว คู่ต่อสู้ของพวกเขาก็คือพวกชนชั้นสูงจากตระกูลที่มีอำนาจ เงินและอาวุธพร้อมของกำนัลพวกนั้นก็มากพอที่จะทำให้คนอื่นอิจฉาจากนั้น พวกเขาก็ขับรถไปที่โรงแรมเจ็ดดาวหลังจากจัดการศพพวกนั้นและทำความสะอาดพื้นที่ขณะนั้น ที่ตระกูลวู๊ด...ผู้พิทักษ์รุ่นที่เก้า เบรนตัน วู๊ด มาหานายหญิงลิลลี่อีกครั้ง“เป็นไงบ้าง? ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่เจอเฟนด์แล้วก็คนอื่น ๆ อีกเหรอ? ยังฆ่าพวกนั้นไม่ได้อีกเหรอ?” ลิลลี่ไม่สบายใจอยู่ตล
เบรนตันพยักหน้ารับคำสั่งของลิลลี่ เธอรู้ว่าจะไม่มีวันได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขจนกว่าจะเจอแลนซ์ กลับมาหาตระกูลวู๊ด และได้เป็นผู้สืบทอดในที่สุดเขาอยากตามหาเฟนด์และฆ่าทิ้งซะ สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องดีกับเบรนตันหากสิ่งที่เขาทำถูกเปิดเผยออกมาสมาชิกในตระกูลวู๊ดยังให้เกียรติแนช และฟังทุก ๆ คำพูดอยู่หลังจากที่เบรนตันออกไป ผ้อาวุโสคนที่สามของตระกูลวู๊ด เวด วู๊ด ก็ได้เข้ามาในห้องของลิลลี่เวดนั่งลงมองลิลลี่ “เฮ้อ... พวกนั้นยังไม่เจอตัวแลนซ์กับคนอื่น ๆ เลย”เขาจะขอให้ลูกศิษย์สองคนคอยดูพื้นที่ในสวนทุกครั้งที่มาห้องเธอ ทำให้ได้มาพบลิลลี่อย่างลับ ๆ ได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายจะได้ไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ลับ ๆ ของพวกเขาแน่นอน ลิลลี่และแนชตั้งให้เวดเป็นผู้นำในการค้นหาตัวแลนซ์และคนอื่น ๆ เข้าใจได้ว่าเขากลับมารายงานลิลลี่อยู่เสมอ“เฮ้อ!” ลิลลี่ถอนหายใจ“ที่รัก ไม่ต้องห่วงนะ ผมมาคิดดูแล้ว แนชเหลือเวลาอีกแค่สองเดือน ถ้าตอนนั้นเรายังไม่เจอแลนซ์อีก เราจะตามหาเฟนด์แล้วก็ฆ่าทิ้งซะ ถ้าแนชตายก่อนที่เฟนด์จะกลับมา เราจะลอบฆ่าผู้อาวุโสลำดับหนึ่งก่อนที่แนชจะตาย” ผู้อาวุโสลำดับสามยิ้มและพูดต่อ “สุดท้า
เวดเกลี้ยกล่อมลิลลี่ขณะมือลูบไล้ตามแผ่นหลังของเธอ“มือจะเลื้อยไปไหน?” ลิลลี่เหลือบมองอย่างโปรยเสน่ห์ก่อนจะจูบเขา…เช้าวันที่สอง เบรนตันขอให้ลูกน้องเขาทั้งหมดกลับมาพวกเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเฟนด์เริ่มเก็บกระเป๋าของเขาแล้ว“นายท่าน พลังงานชีวิตของเฟอร์นันโดลดลง เหมือนว่าเขาจะอยู่ได้แค่ห้าหรือหกวันเท่านั้น” อีธานตรวจร่างกายเฟอร์นันโดและมองเฟนด์อย่างกังวลเฟนด์พยักหน้า “มรดกตกทอดในตระกูลวู๊ดของเราช่วยยืดชีวิตผู้คนได้ อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าเฟอร์นันโดจะไม่ตาย เรากำลังจะออกเดินทางเร็ว ๆ นี้”“ฉันก็อยากไปเหมือนกัน!” ฟีโอน่าพูดแทรกขึ้นมา “เธอบอกไม่ใช่เหรอว่าตระกูลวู๊ดคือตระกูลสันโดษ? เพราะเป็นตระกูลในตำนาน ฉันแน่ใจว่าพวกเขาต้องมีสมบัติล้ำค่ามากมาย และอะไรบางอย่างที่ช่วยยืดอายุคนได้ ใช่ไหม? เพราะเธอคือนายน้อยของตระกูล ถ้าแบ่งมาให้ฉันบ้างคงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”ฟีโอน่ามีความสุขมากเมื่อเฟนด์เล่าเรื่องตระกูลวู๊ดให้ฟังเธอนึกไม่ถึงเลยว่าเฟนด์ไม่ใช่แค่นักรบสูงสุดเท่านั้น แต่ภูมิหลังก็ยังแข็งแกร่งเช่นกัน ตระกูลของเฟนด์คือตระกูลสันโดษในตำนาน พลังที่แข็งแกร่งที่สุด เหนือกว่าอำนาจใด ๆ ในโลกนี้ฟี
“ฮ่า ๆ เยี่ยมไปเลย! ตราบใดที่นายตั้งใจน่ะนะ!” เฟนด์หัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินเบ็นประกาศกร้าว ขณะที่พูดว่า “แม้ว่าฉันจะไม่เคยได้ยินว่าการบ่มเพาะมันช่วยให้อายุยืนยาวขึ้นได้ แต่ก็ทำให้แกร่งขึ้น ผิวนายก็จะกระจ่างใสขึ้น ร่างกายก็จะเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณที่เหนือธรรมดาเช่นกัน!”เฟนด์หยุดชั่วคราวก่อนชี้แจงว่า “แม้ว่ามันไม่ชัดเจนสำหรับคนที่อยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ แต่มันจะชัดเจนมากขึ้นตอนที่คนนั้นได้รับระดับกึ่งเทพไปแล้ว!”ฟีโอน่าคิดและถามเฟนด์ว่า “เธออยากให้ใครไปด้วย?”“เซเลน่า เบ็น เอเลน ไปกับผม” เฟนด์ตอบ “แล้วก็ลาน่า อีธาน วิลเลี่ยม กับแม่ผม แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว เพราะมันคงลำบากหากเราพากันไปมากเกินไป!”“ที่รัก คุณบอกไม่ใช่เหรอว่าลิลลี่ต่อต้านและส่งคนมาฆ่าคุณก่อนหน้านี้? ถ้ากลับไปเราจะตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่า?” เซเลน่าคิดอย่างกังวลเฟนด์ยิ้มอย่างเฉยชา “ไม่ต้องห่วง ผมให้วิลเลี่ยม อีธาน และก็ลาน่าไปด้วยกันกับเราแล้ว สี่คนก็น่าจะพอ! ทั้งสามคนจะปกป้องพวกคุณได้! ผมอยากพาคุณกับเบ็นไปด้วย เพราะอยากดูว่าเราจะเอาทรัพยากรจากตระกูลวู๊ดมาฝึกให้เป็นผู้ฝึกยุทธ!”เซเลน่าพยักหน้า “ตอนที่เรากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ
เบรนตันป้องมือและขอบคุณลิลลี่ขณะพูด “ขอบคุณครับนายหญิง ความสุขที่สุดในชีวิตของผมคือตอนที่ผมได้รับใช้ท่าน มันคือความรับผิดชอบของผม นอกจากนั้น ผมก็เชื่อในพรสวรรค์ของนายน้อยคนโต ผมหวังว่านายน้อยแลนซ์จะได้เป็นนายท่านของตระกูลวู๊ดเร็ว ๆ นี้”“ฮ่า ๆ... ไม่ต้องห่วง การทำงานให้ฉันหมายความว่านายทำงานให้ตระกูลลาโกริโอ และฉันจะไม่ทำแย่ ๆ กับนาย ในตอนที่เราเจอลูกชายของฉันและเขาได้เป็นนายท่านของตระกูลวู๊ด เขาก็จะไม่ปฏิบัติแย่ ๆ กับนายเช่นกัน”“นายน่าจะทำงานให้หนักขึ้นเพื่อบ่มเพาะไปด้วยนะ และฉันให้ตำแหน่งผู้อาวุโสได้ถ้านายทำเช่นนั้น” ลิลลี่เสนอพร้อมรอยยิ้มผู้พิทักษ์รุ่นที่เก้าได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีใจ เขาคุกเข่าลงหนึ่งข้างทันที “ขอบคุณครับนายหญิง! ผมจะทำงานอย่างหนักให้เป็นไปตามความหวังของคุณ!”หลังจากนั้น ผู้พิทักษ์รุ่นที่เก้าก็ออกมาจากที่พักของลิลลี่เขามาที่ศาลาหลังจากนั้นไม่นานศาลาที่ตั้งอยู่ริมหน้าผามีผู้อาวุโสอายุประมาณ 50 อยู่ด้านใน เขาเอามือไพล่หลังขณะมองเมืองเล็ก ๆ ด้านล่างเนินเขานั่น“ผู้อาวุโสลำดับสาม” ผู้พิทักษ์รุ่นที่ป้องมืออย่างอ่อนน้อมขณะที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา“ว่าไง?” ผู้อาวุโส
ขณะนี้ในบ้าน แนชก็ไอเป็นเลือดอีกครั้ง ใบหน้าเขาซีดลงมากและดูโทรมเช่นกัน“ก็มันก็หลายวันมาแล้ว ทำไมเฟนด์ยังไม่มาอีก สุดท้ายแล้วเขาก็จะไม่มาเหรอ?” แนชเศร้าเมื่อนึกถึงเฟนด์ “ทั้งหมดมันเป็นเพราะฉันเอง ฉันโทษความเหลาะแหละของฉันก่อนหน้าที่ทำให้ตามเขาไปไม่ได้ตอนที่เขากำลังเติบโต เขาต้องทนทรมานมามากแน่ ไม่... ไม่แปลกใจเลยที่เขาเกลียดฉันมากขนาดนี้...”ไททัส พ่อบ้านตระกูลวู๊ดปลอบใจแนชว่า “อย่ากังวลเลยครับ นายท่าน ผมรู้ว่าเฟนด์เป็นเด็กกตัญญู นอกจากนั้น ไม่ใช่ว่าคุณไม่ใส่ใจกับพวกเขาเสียหน่อย คุณขอให้ผู้พิทักษ์รุ่นที่เก้าส่งเงินและทรัพยากรการฝึกฝนให้เฟนด์แล้ว แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าผู้พิทักษ์รุ่นที่เก้าจะโกหกว่าพวกเขากินดีอยู่ดี”ไททัสกำหมัดแน่นขณะพ่นลม “เขาต้องโกหกแน่ ๆ ตอนที่บอกว่าเฟนด์ไปถึงระดับผู้ฝึกยุทธขั้นเจ็ดหรือแปดมา เขาต้องได้ทรัพยากรการฝึกฝนทั้งหมดที่นายท่านให้มาด้วยเช่นกัน!”“เวรเอ๊ย!” แนชกำหมัดกัดฟันกรอด “ได้บอกผู้อาวุโสลำดับหนึ่งไปหรือเปล่า? อย่าบอกใครนะ คนที่ฉันไว้ใจตอนนี้คือผู้อาวุโสลำดับหนึ่งและคนรองจากนั้น ส่วนผู้อาวุโสลำดับสามดูมีความสุขอยู่ตลอดเวลา และคอยช่วยเราหาตัวแลนซ์ แต่เขาก
เซเลน่าถอนหายใจ เธอมีความฝันอยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธเธอคิดอะไรบางอย่างออกและพูดกับเฟนด์ว่า “ฉันไม่คิดว่าเราจะได้เดินทางไปง่าย ๆ ที่รัก พอคิดดูแล้วว่าลิลลี่เกลียดคุณมากขนาดไหนแถมยังส่งคนมาฆ่าอีก”เฟนด์ยิ้มอ่อน ๆ “ก็จริง มันง่ายเกินไป ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ เรามาถึงเชิงเขาแล้ว”เฟนด์จับมือเซเลน่าและพูดอย่างเคร่งขรึม “ที่รัก ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้วัตถุดิบมาให้คุณและเบ็น เพื่อที่จะชำระร่างกายของคุณให้เป็นผู้ฝึกยุทธ ผมไม่แน่ใจเรื่องพรสวรรค์ของคุณ แต่หวังว่าพวกคุณทั้งสองคนจะมีความสามารถที่ดีและฝึกไปได้อย่างรวดเร็ว”“พ่อของลูกคงจะดีใจมากถ้าเขารู้ว่าลูกมาแล้ว เฟนด์” โจแอนยิ้ม เธอแอบรอวันนี้สุดท้าย แนชก็คือผู้ชายที่เธอรักเมื่อหลายปีก่อนอยู่ดี แน่นอนว่าเขาคือพ่อของเฟนด์เฟนด์ถอนหายใจ “ผมสงสัยว่าเขาป่วยเป็นอะไร จะได้ดูแลรักษา ผมว่าอาการป่วยของเขาอาจจะรักษาได้ไม่ยาก”เฟนด์หันมามองเฟอร์นันโดที่อยู่บนหลังวิลเลี่ยม “ที่น่าเป็นห่วงคือเฟอร์นันโดมากกว่า ตระกูลวู๊ดจะเอาของล้ำค่าออกมาโดยที่พิจารณาว่าเรื่องนั้นมันสำคัญแค่ไหน? แม้ว่าสมาชิกตระกูลวู๊ดจะเห็นด้วย แต่เกรงว่าพวก
เฟนด์พูดไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนี้ “ลาโกริโอต้องโกรธแน่ ๆ หากเป็นอย่างนั้น สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ช่วยตระกูลวู๊ด แต่ไม่เคยคิดกันเลยว่าตระกูลวู๊ดจะทำงานอย่างหนักและลุกขึ้นมาได้ในขณะที่พวกเขา...”“ฮ่า ๆ พวกนั้นจะทำอะไรได้บ้าง? อย่างที่ไททัสพูด ผู้อาวุโสของพวกเขาได้ก้าวไปข้างหน้ากันอย่างยิ่งใหญ่ และรุ่นใหม่ ๆ ก็มีความสามารถอันน่าประทับใจ พวกเขาค่อย ๆ เติบโตไปทีละขั้นขณะฝึกฝนกันอย่างหนัก และก็มีอัจฉริยะมากมายออกมาให้เห็น ส่วนลาโกริโอ ได้ไปต่อสู้กับตระกูลแบบเดียวกันจนเสียคนไปจำนวนมาก” โจแอนยิ้มอย่างขมขื่น และพวกเขาก็ได้พูดคุยกันจนไปถึงทางที่ปูด้วยหินอย่างไรก็ตาม... “หยุด! พวกคุณคือใคร? ที่นี่คือที่ของตระกูลวู๊ด พวกคุณจะเข้าไปไม่ได้ยกเว้นว่าเป็นสมาชิกของตระกูลและต้องมีเหรียญด้วย!” ชายเจ็ดแปดคนที่เฝ้าประตูหินอยู่ มีคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าและตะคอกใส่เฟนด์ขณะที่คนอื่น ๆ ชักดาบออกมาลาน่าเดินไปข้างหน้าและอธิบายว่า “ทุกคน เราคือสมาชิกของตระกูลวู๊ด นี่ เฟนด์ วู๊ด นายน้อยของตระกูล เรามาที่นี่เพื่อพบนายท่าน!”“นายน้อยเฟนด์ วู๊ด? ทำไมเราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?” ชายคนนั้นขมวดคิ้วทันทีหลังจากได้ยินเช่นนั้
ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะโอสถของเขา ทั้งสองคนจะทำอะไรตามต้องการก็ย่อมได้ สิ่งนั้นไม่กระทบอะไรกับเขาเลย“ถึงฉันจะดูแคลนหมอนี่ แต่เขาก็ยังกล้าเสมอ เขาก็คงจะมีความสามารถอยู่บ้าง เขาน่าจะผ่านสองขั้นตอนแรกได้อย่างไม่มีปัญหา” เกรย์สันพูดอย่างชัดเจนรูดี้มองไปที่เกรย์สันด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้าแล้วตอบว่า "นายดูมั่นใจกับหมอนี่มากเลยนะ ฉันจะคิดว่าทุกครั้งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด“ฉันคิดว่าเขาอาจจะไปถึงขั้นที่สองก่อนที่เขาจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง! ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าถ้าล้มเหลวขึ้นมา เด็กสารเลวคนนี้จะสู้หน้าเราได้ยังไง”เกรย์สันสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขารู้สึกได้ว่าความโกรธของรูดี้ที่มีต่อเฟนด์นั้นลึกซึ้งกว่าของเขามากดวงตาของรูดี้ลุกเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาเกลียดเฟนด์มากเพียงใดเกรย์สันหัวเราะอย่างเย็นชา "แล้วมาดูกันว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ฉันคิดว่าเขาน่าจะสามารถไปถึงขั้นตอนสุดท้ายได้ ถ้าเขาสามารถควบรวมอักขระทางยาได้ถึงร้อยเม็ดเขาก็น่าจะมาถึงระดับนั้น"หลังจากที่ทั้งสองพูดเรื่องเหล่านั้นออกมา พวกเขาก็ปิดปากเงียบพร้อม ๆ กับการมองดูเฟนด์โดยไม่พูดอะไรพวกเขามอง
ผู้อาวุโสฮอร์สท์กระแอมเล็กน้อยในขณะที่เขาพูดต่อ “หลังจากที่เธอบ่มเพาะโอสถได้สำเร็จแล้ว ให้นำโอสถมาให้ฉันตรวจสอบ พวกเธอจะมีเวลาในการทดสอบทั้งสิ้นแปดชั่วโมง ถ้าเธอไม่สามารถบ่มเพาะโอสถได้ภายในแปดชั่วโมง ก็จะแปลว่าไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นอย่าได้ช้าเกินไป”พวกเขาทั้งสามพยักหน้าแทบจะพร้อมกัน หลังจากผู้อาวุโสฮอร์สท์ให้คำแนะนำแล้ว เขาก็จัดให้มีคนงานสองสามคนคอยเป็นคนตรวจ มีผู้ดูแลยืนอยู่ด้านหลังทั้งสามคนเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรผิดพลาดหลังจากนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็หันกลับมาและไปหาผู้สอบคนอื่น ๆ รูดี้หรี่ตาลง ขณะที่เขาเหลือบมองเฟนด์และพูดว่า "ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการบ่มเพาะโอสถระดับหกคือขั้นตอนสุดท้าย แต่ขั้นตอนแรกก็ไม่ง่ายเช่นกัน ถ้านายรู้ว่าทำไม่ได้ ก็อย่าทำให้ต้องสิ้นเปลืองวัตถุดิบเลย ของพวกนี้ล้วนมีราคาค่างวด ต่อให้นายจะขายตัวเองเป็นทาสก็ยังไม่พอให้ซื้อของพวกนี้!”เฟนด์ถอนหายใจออกเบา ๆ หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาเบื่อเกินกว่าจะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ เขาตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้ชายคนนั้นและทุกสิ่งที่จะออกมาจากปากเขา ถึงโต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เกรย์สันหรี่ตาลงขณะที่เขามองเฟนด์ด้วยความโกรธเช่นกัน เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ดูเหมือนว่าวันนี้ นายจะมาที่นี่เพื่อหาเรื่องขายหน้าให้กับตัวเองเท่านั้น"หลังจากพูดจบเกรย์สันก็หันหลังกลับและเงียบไป เสียงความขัดแย้งหยุดลง และทุกคนรอบ ๆ ก็เริ่มกระซิบกระซาบกันผู้อาวุโสฮอร์สท์มองเฟนด์อย่างมีความหมาย ราวกับว่าเขามองเฟนด์ในมุมมองที่ต่างออกไป ทันใดนั้นผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็อยากรู้เรื่องของเฟนด์อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ในขณะนั้นเขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้เมื่อเขาเห็นว่าทุกคนได้จับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็โบกมือแล้วพูดว่า "มากับฉัน!"ทุกคนติดตามผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปเป็นกลุ่ม ๆ ผู้อาวุโสฮอร์สท์เข้าไปในเรือวิญญาณ ภายในเรือเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรีบร้อนพวกเขาเดินตามหลังผู้อาวุโสฮอร์สท์ไปอย่างใกล้ชิด เดินลัดเลาะไปตามทางก่อนจะมาถึงห้องกว้างขวางในที่สุด ห้องกว้างขวางมากจนเรียกได้ว่าห้องโถงเลยทีเดียวทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในห้อง ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงรังสีของโอสถที่หนาแน่นรอบ ๆ บรรยากาศ พื้นที่ในห้องนี้ใหญ่เกินพอสำหรับพวกเขาแปดสิบคนเฟนด์ประเมินสถานการณ์เล็กน้อย ห้องนี้ใหญ่พอที่จะรองรับคน
พวกเขาถาโถมข้อกล่าวหาและดูหมิ่นมามากเกินไป ถึงเขาจะไม่อยากโต้เถียงกับคนพวกนี้ แต่เขาก็ยังถูกบังคับให้ต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้า ๆ อยู่วันยันค่ำเขามองเข้าไปในดวงตาของรูดี้ซึ่งเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ราวกับเขาเป็นเพียงแมลงในสายตาของรูดี้เฟนด์หัวเราะอย่างเย็นชา “แล้วนายได้ยินเสียงสุนัขที่เห่าดังที่สุดแล้วหรือยังล่ะ?”คำพูดเหล่านั้นสามารถเยาะเย้ยทุกคนที่นั่นได้สำเร็จ เขาเปรียบเทียบกิลเบิร์ตกับสุนัขและเย้ยหยันทุกคนที่ฟังสุนัขตัวนั้นเห่า มันทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปกิลเบิร์ตเกือบจะลืมความโกรธของตัวเองไปแล้ว เขาไม่อยากจะเชื่ออะไรด้วยซ้ำว่าเฟนด์จะสามารถขจัดคำดูถูกดูแคลนทั้งหมดลงได้ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นกิลเบิร์ตหันกลับมาจ้องมองเฟนด์ด้วยใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธเขาอยากจะตะโกนกลับแต่ถูกรองเหรัญญิกปรามไว้ "ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบแล้วสินะ!"ประโยคนั้นเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กิลเบิร์ตไม่อาจพูดอะไรออกมาได้อีก กิลเบิร์ตตระหนักได้แล้วว่าเขาได้ทำให้รองเหรัญญิกขุ่นเคืองอย่างหนักหากเขายังคงยืนกรานที่จะต่อปากต่อคำกับเฟนด์ รองเหรัญญิกอาจจะดึงเขาออกไปจริง ๆ แล้วเขาจะ
“สมองหมอนั่นจะต้องมีอะไรผิดปกติจริง ๆ นั่นแหละ เขาคิดจริง ๆ หรือว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา แค่เพราะไปยืนอยู่กลุ่มเดียวกัน? นั่นน่าจะตลกมากเกินไปหน่อยนะ…”“ฉันนึกว่าการทดสอบจะเข้มงวดและจริงจังเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ ทำเอาฉันขำจนปวดท้องเลยล่ะ…”แอนดรูว์ขมวดคิ้วอย่างรู้สึกอับอาย รองเหรัญญิกโกรธจนตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดของกิลเบิร์ต เขานึกอยากจะพุ่งตัวไปไปตบกิลเบิร์ตสักสองสามครั้งกิลเบิร์ตเพิกเฉยต่อชื่อเสียงของวิมานโอสถอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด พวกเขาแทบอยากจะมุดดินหนี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่จะเป็นความอัปยศอดสูที่วิมานโอสถไม่อาจจำกัดทิ้งได้รองเหรัญญิกตะโกนออกไปว่า "หุบปากเดี๋ยวนี้! นายกำลังพูดเรื่องบ้าอะไร ถ้าไม่อยากเข้าร่วมการทดสอบ ก็ไสหัวไปซะ!"รองเหรัญญิกโกรธมาก ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น สีหน้าของเขาดูอดสูอย่างไม่น่าเชื่อ เขายังคิดจะฆ่ากิลเบิร์ตให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ เมื่อถูกตำหนิเช่นนั้นก็ทำให้กิลเบิร์ตตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไปถึงกระนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะถอนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา เขากระแอมเบา ๆ ก่อนที่จะรีบหันศีรษะไปซ้ายทีขวาที อย่างไม่กล้
ไม่มีใครรู้ดีไปกว่ารองเหรัญญิกว่าโอสถระดับหกหมายถึงสิ่งใด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิมานโอสถรับบัณฑิตมาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มีไม่มากนักที่จะได้กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกจริง ๆคอนสแตนซ์ยิ้มอย่างมีความหมายขณะที่เขาเอ่ยถาม "รองเหรัญญิกคนนี้มีความสามารถหลากหลายจริง ๆ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าวิมานโอสถจะมีอัจฉริยะกับเขาด้วย ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย"ริมฝีปากของรองเหรัญญิกกระตุก เขาต้องการอธิบายตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าเฟนด์ไม่สามารถสกัดโอสถระดับหกได้ และมีเพียงพรสวรรค์ในการสร้างอักขระทางยาเท่านั้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่ และทุกคนคงจะหัวเราะเยาะวิมานโอสถเป็นแน่แต่ถ้าเขายังคงดื้อรั้นต่อไป พอถึงเวลาต้องบ่มเพาะโอสถ เฟนด์ก็จะเปิดเผยความจริงข้อนั้นออกมา เมื่อนั้นความอัปยศอดสูก็จะยิ่งหนักข้อขึ้นเขาถึงกับมือสั่น ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกกักขังอยู่ในกำแพงอีกสองด้าน ทุกคนคิดว่ารองเหรัญญิกกำลังวางแผนที่จะใช้ความเงียบเพื่อตอบคำถามเมื่อเห็นกับตาว่ารองเหรัญญิกไม่ตอบอะไรออกมาแต่ทว่าคอนสแตนซ์คล้ายกับจะไม่เ
เฟนด์เป็นคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ ขณะนั้นเขาดูคล้ายกับกำลังลังเลและดูเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่รองเหรัญญิกพูดจบ ผู้อาวุโสฮอร์สท์ก็จ้องมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็นแม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเป็นประกายมากขนาดไหน แต่เฟนด์ก็ยังคงรู้สึกถึงความเฉียบคมภายใน ราวกับว่าเขาจะถูกตัดสิทธิ์หากเขาไม่ขยับริมฝีปากของเฟนด์กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ เขารีรอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เดินไปยังพื้นที่ที่เขาวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ในตอนแรกเฟนด์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครมากนัก เขาอาจจะเป็นคนสุดท้ายที่ปรากฏตัวขึ้น ไม่มีใครจำเขาได้ ต่อให้เขาจะมาจากวิมานโอสถ แต่นอกจากคนที่เคยพบเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกต่อไป ทุกคนก็เริ่มจ้องมองไปที่เขา ใบหน้าของรองเหรัญญิกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฟนด์กำลังมุ่งหน้าไปทางใด“ผู้ชายคนนั้นคิดจะไปต่อหลังรูดี้หรือเปล่า? เขาคิดจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกลั่นโอสถระดับหกด้วยหรือ?”“ก็คงเป็นแบบนั้น เว้นแต่เขาจะเป็นคนโง่เง่าที่ไม่ทันได้ฟังกฎการตัดสินให้ดี ไม่งั้นคงไม่เดินไปแบบนั้นหรอก เขาเป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขาเลย
กิลเบิร์ตทำท่าราวกับกลืนแมลงวันเข้าไปสองสามตัว เขาคาดหวังว่ารองเหรัญญิกจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาเสียอีก แต่กลับกลายเป็นว่ารองเหรัญญิกไม่ละสายตามามองเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียวรองเหรัญญิกฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฟนด์ราวกับว่ากิลเบิร์ตและแอนดรูว์มาที่นี่เพื่อเพิ่มจำนวนคนเท่านั้นแอนดรูว์มีสีหน้าขมขื่นเช่นกัน ในอดีตเขาขัดแย้งกับกิลเบิร์ตมามากมาย และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่อาจพัฒนาไปในทางที่ดีได้แต่ต้องขอบคุณเฟนด์ที่ทำให้เขาสามารถวางเฉยต่อความแค้นทั้งหมดที่เคยมีได้แอนดรูว์พูดด้วยใบหน้าที่มืดมน “รองเหรัญญิก ดูเหมือนคุณจะฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เฟนด์เลยนะ“แต่คุณก็น่าจะเตือนเฟนด์สักหน่อยว่าต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรหยิ่งผยองเกินไป”แอนดรูว์โกรธมากในขณะนั้นและอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะต้องเอ่ยคำดูแคลนที่สุดเช่นนั้นออกมากิลเบิร์ตกล่าวเสริมอย่างรีบร้อนทันที “แอนดรูว์พูดถูก แม้ว่าพรสวรรค์ของเฟนด์จะค่อนข้างดี แต่เขาก็ไม่ควรหยิ่งผยองนัก คำพูดพวกนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด”เฟนด์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกคนทั้งสองเหยียบย่ำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟนด์ไม่ได้เอ่ยปากเลยสักคำ แล้วเขาจะเอาเวลา
ในตอนแรก คอนสแตนซ์และซีนย์เพียงยืนเคียงข้างกันโดยไม่สนใจเรื่องนี้ พวกเขาต้องการปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อว่าเกรย์สันและรูดี้เริ่มเถียงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองคนก็ถูกบีบให้ต้องทำอะไรสักอย่างพวกเขาถูกบีบให้ต้องแยกรูดี้และเกรย์สันออกจากกัน นั่นก็เพราะ การทะเลาะกันของเด็ก ๆ ควรจะมีขีดจำกัด เพราะหากมันเกินขีดจำกัดไปแล้ว นั่นจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่รูดี้และเกรย์สันเองก็ไม่อยากเห็นเป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผู้อาวุโสฮอร์สท์นั่งบนเก้าอี้ ขณะมองดูการทะเลาะวิวาทและการพูดคุยกันอย่างเฉยเมย เมื่อหมดเวลาเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เสียงปรบมือดังขึ้นตอนที่เขาจะพูดว่า "เอาล่ะ หมดเวลาแล้ว ทุกคนต้องตัดสินใจได้แล้วว่าจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองยังไง”“ฉันไม่คิดว่าฉันจะต้องบอกอะไรพวกนายทุกอย่างหรอกนะ ตอนนี้ก็แยกออกเป็นกลุ่มเสีย ผู้ที่ต้องการรวมอักขระทางยาจะยืนอยู่ทางทิศตะวันออก“ผู้ที่ต้องการแยกแยะวัสดุสามารถยืนอยู่ตรงกลางได้เลย และหากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยกันบ่มเพาะโอสถให้ไปยืนที่ทางทิศตะวันตก“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอเตือนทุกคนก่อน หากทุกคนต้องการ