“โดมถามตัวเองก่อน ถามตัวเองให้ดีให้มั่นใจให้ชัดเจนว่ารู้สึกอย่างไรกับหนูมนแล้วค่อยคิดทำอย่างอื่นต่อไป คิดให้ดีและตอบตัวเองให้ได้ และให้เร็วที่สุดเพราะหากช้าหรือมัวแต่ทิฐิดื้อดึง โดมจะเสียใจ...” คำพูดของบิดาที่คุยกันก่อนหน้านี้ดังก้องอยู่ในหัว...
อัครวัฒน์ถอนหายใจออกมาหนักๆ กับความคิดอันสับสนของตนเอง ด้วยความที่เขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายมาตั้งแต่ต้นนิสัยใจคอก็ไม่ใช่จะร้ายกาจมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ความเสียใจทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่และคิดแค้นใจกับคนที่ทำให้คนรักจากไปอย่างน่าเศร้า แต่คนผิดก็ได้รับกรรมที่ก่อแล้ว การที่เขาเอามนตรามาระบายความแค้นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
แต่มนตรากลับรบกวนหัวใจเขาให้วุ่นว่ายและสับสนตั้งแต่แรกที่เขาได้เห็นแววตาใสๆ คู่นี้ ซึ่งกระตุกหัวใจของเขาให้แกว่งไกวไหวหวั่น เขาพยายามปฏิเสธตัวเองมาตลอดว่ามันไม่จริง มันไม่ใช่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันถูกต้องแล้ว เมื่อได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยเจ็บปวดของมนตราในวันนั้นที่ไร่อัครา แววตาเศร้าๆ
บทที่ 45.ในทุกๆ วันมนตราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปจ่ายตลาดทำอาหารเช้าและดูแลเอาใจใส่ปรนนิบัติคุณดาราอย่างดี เธอเป็นทั้งพยาบาลส่วนตัวของคุณดารา เป็นนักกายภาพบำบัด เป็นแม่ครัว เป็นแม่บ้าน ซึ่งสิ่งที่มนตราทำให้คุณดารานั้นล้วนเป็นไปด้วยความเต็มใจของเธอเอง ซึ่งทำให้คุณดารานั้นพอใจมากกับกิริยาท่าทางที่นอบน้อมเจียมตัวของมนตรา ที่แสดงออกมาด้วยความจริงใจไม่ใช่เสแสร้ง และมนตราก็ไม่มีท่าทางจะอยากขยับฐานะจากผู้หญิงของอัครวัฒน์มาเป็นสะใภ้ดีแลนด์ ทั้งที่คุณดาราเองก็เห็นว่าลูกชายตัวดีนั้นแอบไปพบหรือไม่ก็ให้มนตราขึ้นมาหาที่ห้องอยู่เป็นประจำแม้ว่าคนเป็นแม่นั้นอยากจะทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องและยุติธรรมกับหญิงสาวผู้น่าสงสาร แต่คุณดารายังมีไม้เด็ดที่จะดัดนิสัยลูกชายจอมปากแข็งของตนอยู่ และแผนสำรองก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น นางจะไม่ปล่อยให้หญิงสาวแสนดีอย่างมนตราไปเป็นสะใภ้บ้านอื่นแน่ๆ และอัครวัฒน์จะต้องมีภรรยาที่ชื่อมนตราเท่านั้น... คุณดาราเฝ้ามองหญิงสาวที่กำลังนั่งแกะสลักผลไม้ใส่จานของว่างอย่างขะมักเขม้นด้วยความหมายมาดในใจ“กำลังวางแผนอะไรหรือจ๊ะที่รัก...” คุณอีริคก
บทที่ 46.“ให้ผมขับรถให้ไหมครับคุณแม่” อัครวัฒน์กล่าวขึ้นเมื่อเขาแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลยในบ้านริมหาดในช่วงเวลานี้ อีกทั้งเขารู้ตัวว่าทำผิดชนิดที่ว่ามารดานั้นโกรธมากจึงได้แต่เงียบๆ ไว้ก่อน“ไม่ต้องย่ะ ฉันมีคนขับรถให้แล้ว แดนนี่ แดเนียลเราไปกันเถอะ”คุณดารากล่าวเชิดๆ ใส่ลูกชายซึ่งท่าทางของนางทำให้มนตรา งงอยู่ไม่น้อยที่แม่ลูกเขามีท่าทางเช่นนี้ใส่กัน แต่เธอเองก็รู้ตัวดีว่าเป็นใครจึงไม่กล้าถามจึงทำเฉยเสียเพราะคิดว่ามันคงไม่เกี่ยวกับตน หญิงสาวถือตะกร้าใส่อาการว่างที่คุณดาราบอกให้เตรียมไปด้วยเดินตามหลังคุณดาราไปและคอยหลบแววตาคมๆ วาวๆ ของคนตัวโตที่ทำท่าเหมือนจะโผนเข้ามาหาแล้วก็จูบเธอต่อหน้าทุกคนอย่างไรอย่างนั้น...บ้าจัง นี่เธอคิดไปได้ไกลขนาดนั้นอย่างไรกัน... มนตราหน้าแดงกับความคิดของตัวเอง...“อ้อ... มนจ๊ะฉันรบกวนไปหยิบผ้าพันคอให้หน่อยสิจ๊ะ รู้สึกลมจะแรงๆ ไปนะวันนี้”“ได้ค่ะคุณท่าน” หญิงสาวรับคำแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อไปหยิบของตามที่คุณดาราต้องการ
บทที่ 47.“ผมคิดว่ายังไม่บอกมนดีกว่าครับคุณดารา ผมเพิ่งกลับมาอย่างน้อยๆ ก็อยากให้มนรู้สึกดีกว่านี้ และให้เราได้อยู่ด้วยกันนานๆ นานเท่าที่จะทำได้...” นายมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะให้สดใสทำให้สองสามีภรรยามองหน้ากันแล้วถอนใจ“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่นางมิ่งเถอะนะ แต่หากมีอะไรที่จะให้เราช่วยเหลือก็บอกได้”“ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ไอ้เมืองมันยังอยู่ดีไหมเท่านั้นล่ะครับ...” แล้วคำถามของนายมิ่งก็เรียกเสียงถอนหายใจจากสองสามีภรรยาอีกครั้ง...ตั้งแต่นายมิ่งกลับมาที่บ้านพักริมหาดซึ่งเงียบเหงามานานก็ดูมีสีขึ้น ทั้งคุณอีริค คุณดาราเองก็ตกลงใจจะพักผ่อนอยู่ที่นี่นานขึ้นด้วย ทุกคนล้วนดูมีความสุขและบ้านก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มนตราเองก็พูดคุยยิ้มหัวและสดใสมากขึ้น และหญิงสาวก็สนิทสนมกับแดนนี่และแดเนียลมากขึ้น ทั้งยังนับถือชายหนุ่มทั้งสองเป็นเสมือนพี่ชาย สร้างความไม่พอใจให้กับอัครวัฒน์เป็นอย่างมาก เขาถูกกันออกจากมนตราอย่างเจตนาและก็ไม่อาจจะขัดใจมารดาในตอนนี้ เมื่อความผิดที่ทำมันยังค้ำคออยู่ยิ่งรู้ว่านายมิ่งเหล
บทที่ 48.หญิงสาวพยายามบอกตัวเองเช่นนั้น เธอพยายามยิ้มและพยายามจะหัวเราะ แต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ เธอกำลังร้องไห้ดังคนเสียสติ... หญิงสาวปิดห้องเงียบล้มตัวลงนอนบนที่นุ่มแสนสบายในห้องรับรองของเรือนเด่นซึ่งในครั้งนี้เธอมาในฐานะแขกของคุณดารา ไม่ใช่ผู้หญิงหรือนางบำเรอของอัครวัฒน์ เธอมีเกียรติและศักดิ์ศรีที่ไม่น้อยหน้าใคร แต่ทำไมนะ เธอจึงไม่รู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับสิ่งที่มีที่เป็นเลย ซ้ำยังมาร้องไห้ราวคนหัวใจแตกสลายเสียอีก...ในขณะที่มนตรากำลังร้องไห้ด้วยความสับสน คนอีกคนที่เพิ่งจะปล่อยเธอเป็นอิสระก็ยังคงนั่งซึมอยู่กับตัวเองในห้องทำงานของเรือนโดมที่เขาเข้ามาหมกตัวอยู่ที่นี่ตั้งแต่เย็นจนดึกดื่นโดยปล่อยให้พี่ชายทั้งสองเป็นคนจัดการธุระที่เขาไหว้วานไว้...“ฉันทำถูกแล้วใช่ไหม พี่โดมทำถูกแล้วใช่ไหมหนูเล็ก... ช่วยบอกพี่ที...” เขาพูดเบาๆ กับสายลม ในขณะที่มือเรียวในแบบบุรุษเพศกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ตโฟนดูสิ่งที่เขาแอบคัดลอกมาจากโทรศัพท์ของมนตรา...รูปใบหน้าสดใสด้วยรอยยิ้มของมนตรากระจ่างใสอยู่บนหน้าจอมือถือ ถ้อยคำที่เธอเขียนบันทึกไว้ในไดอะรีของโทรศัพท์ รูปภาพที่มนตราแอบแต่งเล่น โดยมีรูปของเ
บทที่ 49.“มน เป็นอะไรไปลูก”“เปล่านี่คะพ่อ ว่าแต่พ่อเถอะทำไมดูเซียวๆ ล่ะคะ”เธอหันมายิ้มบางๆ ให้บิดาที่นั่งวีลแชร์มาหาตนด้วยความช่วยเหลือจากพยาบาลพิเศษซึ่งคุณดาราจ้างไว้ดูแลบิดาของเธอ ซึ่งมนตราไม่สามารถจะปฏิเสธความหวังดีของท่านได้ เธอเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบิดาถึงไม่ได้ดูดีขึ้นเลยแต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าท่านอาจจะยังอยู่ในช่วงพักฟื้นก็เป็นได้“เฮ้อ จะมาเอาอะไรกับคนแก่ละลูก ไปเถอะแดดแรงแล้วเข้าบ้านกันดีกว่า” นายมิ่งพูดตัดบทแล้วพยักหน้าให้พยาบาลเข็นรถเข้าบ้าน มนตรามองตามบิดาด้วยความรู้สึกแปลกๆในค่ำวันนั้นหลังจากที่มนตราดูแลบิดาจนกระทั่งเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็เดินดูรอบๆ บ้านพักเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยก่อนจะเข้าบ้านพักของตนแม้จะมีคนของอัครวัฒน์ที่ไว้ใจได้คอยดูแลความปลอดภัยให้กับเธอและบิดาตามคำสั่งของคุณดารามนตราถอนใจหนักๆ เมื่อล้มตัวลงนอนในใจก็รู้สึกเบาโหวงเล็กน้อยที่นับจากนี้จะไม่ได้พบกับอัครวัฒน์อีกต่อไป ดวงตากลมโตรื้นด้วยน้ำตาเล็กน้อยขณะเปิดดูรูปของเขาจากโทรศัพท์มือถือที่เธอแอบถ่ายรูปเขาไว้หลากห
บทที่ 50.มนตรารู้สึกหน้าร้อนผ่าวเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองนอนเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ผ้าห่มนุ่ม ส่วนคนที่นอนเคียงข้างเธอมาตลอดคืนนั้นหายไป เหลือไว้เพียงรอยบุ๋มที่หมอนข้างๆ กับกลิ่นหอมสะอาดเช่นบุรุษเพศของเขาที่เธอจดจำได้ดีเขาไปแล้วสินะ สุดท้ายแล้วเธอก็ยังคงมีสถานะไม่ต่างไปจากนางบำเรอของเขาอยู่ดี...มนตราคิดอย่างเศร้าสร้อยพยายามลุกขึ้นเพื่อเข้าห้องน้ำแต่เหมือนวันนี้โลกทั้งโลกของเธอไหวโคลงไปเหมือนเธอกำลังจะล้มตีลังกา...“อุ๊ย...” ร่างบางเซถลาทันทีที่เท้าเหยียบย่างลงบนพื้นกระเบื้องแต่ดีที่ว่ามีแขนแข็งแรงของใครบางคนมารองรับร่างเธอไว้ไม่เช่นนั้นเธอคงล้มหัวฟาดพื้นแน่แท้...“พี่โดม...” มนตราเงยหน้ามองเขาและเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมลืมตัวก่อนจะยกมือผลักเขาออกเมื่อรู้สึกถึงความเปลือยเปล่าของตนกับอกกว้างที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามสวยของเขา... ดีที่เขายังสวมกางเกงอยู่ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องอายเขามากกว่านี้แน่ๆ“ปล่อยมนค่ะ...”“จะปล่อยได้ไง เดี๋ยวก็ล้มหร
บทที่ 51.“มนตรา...” เหมือนทั้งสามหนุ่มจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน...“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้จะตั้งใจจะแอบฟัง แต่บังเอิญว่าพ่อเกิดอาการทรุดหนักฉันเลยจะมาขอร้องให้คุณพาพ่อไปหาหมอ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าคงไม่ต้องแล้ว...”มนตราพูดทั้งน้ำตาก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องทำงานของเขาอย่างเร็วด้วยความเจ็บปวด อัครวัฒน์รีบวางสายจากพี่ชายแล้ววิ่งตามหญิงสาวออกไปมือใหญ่คว้าข้อมือบางไว้ได้ทันแต่เธอสะบัดข้อมือหนีอย่างรังเกียจและตะโกนใส่หน้าด้วยความเกลียดชัง...“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน... ฉันเกลียดคุณ อย่ามาใกล้พวกเรา ไปให้พ้น ฉันเกลียดคุณได้ยินมั้ย... เกลียดดดด...”คำว่าเกลียดที่ออกจากปากเธอนั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่งงันไป ได้แต่มองมนตราวิ่งกลับไปเรือนเล็กด้วยความรู้สึกชาหนึบไปทั้งตัวและหัวใจ... ความลับไม่มีในโลกไม่ช้าหรือเร็วมันก็ต้องเผยให้คนได้รับรู้... ตอนนี้เขาเจ็บปวดเหลือเกิน...นายมิ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทั้งที่ตัวของนายมิ่งเองก็ไม่ได้อยากจะมาหาหมอ แต่ทนเสียงรบเร้าของมนตราไม่ไหว และในขณะเดียวกันมนตราก็ล
บทที่ 52.งานศพของนายมิ่งผ่านไปด้วยดีท่ามกลางความเศร้าเสียใจของทุกๆ คนโดยเฉพาะมนตราที่ร้องไห้ตลอดเวลา และไม่ค่อยพูดจากับใครยกเว้นคุณดาราที่เธอจะพูดคุยด้วยมากกว่าคนอื่นๆ รวมไปถึงยอดรักกับบารนีซึ่งเธอให้ความเคารพเสมือนพี่สาว แต่คนที่เธอไม่เคยถามถึง ไม่พูดด้วย และไม่มองแม้แต่หางตาก็คงหนีไม่พ้นอัครวัฒน์ที่ดูจะเป็นเหมือนอากาศธาตุในสายตาของมนตราไปแล้ว...“เอ่อ... มนจ๋า ทานอะไรหน่อยไหม พี่โดมว่าน้องมนน่าจะทานโจ๊กร้อนๆ บ้างนะ ดูสิหน้าซีดเชียว”อัครวัฒน์เดินยกถาดโจ๊กแสนอร่อยที่เขาทำเองกับมือมาให้หญิงสาวที่นั่งอยู่เพียงลำพังในสวนหลังบ้านดีแลนด์ ซึ่งคุณดาราขอร้องให้เธอพักอยู่ด้วยกันชั่วคราวระหว่างที่มนตรากำลังรอจะเดินทางกลับไปยังจังหวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งทางภาคอีสานซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดา มนตราบอกกับทุกคนว่าจะกลับไปอยู่ที่นั่นเป็นการถาวร แต่คุณดาราเห็นว่าที่นั่นมันห่างไกลความเจริญมากไปอีกทั้งมนตรายังท้องยังไส้นางจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงพยายามรั้งมนตราไว้ก่อนเพื่อแผนการบางอย่าง...“น้องมนจ๋า ทานอะไรหน่อยนะครับเพื่อเจ้าตัวเล็ก...”
บทที่ 61. อวสาน “ไม่อยากนอนค่ะอยากทำอย่างอื่น..” มนตราบอกสามีเสียงพร่าเล็กน้อยแล้วเผยอกายขึ้นผลักเขานอนลงแทนที่ตนก่อนจะก้มลงไล้เลียยอดอกของเขาอย่างที่เขาทำกับเธอเมื่อครู่อัครวัฒน์ถึงกับครางเสียงดังเลยทีเดียว..“โอ้ว มนจ๋ามนที่รัก... ดีเหลือเกินเมียจ๋า...” อัครวัฒน์ครางกระเส่าเร่าร้อน กายแกร่งปวดหนึบไปด้วยความต้องการอยากจะโจนจ้วงเข้าสู่โพรงร่างสาว อัครวัฒน์ร้อนจนไม่อาจจะรีรอให้หล่อนเล่นเกมเหนือเขาได้ ชายหนุ่มผลักร่างเล็กลงนอนแทนที่ตนเปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุก มนตราหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจเมื่อเห็นแววตาและความพรั่งพร้อมของสามี อัครวัฒน์ก้มลงไปยังกึ่งกายสาวแล้วแตะแต้มริมฝีปากเลียไล้ไปทั้งกลีบกายสาวสดฉ่ำชุ่มชื้น...“อ๊า โอ้ววว... พี่โดมขา...” มนตราครางกระเส่าแล้วแอ่นหยัดสะโพกเข้าหาปากร้ายของเขาเร่าๆ ด้วยความเสียว ก่อนที่สะโพกมนจะเกร็งค้างกับปากและลิ้นของเขาเมื่อพุ่งทะยานไปสู่ความสุขสมอัครวัฒน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจับร่างเล็กให้ก้มก้งโค้งในท่าคลา
บทที่ 60. มนตรามองสามีที่กำลังจูงมือลูกๆ มาหาตนในสวนผักปลอดสารพิษที่เธอกับลูกสาวฝาแฝดทั้งสองช่วยกันปลูก น้องมิ่งแก้ว กับ น้องมิ่งขวัญ ชอบกินผักซึ่งเธอพอใจมากที่เด็กๆ ชอบกินผัก ตอนนี้เด็กหญิงทั้งสองสี่ขวบแล้ว“คุณแม่ขา.. พวกเรามาแย้วววว..” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักวิ่งมาหาผู้เป็นแม่จนผมเปียปลิวไสว มนตรากางแขนรอรับลูกสาวทั้งสองแล้วหอมแก้มแดงๆ ของสองสาวจอมซนหนักๆ อย่างรักใคร่และมันเขี้ยว“เหงื่อท่วมมาเชียวไปเล่นอะไรกันมาคะเนี่ย”“วิ่งจับผีเสื้อค่า แต่จับไม่ได้สักตัว” เด็กหญิงมิ่งขวัญตอบเจื้อยแจ้ว“ผีเสื้อบินเร็วๆๆ แบบนี้ค่า” เด็กหญิงมิ่งแก้วทำท่าบินๆ ให้ผู้เป็นแม่ดู“ผีเสื้อบินน่ารักจัง”“ช่ายค่า น่ารักเหมือนแก้วเหมือนขวัญ” เด็กหญิงทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันแล้วกอดคอกันยิ้มแฉ่งให้บิดามารดาของตน“เซี้ยวจริงๆ เลยลูกพ่อ” อัครวัฒน์เดิน
บทที่ 59.“เมื่อคืนมนฝันถึงคุณชลิตาด้วยค่ะ” มนตราบอกสามีซึ่งซบหน้าหอบกระเส่าอยู่กับอกอวบใหญ่ของตนหลังจากที่เพลงรักเร่าร้อนที่ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่จบลง...แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ความรักที่พวกเขามีให้กันก็ยังคงฉ่ำหวานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้ลูกๆ ไม่อยู่ขัดความสำราญพวกเขาก็ยิ่งรักกันเหนียวแน่นมากขึ้น เพราะน้องมิ่งแก้วกับน้องมิ่งขวัญในวัยสองขวบนั้นไปเที่ยวพักผ่อนที่ไร่ของคุณลุงเด่นคุณป้ายอดรักกับคุณปู่คุณย่าที่ยังคงแข็งแรงสดใส ซึ่งยินดีจะเลี้ยงดูหลานๆ เพื่อให้โอกาสลูกชายลูกสะใภ้คนดีได้อยู่ด้วยกันลำพังบ้างมนตรากับอัครวัฒน์นั้นต่างช่วยกันเลี้ยงดูลูกๆ ฝาแฝดทั้งสองด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนพวกเขาก็จะยกกันไปทั้งครอบครัว มาดคุณโดมแฟมิลี่แมนจึงเป็นที่กล่าวขวัญและมนตราก็เป็นหญิงสาวที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาในความโชคดีของเธอที่ได้สามีที่ดีแสนน่ารักอย่างคุณโดม อัครวัฒน์ ดีแลนด์ คนนี้...“จริงเหรอ เหมือนพี่เลย พี่ก็ฝันว่าหนูเล็กมาเยี่ยม เธอดูมีความสุขมากทั้งที่พี่ไม่ได้ฝันถึงเธอมานานมากตั้งแต่เราแต่งงานกัน...”
บทที่58.“แล้วแก้แค้นเธอสำเร็จไหมคะ...” มนตราถามล้อๆ พลางยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์...“ก็ไม่รู้สินะ รู้แต่ว่ามันทำให้พี่ได้ทั้งเมียและลูกมาพร้อมๆ กัน...”อัครวัฒน์ยิ้มกว้างพอๆ กับเธอที่ยิ้มไม่หุบ รอยยิ้มสดใสของมนตราดังมีมนต์ขลังที่ทำให้เขาถอนสายตาจากใบหน้านวลไม่ได้เลย ชายหนุ่มมองเธออย่างหลงใหลจนมนตรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับแววตาที่เริ่มจะพราวพรายของเขา“เราทานข้าวกันดีกว่าค่ะ มนอยากจะไปเดินเล่นในไร่...” หญิงสาวตัดบทและหาทางเอาตัวรอดจากเปลวเสน่หาของเขาไปก่อนในเช้านี้อัครวัฒน์รู้ทันความคิดเธอจึงคีบจมูกเล็กๆ นั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วนั่งลงเคียงข้างกัน... หนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันและคุยกันด้วยความรักและเข้าใจ ความบาดหมางความแค้นเคืองขึ้งโกรธมลายหายไปจากใจของพวกเขาจนหมดสิ้นมีเพียงความรักอ่อนหวาน ที่โอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยรักแท้ที่ต่างอภัยให้กันและกัน...หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้วอัครวัฒน์ก็จดทะเบียนกับมนตราไว้ก่อนแล้วจัดงานแต่งงานใ
บทที่57.พระมิ่งเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเต็มไปด้วยเมตตาธรรมซึ่งมนตราสัมผัสได้ น้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นออกจากดวงตางามช้าๆ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือคนคนเดียวกันที่เคยทำร้ายเธออย่างเลือดเย็นมาก่อน...“ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่หรอกนะโยมน้องมน... อะไรที่ดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ควรจะคว้าไว้ โดยเฉพาะความสุขเพราะมันอาจจะอยู่กับเราไม่นาน หรือ เราอาจจะไม่ได้อยู่จนพบเจอมัน หากให้มิจฉาทิฐิบดบังจิตใจ... หลวงพี่จะบอกกล่าวเพียงเท่านี้...” มนตรารู้สึกเหมือนมีใครเขี่ยผงเล็กๆ ออกจากตาทั้งที่รู้แต่เธอกลับเขี่ยมันออกเองไม่ได้“ไหนแบมือมาสิโยมน้องมน...” หญิงสาวยื่นมือออกไปตามที่หลวงพี่บอก แล้วพระมิ่งเมืองก็วางของสิ่งหนึ่งลงบนมือของเธอด้วยการปล่อยให้มันตกลงมาเบาๆ มนตรามองของตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ“ฝากไปให้โยมโดมด้วย บอกว่าเป็นของขวัญจากหลวงพี่ให้เป็นของขวัญแต่งงาน... เจริญพร...”“สาธุค่ะหลวงพี่...” มนตราสาธุการด้วยความซาบซึ้งมองตามหลังพระมิ่งเมืองไปด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยควา
บทที่ 56.“หากไม่ยุ่งกับเมียจะไปยุ่งกับใครล่ะครับ ไม่เอาไม่ทะเลาะกันนะ เดี๋ยวลูกเราจะหน้ายุ่ง...”“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปคะ”“ทำไมน้องมนพูดแบบนี้ล่ะครับ เมียอยู่ที่ไหนผัวก็ต้องอยู่ที่นั่นสิครับ”“ฉันจำได้ว่าไม่เคยแต่งงานกับคุณนะคะ และเราก็ไม่ได้มีสถานะอะไรที่เกี่ยวข้องกันแล้ว แม้แต่แฟน หรือคนรัก เราก็ไม่เคยใช้มันร่วมกันมาก่อน...” คำพูดของเธอทำให้อัครวัฒน์สะอึกถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว...“พี่...”“พอเถอะค่ะ หากคุณจะทำทุกอย่างให้ฉันเพื่อไถ่โทษ หรือเพราะรู้สึกผิดที่หลอกใช้ฉันเพื่อนแก้แค้น เราจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันยกโทษให้คุณ เราเป็นอิสระต่อกัน... ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ถือว่าเราให้โอกาสกันและกัน ให้อิสระกันและกัน ฉันอาจจะได้เจอผู้ชายสักคนที่รักฉันจริงและพร้อมจะดูแลฉันกับลูก คุณเองก็อาจจะเจอผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมกับคุณทุกๆ ด้าน ผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกสาวพ่อบ้านกระจอกๆ อย่างฉัน...”มนตราตัดสินใจพูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองมีหวังอะไรลมๆ แล้ง
บทที่ 55.อัครวัฒน์สะดุ้งตื่นด้วยอาการของคนที่หัวใจจดจ่ออยู่กับการ ตามหาลูกเมีย ชายหนุ่มรีบก้าวลงจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวออกไปตามหามนตราเหมือนเช่นทุกวัน แต่เสียงเตือนข้อความที่ดังเข้ามาทำให้เขารีบเปิดดูอย่างรวดเร็วด้วยความหวังเพราะทุกๆ วินาทีที่มีข้อความหรือเสียงแจ้งเตือนใดๆ เข้ามาในโทรศัพท์นั้นเสมือนความหวังอันสูงสุดของเขา... ข้อความนี้ก็เช่นกันและทันทีที่อัครวัฒน์ปิดดูข้อความในครั้งนี้ มือใหญ่ของเขาก็สั่นระริกด้วยความยินดี น้ำตาลูกผู้ชายรื้นเต็มสองดวงตาคม เขาไม่คิดเลยว่าเพียงภาพภาพเดียวบนหน้าจอสมาร์ตโฟนเครื่องหรูนี้จะมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้...“มนตรา... โอ... คุณพระ... ไม่น่าเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อเลย...” อัครวัฒน์รีบแต่งตัวแล้วลงไปยังรถยนต์คันหรูพร้อมทั้งโทรศัพท์สั่งการลูกน้องคนสนิททันที เมื่อเจอหน้าบิดามารดาเขาก็รีบเข้าไปรายงานพวกท่านด้วยความตื่นเต้น...“ผมเจอมนแล้วครับคุณพ่อ คุณแม่ พี่เด่นเพิ่งส่งข้อความมาให้ผมเมื่อกี้นี้เอง เธออยู่ที่ไร่เวียงดารา ไร่ของคุณแม่นี่เอง... แต่ เอ๊ะ... นี่ทุกคนรู้มาตลอดเลยใช่ไหมครับว่ามนอ
บทที่ 54.“อ้อ... เห็นเขาเป็นเมีย เป็นแม่ของลูกด้วยเหรอ...”“คุณแม่ครับ ผมสำนึกผิดแล้วนะครับ และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้น้องมนรู้ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ”“แล้วยังไงอีกล่ะ”“ก็ผมรักเขา ผมรักน้องมน รักมาตั้งนานแล้วด้วย...”แล้วเขาก็บอกให้มารดาได้รับรู้ว่าเขารักมนตรามากแค่ไหน แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในตอนนี้เมื่อเธอไม่อยู่แล้ว...“โดมจะมาบอกแม่ทำไม ในเมื่อแม่ไม่ใช่หนูมน แล้วตอนนี้แม่ก็คิดว่าหนูมนคงกลับบ้านนอกไปแล้วก็ได้”“แม่คิดว่าน้องมนเขาจะไปไหนครับ”“ก็อาจจะกลับไปบ้านเกิดของพ่อเขาก็ได้มั้งลูก...” คุณดาราทำท่าเศร้าแล้วพูดต่อ“เฮ้อ... ถึงว่าหนูมนมีท่าทางแปลกๆ เมื่อวาน แล้วก็ยังบอกแม่ว่าจะกลับไปบ้านเกิดของนายมิ่ง โดมคิดดูนะ ลูกสะใภ้ของแม่ไม่มีใครไปตกระกำลำบากหอบลูกหอบเต้าไปบ้านนอกที่กันดารขนาดนั้น นี่หากหนูมนไปที่บ้านเกิดนายมิ่งจริงๆ แม่ล่ะหวั่นใจว่าหนูมนอาจจะแท้งกลางทางได้... โธ่ หนูมนของแม่...” คุณดาราทำที
บทที่ 53.“นั่นสิคะ น้องล่ะทึ่งหนูมนจริงๆ เธอใจเด็ดมากที่กล้าทำขนาดนั้น ลูกชายคุณพี่นี่โดนน้อยไปไหมคะ”“โธ่... นี่ไม่มีใครสงสารโดมบ้างหรือคะ ถึงรักจะเข้าข้างน้องมนแต่รักก็สงสารโดมนะคะคุณแม่”“ไอ้สงสารก็สงสารจ้ะ แต่รักดูสิ จนป่านนี้แล้วโดมบอกหนูมนสักคำหรือยังว่ารู้สึกยังไงกับเขาน่ะ หืม... คนท่ามากปากหนักนี่มันต้องเอาให้เจ็บ ดูสิ... จนหนูมนป่องขนาดนี้แล้วจะพูดอะไรมากกว่านี้สักคำก็ไม่มีไม่รู้ท่าเยอะเหมือนใคร...”คุณดาราหันมาค้อนสามีอย่างหมั่นไส้จนคุณอีริคเองก็พลอยเสียวสันหลังไปด้วย จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ภรรยาที่รัก“แหม น้องล่ะก็ มาลงที่พี่ทุกทีเลย”“ก็มันจริงนี่คะ สงสัยเราต้องงัดไม้ตายมาใช้แล้วล่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลานเราแย่กันพอดี”“จริงค่ะคุณแม่ น้องมนเองก็ร้องไห้หนักมาก น่าสงสารออกค่ะ”“ที่แม่ทำไปก็เพื่อเราทุกคนนะจ๊ะหนูรัก แม่น่ะรักลูกๆ ทุกคนและอยากให้พวกเรามีความสุขกันเสียที” คุณดารากล่าวพลางลูบเรือนผมสลวยของส