ในความคิดแรกของหลิงอี้หรานคือ อี้จิ่นหลีคิดจะลงมือกับร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้ ขนาดบริษัทที่คนอื่นว่ากันว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ก็ยังอยู่ในกำมือของเขา เพียงแค่พลิกฝ่ามือก็สามารถทำให้บริษัทล่มจมไปได้เลยทันที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้เลย“ฉัน… ฉันไม่เคยคิดแบบนี้” เธอเอ่ยพึมพำ เธอไม่อยากให้ร้านของพี่จัวต้องมาเจอกับความยากลำบากเพราะตัวเธอ อย่างไรเธอก็มองออกว่า พี่จัวเป็นคนที่ดี และยังมีลูกชายที่มีปัญหาทางการได้ยินอีก ชีวิตของเธอต้องแบกรับภาระมากมาย“ถ้าไม่เคยก็แล้วไป งั้นพี่ก็อยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถอะ” อี้จิ่นหลียิ้มออกมาหลิงอี้หรานเม้มริมฝีปากและไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอี้จิ่นหลีจับมือทั้งสองของเธอขึ้นมาและเอาฝ่ามือของเธอมาวางไว้บนแก้มของเขา “ในเมื่อพี่ยืนยันว่าจะหางานด้วยตัวเอง งั้นฉันจะตามใจพี่ ไม่ว่าทุกวันพี่จะกลับมาดึกมากแค่ไหน พี่ก็ต้องมาบอกฝันดีกับฉันนะ เข้าใจไหม?”เธอตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะขออะไรแบบนี้ออกมาบอกฝันดี… นั่นเป็นคำที่เธอบอกกับเขาทุกคืนตอนที่อยู่ห้องเช่า เพราะตอนนั้นเขาเป็นครอบครัวของเธอ เป็นคนที่คิดว่าเธอจะพึ่งพาเขาได้แต่ตอนนี้… เขากับเ
จัวเชียนอวิ๋นเอ่ย “ขอโทษด้วยนะ ปกติเสี่ยวเหยียนไม่เป็นแบบนี้เลย ดูเหมือนว่าเขาจะติดเธอเป็นพิเศษ”“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันก็ชอบเสี่ยวเหยียนมากเหมือนกัน” หลิงอี้หรานเอ่ย ก่อนจะกอดเจ้าเด็กน้อยไปด้วยเด็กน้อยไม่ดิ้นอะไร กลับดูว่านอนสอนง่ายจนน่าแปลกใจ หลังจากที่หลิงอี้หรานกอดเขาไว้แล้ว ปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มให้หลิงอี้หรานทันทีรอยยิ้มนี้ แม้ว่าจะดูมีความขี้อาย แต่ก็มีความเอาอกเอาใจ เห็นแบบนี้แล้วหลิงอี้หรานก็อดรู้สึกเจ็บปวดใจไม่ได้ “สวัสดี เสี่ยวเหยียน” หลิงอี้หรานเอ่ย ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวของเสี่ยวเหยียนเพียงแต่เด็กน้อยคนนี้นั้นไม่ได้ยินเสียงของหลิงอี้หราน เขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไร ทำได้แค่มองเธอด้วยความสงสัยแค่นั้นจัวเชียนอวิ๋นที่ยืนอยู่ด้านข้างกำลังมองไปยังภาพของลูกชายเธอและหลิงอี้หรานตอนนี้ ทันใดนั้นความโศกเศร้าบางอย่างก็แวบผ่านดวงตาของเธอ เสี่ยวเหยียน… จะเอาหลิงอี้หรานเป็นคนนั้นหรือเปล่า? ดังนั้นถึงได้ติดเธอขนาดนี้… แต่น่าเสียดาย… คนนั้นจะไม่มีวันได้เจออีกเลยตลอดกาลแล้ว“พี่จัว วันหลังพี่ช่วยสอนภาษามือให้ฉันหน่อยได้ไหม? ฉันอยากคุยบทสนทนาพื้นฐานกับเสี่ยวเหยียน” หลิง
ส่วนพี่จัวที่เป็นเจ้าของร้าน ก็ต้องทำหน้าที่คิดเงิน ยกถาด เช็ดโต๊ะ ดูเหมือนว่าจะได้ทำแค่นิดหน่อยเท่านั้น เมื่อไหร่ที่เกิดงานยุ่งขึ้นมา เธอก็ไม่มีเวลาว่างเลยความสามารถที่มีอาจจะมีจำกัด แต่เธอก็สามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดให้เด็กคนนี้ได้ทุกอย่างเท่าที่เธอจะมีให้ได้ตอนบ่ายสามโมงกว่า ทางร้านก็ได้รับคำสั่งซื้ออีกครั้งเป็นขนมปังสับปะรดและชานมเมื่อหลิงอี้หรานได้รับสถานที่ที่ต้องไปส่งอาหารแล้ว กลับรู้สึกตกใจเล็กน้อย“ว่าไง? มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” จัวเชียนอวิ๋นเตรียมอาหารเสร็จ เธอก็ได้ยื่นให้หลิงอี้หราน แต่สายตาของเธอกลับจ้องไปยังกระดาษออเดอร์อย่างเลื่อนลอย“ไม่มีอะไรค่ะ” หลิงอี้หรานเอ่ยตอบ ก่อนจะหยิบขนมปังสับปะรดและชานมไปที่อยู่ของคำสั่งซื้อเมื่อกี้ ดันเป็นสำนักงานกฎหมายที่เธอเคยทำงานเป็นทนายอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้เธอต้องไปส่งอาหารที่นั่น แน่นอนว่าก็ต้องเจอกับเพื่อนร่วมงานที่เธอเคยทำงานด้วยตอนนั้นเธอรุ่งเรืองมากในการทำงานที่นั่น แต่ในตอนนี้เธอกลับจนตรอกสุด ๆ ในใจหลิงอี้หรานพลันรู้สึกกลัดกลุ้มใจ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็เลือกที่จะทำงานนี้แล้ว อย่างไรในสถานการณ์แบบนี้เธอก็ไม่สามารถเลี่ยงได้อยู
แต่วินาทีถัดมา ท่อนแขนของเธอก็ถูกเขาคว้าเอาไว้ จากนั้นเธอก็ตัวเซเข้าสู่อ้อมกอดกว้างของอีกฝ่ายทันทีด้วยแรงของอีกฝ่ายเธอพยายามจะดันตัวออกจากอ้อมกอดของร่างสูงโดยอัตโนมัติ แต่มือทั้งสองข้างของเขากลับรวบตัวเธอไว้และกอดเธอแน่นขึ้น“พี่บอกฝันดีแบบนี้ ใครก็รู้ว่าทำแบบขอไปทีสุด ๆ !” ริมฝีปากของเขาแนบชิดกับใบหูของร่างเล็กเอ่ยก่อนจะเอ่ยเสียงเบาร่างกายของเธอแข็งทื่อไปชั่วขณะ รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาที่พ่นไปยังหูของเธอ และดูเหมือนว่าร่างกายของเธอตอนนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยลมหายใจของเขา“คุณ… ปล่อยนะ” เธอเอ่ย ใบหน้าของเธอเริ่มแดงก่ำ“พี่จะไม่คุยกับฉันหน่อยเหรอ งานใหม่วันแรกเป็นยังไงบ้าง?” เขาเอ่ย“ก็เหมือนงานส่งอาหารทั่ว ๆ ไปนั่นแหละ มีคนสั่งอาหารแล้วก็ไปส่งแค่นั้น” เธอเอ่ย รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้นไม่หยุด เลือดเริ่มสูบฉีดมากขึ้นและเร็วขึ้นเช่นกัน“จริงเหรอ? งั้นวันนี้พี่ได้กินข้าวไหม?” เสียงของเขาดังก้องอยู่ข้างหูเธอ“ก็กินด้วยกันกับเจ้าของร้าน กินด้วยกันทั้งสองมื้อเลย” ใบหน้าของเธอตอนนี้ร้อนผ่าวอย่างแรง ราวกับว่าจะไหม้ไปได้เลย ความรู้สึกแปลก ๆ นี้ทำให้เธอเริ่มลนลาน ตอนนี้เธอแค่
ตกดึก ในขณะที่หลิงอี้หรานหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงไปแล้ว ประตูห้องตรงที่เชื่อมระหว่างทั้งสองห้องก็เปิดออก ปรากฏร่างสูงร่างหนึ่งที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ ดวงตาสีดอกท้อที่เต็มไปด้วยความเย็นชา บัดนี้ได้จ้องมองผู้หญิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคะนึงหาผูกพัน“ฝันดีนะ พี่สาว” เสียงอันสง่างามน่าเกรงขามดังออกมาจากปากของเขา เสียงนั้นเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และความปรารถนาบางอย่าง……วันต่อมาเมื่อหลิงอี้หรานไปทำงาน ทางร้านก็ได้รับคำสั่งซื้อเป็นจำนวนมากกว่า 30 รายการในตอนเที่ยงปกติแล้วเธอมักจะออกไปส่งอาหาร 7-8 ชุดต่อหนึ่งครั้ง แต่ตอนนี้ต้องส่ง 30 กว่าชุด จำนวนนี้แทบจะเทียบได้กับภัตตาคารขนาดเล็กที่ต้องส่งอาหารในตอนกลางวันแล้วจัวเชียนอวิ๋นเตรียมอาหารอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงได้เอ่ยกับหลิงอี้หราน “เดี๋ยวต้องรบกวนเธอไปส่งอีกแล้ว”“แล้วออเดอร์อาหารอันอื่นจะทำยังไงคะ?” หลิงอี้หรานเอ่ย อย่างไรถ้าเธอส่งคำสั่งซื้อนี้แล้ว คำสั่งซื้ออันอื่นที่กระจัดกระจายอาจจะไม่ได้ไปส่ง“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันให้แม่กล่อมเสี่ยวเหยียนให้หลับไปก่อน แล้วค่อยให้แม่มาคิดเงินแทนฉัน ฉันจะไปส่งอาหารเอง ในร้านยังม
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลิงอี้หรานเข็นรถเข็นเข้าไปในสำนักงานใหญ่แล้ว พนักงานต้อนรับก็ได้เริ่มทักทายเธอ เพียงแค่ถามชื่อเธอเท่านั้นโดยที่เธอไม่ต้องลงทะเบียนอะไรเลย แถมยังมาช่วยเธอกดปุ่มลิฟต์อีกทั้งหมดนี้ทำให้ในหัวของหลิงอี้หรานเริ่มคาดเดาไปยังข้อสันนิษฐานเดียวที่มีอยู่ เมื่อเธอมาถึงที่อยู่ที่เขียนไว้ในใบที่อยู่การจัดส่งสินค้า ก็มีผู้หญิงร่างสูงที่สวมชุดดูมีระดับเดินมาหา “นี่คงเป็นคุณหลิงใช่ไหมคะ อาหารนี้ฉันสั่งมาเอง เดี๋ยวเอาวางไว้ตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ ส่วนอาหารสองชุดนี้รบกวนคุณเอาไปส่งให้ที่ห้องท่านประธานทีนะคะ”ใจของหลิงอี้หรานเต้นรัว การคาดเดาในก่อนหน้านี้ ตอนนี้คำตอบเริ่มจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วห้องท่านประธาน… อี้จิ่นหลีเป็นประธานของอี้กรุ๊ป อย่างนั้นอาหารสองชุดนี้ก็ต้องเอาไปส่งที่ห้องทำงานของอี้จิ่นหลีเหรอ?หลิงอี้หรานหยิบอาหารสองชุดแล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของอี้จิ่นหลี เธอยืนอยู่หน้าประตูไม้สีเข้ม ก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึก และเคาะประตูห้องสองครั้ง“เข้ามา” เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นมาจากข้างในหลิงอี้หรานผลักประตูเปิดออก ก่อนจะเดินเข้าไป เห็นแต่อี้จิ่นหลีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
หลิงอี้หรานรับกล่องอาหารมา ก่อนจะเริ่มก้มหน้าลงกินอาหารอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอแค่อยากจะรีบกินให้เสร็จ จากนั้นก็จะได้ออกไปเร็วหน่อย“พี่กินเร็วขนาดนี้ ร้อนใจอยากจะออกไปมากเลยเหรอ?” เสียงของอี้จิ่นหลีดังแผ่วขึ้นมาภายในห้องทำงาน“แค่กแค่ก…” หลิงอี้หรานสำลักจนแทบจะคายอาหารในปากออกมารอมร่อ ทำได้แค่เอามือป้องปากไว้และสำลักอย่างแรง ไม่นาน ใบหน้าของเธอก็เริ่มแดงขึ้นมาในที่สุด เธอก็หยุดไอด้วยความยากลำบาก แต่ฝ่ามือของเธอที่ปิดปากไปก็เปื้อนเมล็ดข้าวที่ติดอยู่ ดังนั้นเธอจึงจะหาทิชชู่มาเช็ดเม็ดข้าวที่ติดที่ฝ่ามือเธอแต่ก่อนที่เธอจะทันได้หยิบทิชชู่ขึ้นมา นิ้วมือของเขาก็คว้ามือเธอไว้แล้วดึงมาที่ตรงหน้าของเขาเธอพยายามจะบิดข้อมือออก แต่กลับไม่หลุดเลย “มือฉันสกปรก ต้องเช็ดก่อน” เธอเอ่ย“สกปรก?” เขาหัวเราะหึออกมาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “แต่ฉันไม่รู้สึกว่าสกปรกเลยนะ” เอ่ยเสร็จ เขาก็ก้มหัวลง ก่อนจะกดริมฝีปากไปที่ฝ่ามือของเธอ ค่อย ๆ เลียเม็ดข้าวทีละเม็ดที่ติดอยู่ตรงฝ่ามือเธอจนสะอาด…ร่างกายของหลิงอี้หรานแข็งทื่อไปแล้ว“เรียบร้อย” เสียงของเขาดังขึ้น แต่ดูเหมือนเขาไม่เต็มใจที่จะถอยห่างออกไปหลิงอี้หร
จัวเชียนอวิ๋นบอก “เป็นอะไรไป? เธอกินไปนิดเดียวเองนะ อาหารวันนี้ไม่ถูกปากเหรอ?” สำหรับมื้อกลางวัน ทุกคนในร้านอาหารเล็ก ๆ นี้ฉวยโอกาสที่ไม่มีคนขอให้พ่อครัวทำอาหารจานผักให้สองสามจานแล้วกินด้วยกัน“เปลาค่ะ แต่ฉันน่าจะยังอิ่มอยู่ตั้งแต่ตอนเช้าที่ออกมาทำงาน” หลิงอี้หรานมองเสี่ยวเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ “พวกพี่ทำไมไม่กินกันล่ะคะ? พอดีฉันยังไม่หิว เดี๋ยนวฉันป้อนผลไม้ให้เสี่ยวเหยียนดีกว่าค่ะ”พอพูดแล้วหลิงอี้หรานก็หยิบแอปเปิลมาปอกเปลือก จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ป้อนให้เสี่ยวเหยียนเด็กชายตัวน้อยอ้าปากอย่างเชื่อฟังแล้วกินแอปเปิลไปทีละคำ เขายิ้มให้หลิงอี้หรานเป็นระยะหลังจากที่ป้อนผลไม้เขาแล้ว เด็กชายก็รู้สึกง่วง เขาหาวและอ้าแขนออกทำท่าให้หลิงอี้หรานกอดหลิงอี้หรานก็อุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนและค่อย ๆ กล่อมให้เขาหลับแม้ว่าเด็กน้อยจะไม่ได้ยินเสียงฮัมเบา ๆ ของเธอ แต่มือน้อย ๆ ของเขาก็จะแตะไว้ที่ปากของเธอ เหมือนกับว่าเขาพยายามอย่างมากที่จะฟังเสียงของเธอหลังผ่านไปสักพักหนูน้อยก็หลับไป เมื่อมองร่างเล็ก ๆ ที่หลับใหล หลิงอี้หรานก็รู้สึกว่าจมูกแสบร้อนขึ้นมา เด็กที่น่ารักขนาดนี้กลับไม่ได้ยินเสียงใด ๆ
เสียงจัวเชียนอวิ๋นดังมาจากปลายสาย “นี่ การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดีนะ หมอบอกว่าเสี่ยวเหยียน หลังจากผ่านไปสองสามวันเสี่ยวเหยียนปรับตัวได้ เขาก็จะเริ่มการฝึกเรื่องของการแยกแยะเสียงแล้ว”“ดีมากเลยค่ะ” หลิงอี้หรานดีใจที่ได้ยิน “ถ้างั้นตอนบ่ายฉันจะแวะไปเยี่ยมเสี่ยวเหยียนนะคะ”จากนั้นหลิงอี้หรานก็ถามอีกครั้งถึงเลขห้องผู้ป่วยของเสี่ยวเหยียนในโรงพยาบาลก่อนจะวางสายไป“นี่เรื่องของเด็กที่หูหนวกนั่นเหรอ?” อี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หรานก่อนถาม“การผ่าตัดของเสี่ยวเหยียนเป็นไปด้วยดี ยังไงตอนบ่ายฉันก็มีเวลาว่าง ฉันเลยจะไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล” หลิงอี้หรานบอก“ให้ฉันไปกับเธอแล้วกัน” อี้จิ่นหลีพูด“คุณจะไปกับฉันเหรอคะ?” หลิงอี้หรานเบิกตาโตอย่างประหลาดใจ “แต่… คุณไม่มีงานต้องทำเหรอ?”“ฉันก็แค่บอกให้เลขาเลื่อนงานตอนบ่ายออกไป ยังไงก็ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วน” อี้จิ่นหลีพูดเรียบ ๆแต่หลิงอี้หรานรู้ดีว่าในบริษัทใหญ่แบบนี้ สำหรับคนเป็นประธานไม่มีอะไรที่ “เร่งด่วน” สำหรับเขา“ทำไม เธอไม่อยากให้ฉันไปด้วยเหรอ?” เขาถาม“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” พูดตามตรงการที่เขาเต็มใจจะไปเป็นเพื่อนเธอ ทำให้เธอประหลาดใจแต่ก็ร
และเพราะว่าเธอฟังเข้าใจ จู่ ๆ เธอก็ยิ่งรู้สึกอายสุดท้ายอี้จิ่นหลีก็ตอบว่า “เธอนั่นแหละ”“โอ้ จิน คุณเป็นอะไรกับเธอเหรอ? เป็นคนรักกันไหม?” คนต่างชาติมักจะชอบถามอะไรตรง ๆหากว่าเป็นพนักงานชาติเดียวกัน ไม่มีใครกล้าถามอี้จิ่นหลีตรง ๆ แบบนี้แน่จากนั้นหลิงอี้หรานก็ได้ยินอี้จิ่นหลีตอบเป็นภาษาอังกฤษ “เธอเป็นคนโปรดของฉัน”ฉับพลันหลิงอี้หรานก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเธอมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดไว้ แม้แต่จังหวะการเต้นของหัวใจก็เหมือนจะสะดุดหลังจากที่การประชุมทางวิดีโอจบลง อี้จิ่นหลีก็เดินเข้ามาหาเธอและถามว่า “เป็นอะไรไป? ทำไมหน้าแดงแบบนั้น?”“เปล่า…ไม่มีอะไรค่ะ” เธอรีบตอบแต่เขาก็เอามือมาจับหน้าเธอไว้แล้วพิจารณาหน้าแดงก่ำของเธอ “นี่เพราะว่าเรื่องที่พวกนั้นพูดเมื่อกี้เหรอ?”เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เธอก็ใช้ความเงียบเป็นการยอมรับ“ไว้อนาคตมีโอกาส ฉันจะแนะนำเธอกับพวกเขา” เขาบอก“แนะนำเหรอคะ?” เธอร้องเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม เธอไม่อยากเหรอ?”เอ่อ… เธออึ้งไป ตอนนั้นดวงตาสีดอกท้อคู่นั้นฉายแววบีบคั้น เหมือนว่าหากเธอตอบว่าไม่อยาก เธอก็คงเหมือนเป็นตัวจุดประกายให้ไฟโทสะเขาลุกท่วมเธอคิดอยู่พั
“แต่ถึงกู้ลี่เฉินอยากจะแย่งเธอไปจริง ๆ เขาก็ทำไม่ได้ใช่ไหม? เพราะว่าคนที่เธอชอบก็คือฉัน และคนที่เธอมีชะตาต้องตกหลุมรักในอนาคตก็คือฉันใช่ไหม?”เสียงของเขาพึมพำและลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่ารดใบหน้า เมื่อพูดจบเขาก็จูบเธอที่ริมฝีปากเขาไม่มีทางยกเธอให้ใคร เธอจะเป็นของเขาเท่านั้น……ตอนที่หลิงอี้หรานตื่นขึ้นมาให้วันต่อมา อี้จิ่นหลีก็ไปทำงานแล้ว หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จเธอก็เตรียมอาหารกลางวันให้อี้จิ่นหลีที่คฤหาสน์อี้มีกล่องอาหารกลางวันและวัตถุดิบ และก็มีพ่อครัวอยู่ใกล้ ๆ เห็นชัดว่าพ่อครัวก็ได้รับคำสั่งมา หากว่าหลิงอี้หรานมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ พ่อครัวก็พร้อมช่วยถึงขนาดที่ว่าหลังจากทำกล่องอาหารกลางวันแล้ว หลิงอี้หรานรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นพัฒนาสูงขึ้นเลยทีเดียวเธอนำกล่องอาหารมาที่อี้กรุ๊ป แต่เพราะว่าวันนี้คนขับรถของตระกูลอี้เป็นคนพาเธอมา ยามที่หน้าประตูก็ตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเธอลงมาจากรถแม้ว่าพนักงานหลายคนในบริษัทเริ่มที่จะลือกันว่าพนักงานส่งอาหารลึกลับคนนี้น่าจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพนักงานคนนี้จะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเล็ก ๆ มาเป็นรถส่วนตัวเร็วแบบนี้โดยเฉพาะรถ
ช่วงนี้เขามักจะมาค้างในห้องของเธอ นอนร่วมเตียงกับเธอ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้ทำอะไรกัน แต่มันก็เหมือนว่าการนอนร่วมเตียงเดียวกันนั้นกลายเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวแล้วเพราะว่าเธอต้องเปิดไฟนอน เธอก็พูดเสียงอ่อนว่า “คุณจะชินกับการเปิดไฟนอนตลอดเวลาไปแล้ว ทำไมคุณไม่กลับไปนอนห้องคุณล่ะคะ”สุดท้ายเขาก็บอกว่า “ฉันอยากนอนกับเธอนี่ พี่สาว ถึงจะเปิดไฟไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นคำพูดที่เหลือของเธอจึงโดนกลืนกลับลงไป“เธอจะนอนแล้วเหรอ?” อี้จิ่นหลีถามขณะที่มองหลิงอี้หรานเดินไปที่เตียง“ใช่” หลิงอี้หรานพูดพร้อมหน้าแดงเรื่อหลิงอี้หรานเลิกผ้าห่มและเข้าไปนอนเตียง มือของอี้จิ่นหลีก็มาโอบรอบเอวเธอ เขากอดเธอแนบแน่นและฝังใบหน้าซุกกายเธอราวเก็บเด็กที่อยากจะออดอ้อนเขาดูราวกับเด็กเล็กน้อยซึ่งต่างไปจากท่าทางปกติของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ หลิงอี้หรานรู้สึกว่าชอบอี้จิ่นหลีที่มีท่าทางเป็นเด็ก ๆ แบบนี้“ว่าแต่กู้ลี่เฉินหมายความว่าอะไรตอนที่คุยกับคุณวันนี้? พวกคุณทะเลาะกันเหรอ?”จู่ ๆ หลิงอี้หรานก็คิดขึ้นมาได้“ประโยคไหนล่ะ?” อี้จิ่นหลีถาม พลางรู้สึกว่าการกอดเธอมันชวนให้เสพติดมาก เมื่อเขากอดเธอแล้วก็ไม
“ฉันเข้าใจค่ะ ฉันจะไม่พูดอะไรกับเธอ” จัวเชียนอวิ๋นลังเลและบอกว่า “ถึงตอนนี้ฉันจะรู้ว่าเธอเป็นแฟนของคุณ ฉันไม่เคยบอกอะไรเธอมาตั้งแต่แรก และฉันก็ไม่คิดว่าจะบอกอะไร ไม่คิดจะหาประโยชน์จากเธอ แน่นอนว่าในอนาคตฉันก็ไม่คิดจะทำแบบนั้น ที่ตอนแรกฉันจ้างเธอก็เพราะว่าฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉัน เคยติดคุกมาก่อน และรู้สึกว่าเราลงเรือลำเดียวกัน ฉันก็เลยอยากให้โอกาสเธอได้ทำงาน”ความเย็นชาในตาของอี้จิ่นหลีหายไป “ผมไม่สนหรอกว่าระหว่างคุณกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร แต่ตราบใดที่เธอยังทำงานที่นี่กับคุณ เธอก็จะทำงานอย่างปลอดภัย หากว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ไม่ว่าจะอะไร คุณโทรหาผมได้ตลอด”เมื่อพูดจบ เขาก็เอาเบอร์มือถือให้จัวเชียนอวิ๋นจัวเชียนอวิ๋นรีบจดลงไป เธอเกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่สามารถมีเบอร์นี้ได้ในเมืองเสิ่น แต่ตอนนี้เธอได้มาภายใต้เงื่อนไขแต่ที่อี้จิ่นหลีบอกว่าเขาไม่สนว่าระหว่างเธอกับเย่เหวินหมิงมีเรื่องอะไร ก็แปลว่าเขาคงไม่บอกเย่เหวินหมิงว่าเธออยู่ที่ไหน ซึ่งนี่ก็ทำให้จัวเชียนอวิ่นหายใจได้อย่างโล่งอกอี้จิ่นหลียังอยู่ในร้านและกินมื้อเย็นกับหลิงอี้หรานดังนัั้นเมื่อเลิกงาน เพื่อนร่วมงานทุกคนเลยได้รู
จัวเชียนอวิ๋นจำได้ว่าตอนที่เธอดึงหลิงอี้หรานมาถาม อีกฝ่ายก็ให้คำตอบที่ชัดเจนหนักแน่นกับเธอ“ก็พี่จัว คนที่ว่าก็คืออี้จิ่นหลีของอี้กรุ๊ป” โอเค ก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้วกันจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเหมือนมีฟ้าผ่าลงมากลางหัวเธอ ซึ่งทำให้เธอมึนไม่หายพนักงานส่งอาหารให้ร้านของเธอเป็นแฟนกับอี้จิ่นหลีจริงเหรอ? ถ้าบอกไปแล้วใครจะเชื่อ?โดยเฉพาะหลิงอี้หรานบอกว่ายังมีอาหารที่ต้องออกไปส่งอีก อี้จิ่นหลีก็บอกว่า “ถ้างั้นฉันจะรอเธอที่นี่ วันนี้ยังไงก็ว่าง”ดังนั้นคนหนึ่งก็ออกไปส่งอาหาร ส่วนอีกคนก็… เอ่อ อ่านหนังสือจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกว่าเธอประสบคลื่นลมโหมกระหน่ำ แต่ตอนนี้เธอสับสนมากทำไมอี้หรานถึงได้ยังมาทำงานที่ร้านของเธอหากว่ามีแฟนแบบนี้? แล้วอี้จิ่นหลีจริงจังกับอี้หรานเหรอ?แต่เมื่อมองเหตุการณ์ก่อนหน้าระหว่างทั้งสอง ก็ไม่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องหลอกลวง อย่างน้อยท่าทีของอี้จิ่นหลีที่มีต่ออี้หรานด้วยสายตาคนนอกอย่างเธอก็เห็นได้ว่าเขารักอี้หรานมากเมื่อเห็นว่าอี้จิ่นหลีกินกาแฟหมดแล้ว จัวเชียนอวิ๋นก็เดินเข้าไปหาและถามว่า “คุณอี้ ต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ?”“ขอน้ำให้ผมแก้วหนึ่งพอครับ” อี้จิ่นหลีบอกดังนั้น
หลิงอี้หรานอดหน้าแดงไม่ได้ เธอกัดปากเล็กน้อยและบอกกับจัวเชียนอวิ๋น “เขาเป็นแฟนฉันค่ะ”“แฟนเธอเหรอ?” จัวเชียนอวิ๋นตาเบิกกว้างทันที แม้เธอจะรู้สึกได้ว่าระหว่างทั้งสองคนมีบรรยากาศแปลก ๆ ขณะที่พูดคุยกันก็ตามแต่… แฟนเหรอ? อี้หรานมีแฟนเหรอ? แถมยังเป็นผู้ชายที่ดูลึกล้ำยากจะหยั่งถึงนี่คือสิ่งที่จัวเชียนอวิ๋นรู้สึก ตอนนั้นเองแม้ว่าชายคนนั้นจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าและดูไม่มีพิษภัย แต่เธอไม่คิดว่าชายคนนี้จะไร้พิษภัยจริง ๆ ตรงกันข้ามสัญชาตญาณบอกเธอว่าชายคนนี้อันตรายมากทั้งร่างของเขาแผ่กลิ่นอายของคนที่สูงส่งออกมา“ค่ะ แฟนฉัน” หลิงอี้หรานตอบ“สวัสดีค่ะ… ฉันเป็นเจ้าของร้านที่นี่ จัวเชียนอวิ๋น” จัวเชียนอวิ๋นแนะนำตัวเอง“สวัสดีครับ ผมอี้จิ่นหลี” อี้จิ่นหลีบอกสีหน้าจัวเชียนอวิ๋นตะลึงอีกครั้ง จากนั้นแววตาประหลาดใจของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆอี้จิ่นหลี… คงไม่ใช่… คงไม่ใช่คนที่เธอคิดหรอกนะ ตอนนี้จัวเชียนอวิ๋นรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาร้านของเธอมีกู้ลี่เฉินมา แล้วก็มีอี้จิ่นหลีมาอีก ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มาหาอี้หรานแล้ว… ตัวตนที่แท้จริงของเธอมันยังไงกันแน่? ใช่แบบที่เขียนในใบสมัครงานจริงเหรอ?ตอน
อี้จิ่นหลียังคงดื่มกาแฟในมือสบาย ๆ เหมือนกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินกับเวลาน้ำชา และเขาก็แค่มาพูดคุยเล่นกับกู้ลี่เฉินไม่ได้คุยเรื่องที่สามารถเขย่าเมืองเสิ่นให้สั่นสะเทือนได้กู้ลี่เฉินค่อย ๆ สงบความคุกรุ่นในแววตาลงและก็หยิบกาแฟขึ้นมาจิบอีกครั้งทั้งสองต่างก็ไม่มีบรรยากาศน่าตึงเครียดเหมือนก่อนหน้าแล้ว และตอนนี้ก็เหมือนเป็นการกินข้าวกันระหว่างเพื่อนเท่านั้นจัวเชียนอวิ๋นรู้สึกทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านโดยเฉพาะลูกค้าสาว ๆ ต่างก็มองทั้งสองเป็นระยะ อย่างไรพวกเขาคนหนึ่งก็ดูเหมือนดารา ไม่ต้องนับพวกลูกค้าสาวหรอก ขนาดจัวเชียนอวิ๋นเองยังอยากหยิบมือถือมาถ่ายเลยตอนที่ลูกค้าสาวยกมือถือส่องไปทางอี้จิ่นหลีและกู้ลี่เฉิน ก่อนที่เธอจะทันได้กดปุ่มถ่ายรูปก็มีมือใหญ่มาขวางเอาไว้เขาก็คือบอดี้การ์ดของอี้จิ่นหลี เขาพูดกับลูกค้าสาวว่า “ท่านประธานไม่ชอบโดนถ่ายรูปครับ ถ้าคุณยืนกรานจะถ่ายให้ได้ ผมก็คงทำได้แค่ต้องเชิญคุณออกไป”ลูกค้าสาวอึ้งงันไป นี่มัน…ขู่กันเหรอ? แต่เมื่อเธอเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของบอดี้การ์ดและ… ร่างกายกำยำของเขา คำพูดที่เธอเตรียมจะเอ่ยประท้วงก็โดนกลืนกลับลงท้องไปจิตสำนึกบอก
นิ้วมือของกู้ลี่เฉินที่จับแก้วกาแฟอยู่บีบแน่นเล็กน้อย “แล้วถ้าฉันเสียใจล่ะ?” ตอนนั้นเขาประเมินน้ำหนักของหลิงอี้หรานที่มีในใจตัวเองต่ำไปเขาคิดว่าหลิงอี้หรานเหมือนคนที่เขาตามหา ดังนั้นเขาก็เลยสนใจเธอแค่นั้นแต่ต่อมาเขาก็พบว่ามันมากกว่านั้น เมื่อเขาเห็นคนอื่นทำร้ายเธอ ทำอันตรายเธอ เขาก็รู้สึกหัวใจบีบรัดและรีบเข้าไปช่วยโดยไม่รู้ตัวเหมือนว่าแค่เห็นเธอบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาใจสลายได้ และตอนที่เธอจะจากไป เขาก็คิดเรื่องเธอมาก เหมือนว่าเขาอยากให้เธอมองเขานานอีกหน่อยแค่เพียงนิดเดียวก็ยังดีนานแค่ไหนแล้วที่เขาสนใจผู้หญิงสักคนมากขนาดนี้? ยกเว้นเด็กผู้หญิงที่เคยช่วยเขาตอนนั้น เธอเป็นแค่คนเดียวเท่านั้นเขาถึงกับคิดว่า บางทีเขาไม่น่ายอมปล่อยเธอให้อี้จิ่นหลีง่ายเกินไปเลย หากว่าเธออยู่ข้างกายเขา จะทำให้เขาคิดถึงคนที่ตามหาอยู่น้อยลงไหม? แล้วจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากการไม่ได้สิ่งที่เขาต้องการมาบ้างไหม?แววตาอี้จิ่นหลีมืดครึ้มทันที เขาจ้องกู้ลี่เฉินเย็นชา “นายไม่มีโอกาสแน่ และฉันก็จะไม่ให้นายมีโอกาสด้วย”“งั้นเหรอ?” กู้ลี่เฉินสบตาอีกฝ่าย “งั้นฉันคงต้องขอลองดูและดูว่าทำไมฉันถึงได้ไม่มีโอ