“หากเราฆ่าคนของพรรคเฟิงอี้จนสิ้นอาจก่อความแค้นให้คนทั้งยุทธภพลุกฮือ ปล่อยมันไปเถิด ถือว่านี่เป็นการสั่งสอนให้มันยิ่งเจ็บแค้น ข้าอยากเห็นมันเจ็บปวดจนแทบกระอักเลือดที่คิดว่าจะเอาชนะเราได้แต่มันคาดผิด คนของพรรคเฟิงอี้คงมิมีผู้ใดกล้ากลับมาเหยียบที่นี่แล้วล่ะท่านแม่”“ผู้ใดมิกล้าแต่ข้านี่แหละจะท้ารบกับเจ้าเอง นางมารหมื่นบุปผา!”เสียงของจิ้นเหอทำให้ทุกคนหยุดชะงัก มี่อิงหรี่นัยน์ตาของนางจ้องชายหนุ่มในชุดเกราะสีดำรัดกุมที่กล้าเข้ามาท้าทายในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างพากันถอยหนีไปจนหมด ประมุขพรรคมารยังไม่ทันได้กล่าวว่ากระไรนางมารดอกไม้เงินกลับออกหน้าแทน“เจ้าเป็นใครกัน มิรู้หรือเช่นไรว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน บังอาจกล้ามาลองดีท้าทายคนของพรรคมาร”“ข้าคือแม่ทัพจากวังหลวงที่จะมาลากตัวคนชั่วไปลงโทษ!”สิ้นเสียงของเขามี่อิงจึงลั่นหัวเราะ“ฮ่าๆๆๆๆ....เจ้าเป็นถึงแม่ทัพแห่งฮ่องเต้ที่ต้องกรำศึกในสนามรบ ใยเล่าจึงดั้นด้นมาหาที่ตายถึงยอดเขาสูงสุดแห่งหวงซาน มิกลัวเกรงอำนาจคนพรรคมารเลยเช่นนั้นรึ”“ข้ามิเคยเกรงกลัว!” เขาตอบเสียงหนักแน่นกังวาน “พวกเจ้ามันชั่ว ฆ่าคนบริสุทธิ์ตายไปมากเท่าใด ข้ามาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้แก่คนข
เพ่ยหลินพยักหน้า “จริงสินะ ฟางซินได้รับบาดเจ็บ นางคงต้องเก็บตัวสักพัก หึ! ไป๋เจี้ยน ไอ้คนโฉดในคราบนักบุญ หากฟางซินไม่ห้ามไว้ข้าจะฆ่าพวกของมันให้สิ้นซาก มิปล่อยมันไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามของพรรคเราอีก!”แม่บุญธรรมของประมุขพรรคมารกราดเกรี้ยวก่อนจะกลับเข้าไปในหอหมื่นบุปผาโดยมีผู้ติดตามเข้าไปนับสิบคน เหมยเหม่ยเหลือบมองมี่อิงที่เดินเข้ามาและหยุดตรงหน้า นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะหยัน“ว่าอย่างไรเล่า นางข้ารับใช้...หนนี้นายของเจ้าท่าจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าคนเก่งกล้าสามารถอย่างฟางซินที่มีวรยุทธ์สูงส่งถึงเพียงนั้นใยจึงเพลี่ยงพล้ำแก่ศัตรูเสียได้”“ท่านประมุขแม้เป็นหัวหน้าพรรคมารหากก็มีคุณธรรมสูงส่ง”“คนพรรคมารต้องเหี้ยมหาญต่างหาก! หากจะเป็นประมุขพรรคบุปผาสรรค์ต้องเหี้ยมโหดและต้องมิเห็นใจใคร เป็นเสือต้องกินเนื้อ ถ้าอ่อนแอก็จงวางอำนาจลงแล้วออกจากการเป็นคนของพรรคมารไปซะ! ฮ่าๆๆๆๆ”มี่อิงหัวเราะใส่หน้าเหมยเหม่ยแล้วเดินจากไป ผู้ติดตามใกล้ชิดประมุขพรรคบุปผาสรรค์มองตามหลังศิษย์ร่วมสำนักของฟางซินที่มีแต่ความเคียดแค้นริษยา นางหรี่นัยน์ตาลงก่อนค่อย ๆ เดินเลี่ยงไปอีกทางท่ามกลางคนของพ
“ฟางซิน...ฟางซิน...เปิดประตูให้ข้าหน่อยเถิด”หวังซื่อส่งเสียงหากก็ได้ยินเพียงเสียงลมพัดแผ่ว ไร้เสียงตอบกลับมาจากคนในห้อง เขาเงี่ยหูฟังและคราวนี้จึงเคาะประตูด้วย“ฟางซิน...เจ้าได้ยินข้าหรือไม่...ได้โปรดเปิดประตูให้ข้าด้วยเถิด ข้ามิเห็นเจ้าออกจากห้องมาเป็นเวลาหลายวันแล้วนะ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”เขาส่งเสียงเรียกหลายหนหากก็มิมีเสียงใดตอบกลับมา หวังซื่อนึกฉุกใจเป็นห่วง เขาจึงตัดสินใจกระแทกประตูจนเปิดออก และเมื่อเขาเข้าไปในห้องก็พบเพียงความว่างเปล่า“ฟางซิน!...ฟางซิน!...นี่เจ้าไปไหนกัน”เขานึกแปลกใจเมื่อไม่เห็นแม้เงาของนาง ในห้องนั้นสงบเงียบและสิ่งของทุกอย่างยังวางอยู่ที่เดิม หวังซื่อทั้งตกใจและประหลาดใจเพราะนึกว่าฟางซินยังอยู่ในห้อง และเมื่อไม่พบนางจึงทำให้เขาเริ่มคิดมาก“หรือว่านางจะแอบตามท่านแม่ทัพไปยังวังหมื่นบุปผา...โอ...แย่แล้ว”ชายหนุ่มทำท่าจะเดินกลับออกไปแต่ก็ต้องชะงักเมื่อสายตาคู่นั้นเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างตกอยู่ข้างเตียง เขาก้มลงหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่ามันเป็นแผ่นเหล็กแต่มีรูปร่างเหมือนกลีบดอกไม้ หวังซื่อเอียงหน้าพินิจอยู่นานก่อนที่จะมีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องและเมื่อเขาหันกลับไ
“แท้จริงฟางซินเป็นหญิงชาวบ้านที่เราพบนางในคืนวันหนึ่งก่อนเดินทางมายังสำนักเฟิงอี้ นางกำลังจะถูกเหล่าชายชั่วรุมทำร้ายแต่โชคดีที่ท่านแม่ทัพกับข้าเดินทางผ่านมาพบเข้าเสียก่อน พวกเราช่วยนางไว้ นางบอกว่าจะมาหาญาติของนางที่หมู่บ้านห่างจากสำนักของท่าน แต่กลับมิพบผู้ใด จากนั้นนางจึงแอบตามเรามา พอท่านแม่ทัพรู้เข้านางก็ขอร่วมเดินทางมายังสำนักเฟิงอี้ ท่านแม่ทัพไม่อยากให้เป็นที่สงสัยแก่ผู้ใดจึงต้องบอกทุกคนว่าฟางซินเป็นน้องสาวแท้ ๆ”“ว่าแล้วเชียว...ข้านึกแล้วว่าต้องมีอะไรแปลก ๆ เพราะข้าเองก็ไม่อยากเชื่อว่าการเดินทางมาล่าตัวนางมารหมื่นบุปผานั้นแม่ทัพเฉิงจะต้องพาน้องสาวของเขาติดสอยห้อยตามมาด้วยเหตุอันใด”“แต่ข้าก็ขอรับรองว่านายของข้ามิได้มีความตั้งใจจะหลอกลวงพวกท่าน เขาต้องการมาตามล่าตัวคนที่ฆ่าคนจากราชสำนักและท่านก็รู้ดีว่าท่านแม่ทัพผูกใจเจ็บแค้นคนที่ฆ่าคนรักของเขาตาย”“ข้ารู้...แต่ในยามคับขันเช่นนี้เรามิอาจไว้วางใจใครได้เลย และช่างโชคดีที่ท่านได้พบสิ่งนี้ นี่เป็นอาวุธสำคัญของประมุขพรรคมาร มันคือกลีบดอกไม้ปลิดวิญญาณที่มีอานุภาพการทำลายชีวิตผู้คนได้ทีเดียวนับร้อยนับพัน”“มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือท่าน
“เหมยเหม่ย...เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย คนเราเกิดมาล้วนต้องตาย เพียงแต่ว่าจะเร็วหรือช้า”“แต่ข้ามิปรารถนาให้ผู้ที่ต้องตายด้วยการสละชีพเพื่อผู้อื่นเป็นท่าน”เหมยเหม่ยเงยหน้าขึ้น แต่นางกลับเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของผู้เป็นประมุข ฟางซินกำเม็ดยาไว้ในมือแน่น นางขมวดคิ้วเข้าหากันเพื่อสะกดความเจ็บปวดจากรอยแผลลึกที่จิ้นเหอฝากไว้เหนืออกข้างซ้าย ธารโลหิตจากบาดแผลนั้นยังไหลซิบบอกให้รู้ว่าภายในยังบอบช้ำแต่นางกลับทำเสมือนมิใส่ใจ หญิงสาวผู้ติดตามรับใช้ถึงกับร้องไห้ออกมา“ใยท่านจึงยอมเสียสละเล่า วรยุทธ์และพลังที่ท่านเพียรฝึกมานานหลายปีต้องสลายลงในราตรีนี้เพียงไม่กี่ชั่วยาม ตอนนี้คนในพรรคยังมิมีผู้ใดรู้ว่าท่านมาอยู่ที่นี่แม้แต่ท่านเพ่ยหลิน ทุกคนคิดว่าท่านเก็บตัวเพื่อรักษาบาดแผล ทั้งที่จริงแล้วท่านกำลังจะเสียสละตัวเองเพื่อคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่แม่ทัพผู้นี้คิดจะฆ่าท่านโดยมิปราณี ใยท่านจึงต้องช่วยเหลือเขาด้วย”“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจดอกเหมยเหม่ย ข้ารู้ดีว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่”“ทั้งที่รู้ตัวว่าท่านกำลังจะสูญเสียวรยุทธ์ไปเกินกึ่งหนึ่งที่มี หากท่านช่วยเขาท่านจะเหลือพลังลมปราณไม่ถึงกึ่งหนึ่งของข้าด้วยซ้ำ หา
ฟางซินยิ้มให้กับโชคชะตา แม้นางมีความแค้นแน่นหนาต่อไป๋เจี้ยน หากในเวลานี้ความเป็นความตายของบุรุษอันเป็นที่รักกลับสำคัญยิ่งกว่า แม้รู้เต็มอกว่าเขาเกลียดชังเท่าใดหากทว่านี่คือการเสียสละครั้งสำคัญ การถอนพิษร้ายแรงนี้ต้องกระทำด้วยการถ่ายมันมาจากตัวของจิ้นเหอ และนั่นหมายถึงต้องสูญสิ้นพละกำลังภายในมหาศาล ฉะนั้นเมื่อถ่ายเทพิษร้ายออกจากกายของเขาแล้วจึงต้องใช้มุกบุปผาสวรรค์อีกเม็ดเพื่อขับพิษออกจากตัวนางเอง มิเช่นนั้นพิษจะกระจายไปทั่วร่าง น่าหวั่นกลัวว่าผู้ฝึกวรยุทธ์ยิ่งมีพลังวัตต์มากเท่าใดก็จะยิ่งทำให้พิษกระจายไปทั่วร่างได้เร็วมากเท่านั้น จึงต้องใช้ยาถอนพิษช่วยสกัดและล้างมันจากทางเดินลมปราณ“จิ้นเหอ...”ฟางซินกระซิบแผ่วเบาแล้วจึงใส่มุกบุปผาสวรรค์ไว้ในปาก เมื่อตัวยาเริ่มกระจายบนลิ้นจึงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมา มันเป็นยาถอนพิษร้อนที่มีฤทธิ์เย็นเป็นเสมือนพลังหยินใช้ดูดซับความร้อนจากพิษร้ายแรงจากเปลือกไม้ในบึงพันปีที่ร้อนแรงดังพลังหยาง หญิงสาวขยับเข้าชิดร่างกำยำของแม่ทัพหนุ่มด้วยการโอบแขนทั้งสองรอบลำคอของเขาแล้วจึงค่อยแนบริมฝีปากลงกับปากของจิ้นเหอ ด้วยพิษในกายทำให้เขาอ้าปากออกแนบสนิทกับ
หากแต่เขากลับฟื้นขึ้นมาได้...และ...สถานที่นี่คือที่ใดกัน จิ้นเหอลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าตนเองมีกำลังวังชาอย่างน่าอัศจรรย์หลังจากที่รู้ตัวว่าลมหายใจกำลังรวยรินและวิญญาณกำลังหลุดจากร่าง แล้วเขารอดมาได้อย่างไร ชายหนุ่มสดับเพียงเสียงน้ำไหลเอื่อยและรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเยียบเย็นในสถานที่ที่เขาก็ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ใด ความคิดนั้นหยุดลงเมื่อสายตาของเขาเลื่อนไปหยุดที่แก่งหินริมธารน้ำ แม่ทัพหนุ่มเห็นหญิงสาวนางหนึ่งจากด้านหลัง นางอยู่ในชุดเสื้อคลุมสีแดงเข้มแม้ไร้เครื่องประดับอย่างปิ่นปักผมและดอกไม้หากเขาก็จดจำได้ว่ามันเป็นชุดเดียวกันกับที่ประมุขพรรคมารสวมใส่ จิ้นเหอลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบดาบอาญาสิทธิ์ในมือถือไว้มั่น ดวงตาคู่นั้นจ้องมองร่างบอบบางที่นั่งนิ่งบนแก่งหินริมธารอย่างหมายมาดขณะสืบเท้าเข้าไปเพื่อจ่อปลายดาบคมไปยังลำคอขาวนวลระหงที่โผล่จากคอเสื้อ“รู้สึกตัวแล้วฤาท่าน?”เสียงนั้นทำให้จิ้นเหอที่ยืนข้างหลังชะงัก มือของเขากุมด้ามดาบไว้แน่น แม้แน่ใจว่าต้องเป็นนางทว่าเสียงที่กังวานขึ้นทำให้เขาต้องยั้งใจมิให้ลงดาบกะทันหัน“ข้าจำเจ้าได้ไม่เคยลืม นางมารหมื่นบุปผา...จงหันมาให้ข้าดูหน้าเจ้าชัด ๆ เดี๋ยวนี
“นางมารใจชั่ว! ข้ามินึกว่าจะเสียรู้แก่นางโจรใจต่ำช้าที่ปลอมตัวเสแสร้งแกล้งทำเป็นหญิงชาวบ้านไร้ญาติน่าสงสารเพื่อติดตามคอยดูความเคลื่อนไหวของข้า และที่เจ้าช่วยข้าหนนี้ก็คงมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝง มิเชื่อดอกว่าเจ้าจะช่วยข้าอย่างจริงใจ”“สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง”“แต่สิ่งที่เจ้าทำมาก่อนหน้าล้วนตระบัตสัตย์! ข้ามิอาจเชื่อใจคนที่หลอกลวงข้าเป็นหนที่สอง...บอกมาสิว่าหากเจ้ามีวรยุทธกล้าแข็งจริงดังที่มีคนร่ำลือว่าร้ายกาจถึงขนาดถล่มหุบเขาหวงซานได้ เหตุใดเจ้าจึงยังไว้ชีวิตผู้ซึ่งด้อยวรยุทธกว่าเยี่ยงข้า” “เพราะท่านมิใช่ศัตรูของข้า” “แต่ข้าชังเจ้ายิ่งนัก นางมารใจทมิฬ!...เจ้าคือผู้ปลิดชีพคู่หมายของข้า ฆ่าคนรักของข้าอย่างเหี้ยมโหด ให้ตายข้าก็จักมิมีวันลืมความชั่วร้ายของนางมารอย่างเจ้าได้เลย ให้ฟ้าถล่มแผ่นดินสลายฤาหวงซานพังทลายทั้งขุนเขาก็มิมีวันใดที่ข้าจักผูกมิตรกับคนโฉดอย่างเจ้า!” “ท่านเกลียดข้าถึงเพียงนี้เทียวหรือ...จิ้นเหอ...ในเมื่อดาบอยู่ในมือของท่านและมันกำลังจ่อที่อกของข้าและท่านชิงชังข้านักหนา ก็จงใช้มันเพื่อดับความแค้นของท่านเถิด”
“ต่อชีวิตเช่นนั้นหรือ?”“มันเป็นคัมภีร์ที่มีทั้งความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดหากซุกซ่อนไว้ด้วยความแหลมคมอย่างที่สุด ครั้งหนึ่งฟางซินช่วยชีวิตท่านไว้ด้วยการถ่ายพลังลมปราณให้และพลังที่ไหลวนในตัวของท่านคือลมหายใจสุดท้ายของนาง”“แต่ตอนนี้ฟางซินอ่อนแอเหลือเกิน”“คนที่ต้องสังเวยชีวิตให้การฝึกวรยุทธ์จากคัมภีร์เฟิงเหลยคือผู้ตัดขาดตัวเองจากคนอื่นโดยปราศจากการเรียนรู้อย่างถ่องแท้ พวกเขาคิดเพียงว่าเมื่อสูญเสียสิ่งหนึ่งไปคือสูญสิ้นทั้งหมดหากทว่ามิใช่ แม้ฟางซินยอมสละทุกอย่างต่อท่านหากนางก็ยังมิสิ้นลมหายใจ นั่นเป็นเพราะนาง...ยังมีท่าน...แม่ทัพเฉิง จงพาฟางซินเดินทางไปยังบูรพทิศในยามตะวันทอแสง ท่านต้องอยู่เคียงข้างนางเสมอ อย่าได้ทอดทิ้งฟางซินเพราะท่านคือผู้นำพาหัวใจของนางและนางก็เปรียบเสมอโคมทองส่องสว่างในหัวใจของท่านไปยังสุดเขตแดนเพื่อตามหาปัญญาชนในสายลมหนาว พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของพวกท่านโดยมิต้องเอ่ยปากบอกเล่าใดๆ”“ปัญญาชนในสายลมหนาว...หนทางนั้นยาวไกลหรือไม่กว่าที่ข้าและฟางซินจะได้พบ”“หากท่านพร้อมยอมเสียสละเพราะมันอาจหมายถึงตลอดชีวิตของท่าน...และนาง”“เสียสละเช่นนั้นหรือ”“จิ้นเหอ...ท่านจะทำอะไร”ฟางซ
“เจ้ากลับมาหาข้าแล้ว ฟางซิน”เสียงที่เปล่งออกมายังความประหลาดใจแก่จิ้นเหอด้วยเป็นสรรพเสียงที่ดังกังวานไปถึงเบื้องนอกเมื่อครู่ นางอยู่ในนี้แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีคนเข้ามาในหอตะวันตก“นั่งก่อนเถิด...เจ้าทั้งสอง”นางเชื้อเชิญพลางผายมือเรียวบางไปเบื้องหน้า แม่ทัพหนุ่มก้าวไปหยุดอยู่ห่างออกมาสามสี่ก้าวก่อนค่อย ๆ วางร่างของฟางซินลงก่อนเขาจะหย่อนตัวนั่งเคียงข้างหญิงสาว จิ้นเหอพินิจร่างบอบบางของผู้อยู่เบื้องหลังเตาเหล็ก เจ้าของใบหน้างดงามราวเด็กสาวและแววตาน้ำตาลแวววาวเจิดจรัสราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งออกมา“ฟางซินบอกข้าว่าท่านคือเทพพยากรณ์”“เรียกข้าว่าจิว”นางกล่าวขณะหยิบกลีบดอกไม้โรยลงในเตาบังเกิดควันพวยพุ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว“ฟ้าดินเท่านั้นลิขิตชีวิต ข้ารู้เท่าที่ข้ารู้แต่มิอาจล่วงรู้ความลับสวรรค์”“เช่นนั้นท่านก็คงรู้แล้วว่าที่เรามาที่นี่ก็เพื่อสิ่งใด...ข้าคือ เฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพแห่งองค์ซ่งไท่จู่”“แม่ทัพเฉิง ข้าเคยบอกฟางซินแล้วว่าวันหนึ่งนางต้องกลับมาหาข้า”“และเป็นดังเช่นท่านกล่าวไว้จริงๆ”ฟางซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ทว่าน่าประหลาดที่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมากกว่าเก่าเมื่อเข้
หวังซื่อถาม หลวนคุนลุกขึ้นยืนและยืดไหล่หลังตรงอย่างสง่า เขาเชิดหน้าขึ้น“ข้าจะบอกทุกคนว่า....ลุงของข้าประมือกับนางมารหมื่นบุปผา ต่างคนต่างพลาดพลั้งเสียทีต่อกันทำให้ลุงของข้าและประมุขพรรคมารต่างสิ้นลมด้วยกันทั้งคู่”คำตอบนั้นทำให้ทุกคนเงียบกริบด้วยยอมจำนนต่อสติปัญญาของหลวนคุน ทุกคนรู้ว่าเขามิได้ปกป้องตัวเองด้วยเกรงถูกมองว่าเณรคุนเพราะหากมิทำเช่นนี้ก็จะเกิดข้อสงสัยแก่ผู้ที่มีใจภักดิ์ดีต่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่สิ้นลมไปแล้วอย่างไป่เจี้ยนได้ ขณะนั้นจิ้นเหอกลับกอดฟางซินแนบแน่นยิ่งขึ้น เขากระซิบกับนางด้วยเสียงแม้ห้าวหนักทว่าอ่อนหวานยิ่งนัก“ฟางซิน...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวงซานนี้จะถล่มฤาแผ่นฟ้าจะแหลกสลายลง หากข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้า...มิหนีไปไหน”หลังจากนั้นมินานที่หลวนคุนเป็นผู้นำทุกคนกลับไปยังพรรคเฟิงอี้ ทั้งแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ หวังซื่อผู้ติดตาม หยางเซิงไต้ซือ รวมทั้งเหมยเหม่ยที่คอยดูแลฟางซินซึ่งนางอ่อนแรงลงทั้งจากลมปราณปรวนแปรและจากการใช้กำลังที่เหลือเพียงน้อยนิดต่อสู้กับทั้งไป๋เจี้ยนและมี่อิง นางทิ้งพรรคบุปผาสวรรค์ที่บัดนี้ยังมิมีผู้ใดขึ้นเป็นประมุขไว้เบื้องหลังเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอตะวันตก
แม่ทัพหนุ่มร้องด้วยความตกใจก่อนคว้าร่างของหญิงสาวที่ทรุดฮวบไว้ในอ้อมแขน นางลืมตาขึ้นมอง สติของนางยังคงอยู่หากแต่จิ้นเหอนั้นกอดร่างเล็กบอบบางไว้แนบแน่น“ฟางซิน...เจ้าเป็นอะไร”“ลมปราณในกายของนางกำลังปรวนแปร มันค่อย ๆ ทำลายตัวเองทีละน้อย”หยางเซิงไต้ซือตอบขณะก้าวเข้ามา จิ้นเหอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่“นี่เป็นเพราะนางฝึกพลังลมปราณจากคัมภีร์เล่มนั้น และเป็นเพราะข้าที่ทำให้นางต้องเป็นเช่นนี้ มิมีวิธีใดเลยหรือที่จะช่วยรักษาชีวิตของนางไว้ให้ยืนยาวกว่านี้”ไต้ซือเฒ่าระบายลมหายใจขณะทำสีหน้าครุ่นคิด“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินมี่อิงเอ่ยถึงเทพพยากรณ์ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งอาจช่วยฟางซินได้”“แต่ท่านไต้ซือบอกกับข้านี่มิใช่หรือว่าผู้ฝึกวิชาจากคัมภีร์ฟ้าคำรามหากสูญเสียพรหมจรรย์แล้วจะมิมีทางช่วยให้พ้นจากความตายได้”เหมยเหม่ยรีบเข้ามาดูอาการของฟางซินที่นอนหายใจรวยรินในอ้อมกอดของจิ้นเหอ หยางเซิงไต้ซือส่ายหน้า“ที่ข้าบอกจ้าเช่นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องเล่ามาช้านาน ข้าเองมิเคยแน่ใจว่าเทพพยากรณ์มีอยู่จริง คนทั้งยุทธภพร่ำลือถึงบุคคลผู้มีญาณวิเศษ มองเห็นอนาคต บางคนว่าเป็นหนุ่มรูปงามราวเทพบ
มี่อิงตื่นตระหนกเมื่อรู้สึกปวดปลาบตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงท้ายทอย ความเจ็บปวดนั้นราวกับมีเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทงอยู่บนหัวของนาง“อะ...อะไรกันนี่...อะไรกัน!!”ครานี้นางเป็นฝ่ายอุทานขึ้นบ้างเมื่อโลหิตมิใช่หยาดเดียวหยดลงมาอาบเต็มใบหน้าสวยที่บิดเบี้ยวด้วยความหวั่นกลัวและเจ็บปวด มี่อิงพยายามจะถอดมาลาประดับผมออกแต่สายเกินไปเมื่อนางรู้ตัวแล้วว่ากำลังต้องพิษร้ายจากมาลาของประมุข นางกรีดร้องเสียงดัง“กรี๊ด!...ทำไมเป็นเช่นนี้...ฟางซิน...เจ้าใช่ไหม...เจ้าวางยาพิษในมาลานี่ใช่ไหม!”“มิใช่ข้าดอกมี่อิง” ฟางซินตอบด้วยน้ำเสียงอันแน่วนิ่ง “หากแต่นี่คือสิ่งที่ผู้มิใช่ประมุขมิมีวันรู้เกี่ยวกับการได้ครอบครองเสื้อคลุมและมาลาของประมุขพรรคบุปผาสวรรค์”“มะ...มิรู้เช่นนั้นรึ...มิรู้อันใด...โอย...ข้ามิรู้สิ่งใด”มี่อิงร่ำร้องและพยายามถอดมาลาออกจากหัวของนางเพราะความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยวของนางอาบด้วยโลหิตแดงฉานที่ไหลหลั่งลงอาบเสื้อคลุมขนาดที่คนติดตามคอยรับใช้ยังถอยหนีด้วยความสะพรึงกลัว ฟางซินก้าวไปหยุดตรงหน้าบันไดซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่บัลลังค์ทองงาช้าง นางส่ายหน้าไปมาขณะมี่อิงซวนเซจนล้มนั่ง โลหิตมากม
“ท่านมีบุญคุณต่อข้าใยจะมิสำนึก แต่หากมิทำเช่นนี้แล้วก็มิมีวันที่จะหยุดความทะเยอทะยานของท่านได้ อภัยให้ข้าด้วย...ท่านลุง”หลวนคุนนั่งคุกเข่าและวางคันธนูลงข้างลำตัว ไป๋เจี้ยนเหยียดปากทั้งน้ำกบดวงตา“ข้ามินึก...ทั้งที่มีคนเตือนข้าแล้วว่าให้ระวังคนใกล้ตัว...ข้านึกไปมิถึง...นึกมิถึงเลยจริง ๆ ว่าที่แท้...คนใกล้ตัวก็คือ...เจ้า...”เจ้าสำนักเฟิงอี้ตาเหลือกถลนเมื่อผ่อนลมหายใจสุดท้ายด้วยมิทานทนต่อความเจ็บปวดจากดอกศรที่ปักเข้าบนอกด้านซ้ายพอดิบพอดีก่อนจะล้มตึงลงนอนคว่ำหน้าดวงตาเบิกค้างและผู้ที่ตกใจมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นมี่อิงที่ผงะงันและถอยไปเบื้องหลัง“ไป๋เจี้ยน...”จิ้นเหอครางชื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้ที่ขาดใจตายลงต่อหน้าอย่างมิน่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ขณะฟางซินปรี่เข้าไปหา ทั้งสองกอดกันแนบแน่นราวกับได้เกิดใหม่“หลวนคุน...ท่านทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”หวังซื่อเอ่ยกับหลวนคุนแต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินเสียงมี่อิงกังวานขึ้น“ถึงมิมีไป๋เจี้ยนแล้วแต่พวกเจ้าหยุดข้ามิได้ดอก!”นางมารดอกไม้เงินเหยียดยิ้มเยาะก่อนหันไปยังคนสนิทอีกสองคนที่ยังไม่ยอมออกไปจากห้องโถงใหญ่ดังคนอื่น ๆ ที่แตกตื่นวิ่งหนีออกไปเกือบสิ้น หญิงสา
ดังนั้นนางจึงมิอาจต้านทานกำลังอันกล้าแกร่งของอีกฝ่ายได้จึงถูกซัดฝ่ามือใส่จังหวะที่นางพลาดท่าจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้น ฟางซินพยายามหยัดกายลุกขึ้นทั้งที่กระอักเลือดเปิดโอกาสให้ไป๋เจี้ยนพุ่งเข้าหาเพื่อหวังจะซัดฝ่ามือซ้ำแต่จิ้นเหอกลับเข้ามาขวางและถูกพลังลมปราณของไป๋เจี้ยนจนเขาเองก็ถึงกับหงายหลังลงไปนอนบนพื้น ไป๋เจี้ยนสบโอกาสหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอหอยของแม่ทัพหนุ่มอีกครั้งขณะหันไปยังฟางซินที่มองด้วยความตระหนก“จิ้นเหอ!”“นางมารหมื่นบุปผา เห็นหรือยังว่าพวกเจ้ามิอาจต้านกำลังของข้าได้ หากเจ้าอยากให้แม่ทัพเฉิงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จงบอกที่ซ่อนคัมภีร์มาเดี๋ยวนี้”“อย่า!” จิ้นเหอตะโกนบอกทั้งที่ไป๋เจี้ยนกดปลายกระบี่ลงบนคอของเขาจนเลือดเริ่มซึมออกมา “อย่าบอกที่ซ่อนคัมภีร์ให้พวกคนใจชั่ว ถึงข้าตายก็มิเสียดายถือเสียว่าได้ทำคุณแก่แผ่นดินด้วยการปกป้องคนดีจากคนชั่ว”“ไม่...จิ้นเหอ...จิ้นเหอ”ฟางซินร่ำร้องเมื่อเห็นเลือดไหลจากรอยกรีดลึกของคมกระบี่บนคอแม่ทัพหนุ่ม หัวใจของนางราวกับจะขาดเสียให้ได้แต่มี่อิงกลับหัวเราะเย้ยเสียงดัง“หากเจ้าอยากให้คนที่เจ้ารักมีชวิตอยู่ใยจึงไม่บอกที่ซ่อนคัมภีร์แก่ท่านไป๋เจี้ยนเล่
“แม่ทัพเฉิง มีสิ่งใดน่าขัน”“หึ...จะมิให้ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องหัวเราะได้อย่างไร ท่านติดตามหาคัมภีร์เล่มนั้นจนแล้วจนรอดก็ยังมิได้ครอบครอง คิดว่าสวรรค์คงมีตามิเข้าข้างคนใจโฉดเช่นเจ้า”“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังกล้าปากดีอยู่อีกรึ ยศฐาและตำแหน่งของเจ้าใช้ได้ต่อหน้าฮ่องเต้เท่านั้น หากแต่เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ก็หาได้มีความหมายเพราะเจ้าเป็นเพียงเชลยที่มิรู้ชะตากรรมว่าจะตายเสียเมื่อใด”“ข้ายินดีตาย...หากมันจะแลกได้กับการไถ่โทษที่ข้าปรารถนามอบมันให้กับ...หญิงที่ข้ารัก”จิ้นเหอกล่าวขณะหันกลับไปยังฟางซินที่ยืนผงะนิ่งท่ามกลางเหมยเหม่ย หวังซื่อรวมทั้งหยางเซิงไต้ซือที่มองคนทั้งสอง ฟางซินมิคิดว่าจะได้ยินคำกล่าวนั้นจากปากของแม่ทัพเฉิงจิ้นเหอ แม่ทัพหนุ่มผู้เคยมีหัวใจเย็นชาราวหินผาและครั้งหนึ่งเคยโกรธเกลียดเคียดแค้นนางมารหมื่นบุปผาถึงขนาดจะสับร่างนางเป็นหมื่นชิ้น ฟางซินน้ำตาซึม“จิ้นเหอ...”“ถึงข้าตายเสียตอนนี้ก็มิรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ข้ายอมสละตัวเองได้เพราะเจ้าจะมิมีวันได้คัมภีร์เล่มนั้นจากนางมารหมื่นบุปผาดอกไป๋เจี้ยน!”จิ้นเหอฉวยจังหวะที่ไป๋เจี้ยนพลั้งเผลอเพียงเวลาพลิกฝ่ามือดึงโซ่ตรวนที่พันธนาการข้อมือรวบ
เสียงที่ดังก้องขึ้นทำให้ทั้งหมดในที่นั้นหันกลับไปมองพร้อมกัน มี่อิงเลิกคิ้วขึ้นขณะไป๋เจี้ยนก็หันไปดังขวับส่วนจิ้นเหอเมื่อเหลียวกลับไปก็ได้เห็นคนที่เขาอยากพบมากที่สุดในเวลานี้ ฟางซินยืนอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมด้วยเหมยเหม่ย หวังซื่อและหยางเซิงไต้ซือซึ่งเขาจำได้มิเคยลืมเมื่อครั้งเคยมาเยือนหวงซาน ณ อารามวัดโค้วอิงยี่ ทั้งหมดยืนอยู่ท่ามกลางคนพรรคมารที่ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จิ้นเหอสบนัยน์ตานางมารหมื่นบุปผาด้วยหัวใจรุ่มร้อน หากมิตายเสียก่อนก็จะขอให้นางอภัยต่อความโง่เขลาที่เยขาหลงเชื่อคนใจคดอย่างมี่อิงและไป๋เจี้ยน แต่แล้วมี่อิงกลับระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น“ฮ่าๆๆๆๆ....มาแล้วรึเจ้าพวกแมงเม่า ฟางซิน...ข้านึกไว้แล้วเชียวว่าเจ้าต้องหวนกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะเจ้าคงมิอาจทนเห็นคนรักของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานอยู่ที่พรรคบุปผาสวรรค์เป็นแน่แท้”“มี่อิง เจ้าเลิกก่อกรรมเสียที มิรู้หรืออย่างไรว่าเจ้ากำลังเล่นกับสิ่งใด หากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ทัพเฉิงคนจากวังหลวงย่อมมิปล่อยเจ้าไว้ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดิน”“ข้าไม่กลัว! คนจากวังหลวงหรือเป็นเพราะเจ้าห่วงเขากันแน่ มาวันนี้ก็ดีแล้วจะมาเป็นพยานให้กับข้าในการขึ้นเป็นป