เมื่อร่างบางปรากฎขึ้นตรงหน้าก็ราวกับโลกของเจย์เดนหยุดหมุนไปชั่วขณะ ลมหนาวพัดผ่านยอดหอดูดาว บรรยากาศเงียบสงัดขึ้นในทันตา จนสามารถได้ยินเสียงหัวใจของลินินที่กำลังสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว “ลินิน เจ้าไม่ต้องกลัวนะ” เสียงอบอุ่นแสนคุ้นเคยเอ่ยขึ้นเพื่อปลอบให้เธอสงบจากความหวาดกลัว “เจ้ามองข้าเอาไว้ก็พอ” “แหม ดูสิ ช่างเป็นคู่รักที่หวานแหวว ใช่แล้วท่านหญิง จับตามองเขาเอาไว้ เพราะอีกไม่นาน เจ้าแบรดฟอร์ดนี่จะกลายเป็นความทรงจำแทนที่จะมีลมหายใจ” คำพูดนั้นทำลินินคิ้วขมวด ในขณะที่เรียวแขนของเธอก็ยังถูกมือหนาของกอนซาเลซตรึงเอาไว้แน่น ส่วนเจย์เดนที่เห็นเช่นนั้นดวงตาก็เริ่มแดงฉาน ด้วยความโกรธเกรี้ยวที่อีกฝ่ายกำลังแตะต้องคนของตัวเอง “เจย์เดน ฉันขอโทษที่หนีออกมาแบบนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไปจากนาย แต่...” เธอมีเรื่องราวอยากจะสารภาพความรู้สึกกับเขามากมาย แต่เหตุการณ์ตรงหน้ากลับไม่ค่อยเอื้อนัก เมื่อผู้คุ้มกันของตระกูลกอนซาเลซเริ่มตีวงล้อมเข้ามาเรื่อย ๆ หญิงสาวจึงกลืนน้ำลายตัวเองในทันที สายตาจับจ้องไปยังร่างสูงที่ตอนนี้ก็ยังจ้องมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนโดยไร้ซึ่งสิ่งใดเอื้อนเอ่ย “หนีไปซะ” เธอเอ่ยเสียงกระซิบส่
ขณะที่ร่างกำลังหลับไหลอยู่ในโลงแก้ว ในอีกด้าน หญิงสาวกำลังจมอยู่กับโลกอันแสนสดใส ความรู้สึกเหมือนตนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งก่อตัวขึ้น และมันก็ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน สองขาวิ่งเล่นตามขอบธารน้ำตก ผืนน้ำใสสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า เสียงนกร้องประกอบกับความเย็นฉ่ำของสายน้ำทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เพียงแต่ในหัวของเธอตอนนี้กลับขาวโพลนไปหมดไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิดถึงสิ่งอื่นใด และนั่นทำให้เธอไม่โหยหาถึงที่ ๆ จากมาเลยแม้แต่น้อย แต่ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขานเรียกชื่อของเธอ “ลินิน…” เมื่อได้ยินชื่อของตน เธอจึงรีบหันไปมอง คิ้วขมวดงุ่นด้วยความสงสัยก่อนจะเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นในกลุ่มหมอก ดูเหมือนว่าจิตใต้สำนึกจะเริ่มทำงานเมื่อลินินเห็นร่างของหญิงสาววัยกลางคนยืนอยู่ตรงริมธารน้ำตก "แม่เหรอ?" ใบหน้าอ่อนโยนของผู้หญิงคนนั้นแทบจะเลือนหายไปจากความทรงจำของลินินแล้ว และเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาและสวมกอดผู้เป็นแม่เอาไว้แน่น พลันน้ำตาที่ไหลลินออกมาบ่งบอกถึงความคิดถึงที่อัดแน่นอยู่เต็มอก และในที่สุด ความทรงจำก่อนหน้าก็ถาโถมเข้ามาจ
"เจย์เดน นายเป็นอะไรไปน่ะ!" แต่เป็นกังวลได้ไม่นาน หญิงสาวก็ได้ยินเสียงขำขันดังขึ้นมาจากชาร์ลที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก "นี่ไม่ตลกเลยนะ..." และด้วยความที่แววตาของลินินเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วจึงเพิ่มความดุดันได้มากขึ้นพอตัว ชาร์ลจึงต้องค่อย ๆ อธิบายให้เธอฟังก่อนที่จะเกิดเรื่องราวใหญ่โต "ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลหรอกขอรับท่านหญิง เป็นเพราะหลายวันมานี้ท่านชายไม่ค่อยได้พักผ่อน" "เรียกได้ว่าไม่ได้พักเลยเสียมากกว่าขอรับ" ชายชราผู้มีหน้าที่เป็นโหรหลวงประจำตระกูลกล่าวเสริม ชาร์ลก็พยักหน้าตามแล้วกล่าวอธิบายปิดท้ายอีกครั้ง "ใช่ขอรับ โดยปกติแล้ว อาการแบบนี้เป็นในแวมไพร์ที่อ่อนแรง จะเหมือนการปิดสวิตช์ตัวเองเพื่อพักผ่อนน่ะขอรับ" "หมายความว่า เขายืนหลับกลางอากาศเหรอ?" ลินินมองคนตรงหน้า ความรู้สึกตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ก่อนที่ชาร์ลจะเข้ามาช่วยประคองตัวของเขากับไปนอนพักผ่อนบนห้อง แต่เมื่อก้าวขาผ่านประตูห้องมาได้ไม่นานเสียงของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้น เธอมารอเจย์เดนเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเจ้าของพิษรักของเธออย่าง กอนซาเลซ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสลบไป ท่าทางของเธอก็ดูร้อนรนอย่างออกนอกหน้า "เจย์เดน..."
“ลินิน” เมื่อมาถึงสวนหลังคฤหาสน์ เสียงอ่อนหวานก็ดังขึ้นราวกับต้องการออดอ้อนเจ้าของชื่อปานนั้น จนผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเหลือบมองด้วยสายตาเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าท่านชายของเขาจะกลายร่างจากราชสีห์เป็นแมวเสียแล้วล่ะ เจย์เดนก้าวยาว ๆ ตรงไปหาลินินที่นั่งอยู่แถวลานน้ำพุ ลินินที่ได้ยินเสียงคู่ครองของตนก็ละความสนใจจากสิ่งสวยงามตรงหน้าแล้วรีบวิ่งไปหาเขาทันที “เจย์เดน นายฟื้นแล้วเหรอ” เธออกมาเดินเล่นนอกคฤหาสน์ด้วยความที่อยากปรับตัวให้คุ้นชินกับชีวิตใหม่นี้โดยเร็ว “ข้าไม่เป็นไร แล้วเจ้าล่ะ เจ็บมากหรือเปล่า” เจ้าของคฤหาสน์เอ่ยถามพลางใช้มือหนาลูบไล้ดวงหน้าสวยด้วยความห่วงใยก่อนจะเลื่อนมือปหนาไปจับบริเวณแขนของเธอที่ก่อนหน้านี้เคยมรอยแผลเป็นจากการตัดไหม “ข้าขอโทษนะ ที่ตอนนั้นไม่ได้อยู่ข้างเจ้า ขอโทษที่ละเลยความรู้สึกเจ้าไป” เจย์เดนกล่าวพร้อมส่งสายตาห่วงใยไปให้ นอกจากนี้ คำกล่าวของเขายังทำให้ชาร์ลที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับมองเขาด้วยความตกตะลึง กรอบแว่นบนใบหน้าหล่อเหลาถูกขยับขึ้นเล็กน้อยพร้อมสายตาที่จับจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างแปลกใจ ที่นี่ท่านชายกำลังเอ่ยปากขอโทษขอโพยผู้อื่นอย่างนั้นหรือ
บรรยากาศในคฤหาสน์แบรดฟอร์ดในช่วงนี้จึงค่อนข้างเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนตามคำประกาศกร้าวของเจย์เดน เนื่องจากลินินเพิ่งกลายเป็นแวมไพร์เกิดใหม่ ทุกคนจึงต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยให้เธอปรับตัวได้ และรวมไปถึงการที่เจย์เดนต้องจำกัดอาณาเขตของอิซาเบล เพื่อไม่ให้เข้ามาอยู่ในลานสายตาของลินินอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องความกระหายที่ต้องเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจไปเจอมนุษย์และเผลอทำร้ายพวกเขาเข้า และดูเหมือนว่าช่วงนี้เธอจะติดคู่ครองของตัวเองมากเป็นพิเศษด้วย ชนิดที่ว่าเจย์เดนไม่ได้ขยับออกห่างเกินหนึ่งช่วงแขนเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ทำไมเจย์เดนกลับรู้สึกชอบที่เธอเป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะตอนเป็นมนุษย์เรียกร้องเท่าไหร่ก็ไม่เคยกล้าจะเข้ามาออดอ้อน แต่ตอนนี้ได้โดนอ้อนสมใจแล้ว อยู่ ๆ เจย์เดนก็พูดขึ้นกลางห้องโถงใหญ่ที่เขาเรียกผู้อยู่อาศัยภายในคฤหาสน์มารวมตัวกัน ยกเว้นลินิน ก่อนจะประกาศกร้าวเรื่องสำคัญถึงสองเรื่องด้วยกัน ประการแรก เขาอยากให้ทุกคนเข้าใจพฤติกรรมของแวมไพร์เกิดใหม่อย่างถ่องแท้ เพื่อการดูแลว่าที่ชายาของเขาได้ดียิ่งขึ้น และเข้าใจอารมณ์ที่แสนอ่อนไหวของเธอในช่วงนี้ไปพร้อมกัน “ทุกคนคงเห็นเหตุการณ์ในห้องโ
หลังจากนั้นเขาก็พาลินินออกจากห้องโถงไป ปล่อยให้ผู้ติดตามและโหรหลวงอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพังเพื่อพูดคุยเรื่องการจัดงานอภิเษกให้เรียบร้อย โดยเฉพาะฤกษ์งามยามดีที่โหรหลวงจะต้องคำนวณหา และเขาก็จำใส่ใจเป็นอย่างดีถึงคำที่ท่านชายเน้นย้ำว่า ‘โดยเร็ว’ ทั้งสองเดินมายังห้องนั่งเล่นอันแสนสงบ เมื่อประตูปิดลง เขาก็ประคองลินินมานั่งลงบนโซฟาข้างตัวเอง ดวงตาคู่สวยช้อนมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาที่ต่างไปจากแต่ก่อนยิ่งนัก ทำเอาเจย์เดนฉงนอยู่ไม่น้อย แต่ก็อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณที่แวมไพร์เกิดใหม่มีต่อคู่ครอง ซึ่งก็เพิ่งทราบพร้อมกันกับทุกคนเมื่อสักครู่ นั่งอยู่ได้เพียงไม่นาน ลินินก็ขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะปีนขึ้นไปนั่งบนตักของเขาในที่สุด เจย์เดนก็ยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ ด้วยความที่ตอนเป็นมนุษย์นางไม่เคยแสดงพฤติกรรมเช่นนี้เลย แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็แอบลอบยิ้มขึ้นมาอย่างนึกถูกใจนัก ‘น่าจะเป็นเช่นนี้เสียตั้งแต่ตอนเป็นมนุษย์’ เจ้าแวมไพร์ตัวโตแอบคิดในใจก่อนจะใช้มือหนาโอบรอบเอวของเธอไว้เหมือนว่าตัวองก็ต้องการความใกล้ชิดเช่นนี้เหมือนกัน "ลินิน...เจ้าเป็นแบบนี้แล้วขารู้สึกดีกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะเลย" “จริงเหรอ
หลังจากที่หาฤกษ์งานแต่งเป็นที่เรียบร้อย เจย์เดนก็พยายามทำทุกวิธีเพื่อให้ลินินปรับตัวกับชีวิตใหม่ของเธอให้โดยเร็วที่สุด พูดง่าย ๆ ก็คือเขาใจร้อนอยากจะแต่งกับเธอใจจะขาดนั่นแหละ และในที่สุดวันนี้ก็มาถึง บรรดาแขกเหรือที่มาร่วมงาน มีทั้งเครือญาติในวงศ์ตระกูลที่สนิทสนม ท่านพ่อ และท่านแม่ของเจย์เดน ที่ขาดไม่ได้ก็คงเป็นไนเจลและเฟย์ ซึ่งเป็นสหายคนสนิทครั้งเยาว์วัย รวมถึงมิตรสหายจากมหาวิทยาลัยของลินินด้วย ไม่เว้นแม้แต่อิซาเบล...ที่นั่งสีหน้าเรียบเฉย อันที่จริงเธอไม่มีหน้าจะมาร่วมงานนี้หรอก หรืออย่างน้อย ๆ เธอก็รู้สึกละอายแก่ใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปอยู่บ้าง แต่สุดท้ายด้วยการขอร้องจากเจย์เดน เธอจึงยอมมาร่วมงานด้วย แม้จะต้องเปชิญสายตาขากตระกูลอื่นที่มองมาอย่างดูแคลนอยู่บ้างก็ตาม เพื่อนในมหาลัยของลินินต่างรู้สึกยินดี แต่ก็มีบางคนที่คิดสงสัยว่าเหตุใดจึงแต่งงานเร็วถึงเพียงนี้ ไม่รอให้เรียนจบก่อน นอกจากนี้เมื่อตระกูลแวมไพร์อื่นทราบว่าจะให้เพื่อนมนุย์ของลินินจะมาร่วมงานด้วย ทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยการปกปิดตัวตนของพวกเขาอย่างเคร่งครัด “เธอไม่ได้ท้องหรอกหน่า ท้องแฟบขนาดนั้น” เจนนิสบอกเพื่อ
“ลินิน เธอดูออร่ามากขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกนะ ไปทำอะไรมาเหรอ” เจนนิสกล่าวขึ้นเมื่อได้โอกาสเข้ามาทักทายเจ้าสาวดาวเด่นของงาน “ก็เพราะเป็นเจ้าสาวยังไงล่ะ ออร่าเจ้าสาวไง” “อาจจะเพราะแบบนั้นก็ได้” ลินินตอบพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน จะให้เธอบอกอย่างไรเล่าว่าตัวเองกลายเป็นแวมไพร์ ร่างกายจึงฟูฟ่องขึ้นกว่าเดิม “แล้วนี่วางแผนไปฮันนีมูนกันที่ไหนเหรอลินิน” กลุ่มเพื่อนสาวของลินินกรูเข้ามาถาม หลังจากเสร็จสิ้นงานฉลองเป็นที่เรียบร้อย พวกเธออยากรู้ว่ามันจะน่าตื่นตาตื่นใจและน่าอิจฉามากแค่ไหน “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องนี้เจย์เดนบอกว่าจะจัดการเองน่ะ” หญิงสาวในชุดราตรีสีเงินสวยงามส่ายศีรษะ เป็นเรื่องจริง เจย์เดนไม่ยอมบอกเลยว่าจะพาเธอไปที่ไหน ดูเหมือนว่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ ไถ่โทษจากตอนที่ขอแต่งงานแบบดาษ ๆ แทน อันที่จริงเธอก็ค้านเขาแล้วแท้ ๆ ว่าไม่ต้องจัดเซอร์ไพรส์อะไรให้ก็ได้ แต่ดูเหมือนเจ้าแวมไพร์หนุ่มจะค้านหัวชนฝาเสียลูกเดียว “เดี๋ยวจะออกเดินทางกันคืนนี้ล่ะ” ลินินบอกเพื่อนสาวเท่าที่ตัวเองทราบ “คืนนี้เลยเหรอ” พวกเพื่อน ๆ ทำเสียงแปลกใจ แววตาดูตื่นเต้นกว่าเจ้าสาวเสียอีก “อย่าลืมถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอมาให้ดูด้วยล่
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน
หลังจากเจย์เนสและเรย์เน่เริ่มรู้ความ ภายในบ้านก็เริ่มวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่แฝดทั้งสองติดลินินมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องจัดตารางว่าใครจะได้นอนกับแม่ในวันไหนกันเลยทีเดียวภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะราวกับภูมิใจนำเสนอให้ลินินที่นั่งอยู่ในห้องนั้นได้ดูมัน"ตารางเวรนอนกับแม่" ลินินอ่านตัวหนังสือที่จ่าอยู่บนนั้นที่เรย์เน่และเจย์เนสช่วยกันออกแบบด้วยลายมือเด็ก ๆ ของพวกเขา นอกจากนี้ยังแบ่งช่องพร้อมใส่ชื่อตัวเองอย่างเสร็จสรรพด้วย"ใช่ค่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนกับท่านแม่วันไหน”“แม่นอนกับพวกลูกได้ทุกวันทั้งคู่อยู่แล้ว” ลินินอธิบาย แต่แล้วก็ได้รับการส่ายศีรษะตอบกลับจากพวกเด็ก ๆ“แต่ท่านแม่นอนตะแคงกอดพวกเราได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นแบ่งเป็นวันแบบนี้เนี่ยะแหละครับดีแล้ว” เจย์เนสยังคงยืนกรานว่าจะจัดตารางแบบนี้ โดยมีน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่พยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้าง ๆ“วันนี้เป็นวันของพี่เจย์เนสนะ” เรย์เน่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากมองดูตารางในมือ “พรุ่งนี้เป็นวันของน้อง” เธอเสริมพลางยิ้มกว้างให้พี่ชายเจย์เนสพยักหน้าใบหน
“เจ้าปีศาจยักษ์ ส่งตัวราชินีของข้ามา ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยหนี่งขวบ (?) ดังลั่นไปทั่วขณะที่ถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันพ่อของเขาใช่แล้ว อย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าลูกแวมไพร์นั้นโตเร็วและ แต่ก็ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งปีจะโตถึงขนาดเล่นอัศวินกับท่านพ่อของพวกเขาได้แล้ว!ช่วงเดือนแรก หากเป็นทารกมนุษย์ทั่วไป ก็คงไม่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ใช่ไหมล่ะ แต่บ้านนี้ส่งเสียงได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังคลอด เรื่องนั้นว่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเริ่มคลานได้ในเดือนที่สอง และตั่งท่าเดินได้เสร็จสรรพในระยะเวลาเพียงหกเดือน! ทำเอาท่านแม่อย่างลินินตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นลูกโตวันโตคืนชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนให้ตั้งคลานหรือยืนตั้งไข่เลย พวกเขาทำได้เองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ถือดาบวิ่งไล่ฟันเจย์เดนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในตอนนี้ หากนับตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ สองแฝดเหมือนเด็กอายุสี่ขวบเข้าให้แล้วล่ะ“ไม่ส่งคืนหรอก นี่ราชินีของข้า” แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่นัก ดูจากที่เล่นกับลูกชายอย่างมีความสุขแล้วอยู่ ๆ ร่างสูงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวของลินินท
หลายเดือนต่อมา ท้องของลินินก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็จะถึงวันกำหนดคลอดของเธอแล้ว ถึงแม้จะตั้งครรภ์เพียงสี่เดือนครึ่ง อุ้มท้องไม่นานเท่าอายุครรภ์ของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายไปกว่ากันหรอก เพราะข้างในเป็นแวมไพร์เด็กที่เมื่อเวลาดิ้นทีก็ทำผู้เป็นแม่แทบลมจับเลยทีเดียว “ลินิน ข้าต้องออกไปบริษัท พอดีมีโครงการจะซื้อเครื่องบินลำใหม่ ต้องไปฟังความคิดเห็นคณะผู้บริหารด้วย เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม” จะว่าไปแล้ว ช่วงใกล้คลอดนี้เจย์เดนจับตาดูภรรยาทุกฝีก้าวเสียยิ่งกว่าช่วงแรกเสียอีก จะขยับแต่ละทีก็จะต้องมีเขาคอยช่วยประคองอยู่ตลอด ลินินที่ได้ยินสามีเอ่ยแบบนั้นก็พยักหน้าเหมือนว่ารับทราบ “นายไปเถอะ ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง” โชคยังดี เพราะด้วยความที่ใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว แม่สามีจึงอาสาว่าจะมาช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกแรงด้วย นั่นทำให้เจย์เดนที่ข่วงนี้งานรัดตัวรู้สึกวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เป็นห่วงหรอกนะ “ห้ามดื้อนะรู้ไหม” ว่าจบเขาก็กดนิมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอประหนึ่งว่าคนตรงหน้าคือสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในโลก “สภาพนี้ฉันดื้อไม่ไหวหรอก” เธอกล่าวระคนติดตลก แ