“ไฟติดแล้วคุณเอาบาร์บิคิวมาย่างเถอะ เดี๋ยวผมไปเตรียมเครื่องดื่มกับของกินเล่นอย่างอื่นเอง”“ค่ะ” จันทร์เจ้ารับคำยิ้มหวานชลธีมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ หัวสมองครุ่นคิด เมื่อคิดอะไรไม่ออกก็ต้องตัดใจเดินเลี่ยงไปเตรียมของที่เขาพูดถึงแทนจันทร์เจ้ามองตามแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มราวกับเจอเหยื่ออันโอชะ เธอหัวเราะร่วนอย่างมีแผนการหลังจากตัดสินใจเองว่าจะเปิดใจแล้วเอาเขามาเป็นผัวความคิดอันบรรเจิดก็ได้โลดเล่น ปกติจันทร์เจ้าเป็นคนเก่งกล้าและเปิดเผย ทว่าหากให้เธอเดินดุ่ม ๆ ไปบอกเขาว่าเธอต้องการเปิดใจให้เขา หรือบอกว่าเธอจะเอาเขามาเป็นแฟน หญิงสาวก็คงไม่ทำ แหม... อย่างน้อยตัวเธอเองก็ยังมียางอายอยู่บ้างนะ ที่สำคัญเลยก็คือไม่ว่าจะช้าหรือเร็วชลธีก็หนีเธอไปไหนไม่รอดอยู่ดี ก็เธอตั้งมั่นว่าจะจับเขาแล้วนี่นะจะปล่อยเขาให้หลุดรอดมือไปได้ยังไง หึ!ตอนนี้จันทร์เจ้าคิดว่าชลธีเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือเธอเท่านั้นจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ไม่มีอะไรต้องเร่งรีบ เพราะอีกเดี๋ยวทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นแล้วจันทร์เจ้าละสายตาจากแผ่นหลังกว้างมาสนใจบาร์บิคิวที่กำลังจะขึ้นเตาย่างแทน เธอหยิบจับพวกมันย่างอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานเธอก็เห็นชลธีเข้
อึก!ไวน์ลงคอไปแล้ว...“...”จันทร์เจ้าทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ก้มหน้านิ่งไปไม่ขยับ จนคนมองอย่างชลธีรู้สึกกังวลที่เห็นเธอนั่งนิ่งแบบนี้“จันทร์เจ้า ไหวใช่ไหมครับ” เขาถามด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริงฝ่ายคนที่นิ่งไปตอนแรกก็ไม่นิ่งแล้ว ตอนนี้เธอเริ่มขยับตัวเงยหน้าแดงก่ำมองสบตากับชลธีพร้อมทั้งยิ้มกว้างให้สองมือของจันทร์เจ้าเท้าลงที่โต๊ะ ดันตัวเองลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาหาชลธีที่นั่งอยู่ตรงข้ามแหมะ!ชลธีรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่หญิงสาวมานั่งลงบนตักตัวเอง แต่แล้วก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว วงแขนแกร่งเกาะเกี่ยวเอวเล็กไว้มั่นเพราะไม่อยากให้คนที่กำลังเมาตกจันทร์เจ้าเมื่อนั่งลงบนตักแกร่งของชายหนุ่มแล้ว หญิงสาวก็วาดแขนโอบรอบลำคอหนาไว้ จากนั้นก็เอียงใบหน้าซบลงที่ไหล่กว้าง หลับตาพริ้มมุมปากยิ้มไม่คลาย“เมาแล้ว”หญิงส่าวส่ายหน้าไปมาพร้อมตอบ “ยังไม่เมา”“ไม่เมาได้ไง เมาแล้วเนี่ย ถ้าไม่เมาคุณไม่กล้ามาทำกับผมแบบนี้หรอก” ชายหนุ่มพูด เพราะเขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆจันทร์เจ้าชักสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะกอดลำคอหนาแน่นขึ้นพร้อมพูดว่า “กล้าสิ จันทร์เจ้ากล้านะ จันทร์เจ้าเก่งมาก!”เอาแล้วไง เมาแล้วนิสัยเด็กชัด ๆ เลย
ชลธีเลิกคิ้วมองเธอด้วยความอ่อนโยน เขาไม่ตอบรับ เพียงแต่ถามเธอกลับไปว่า “ทำไมคุณถึงอยากให้ผมเป็นของคุณคนเดียวล่ะ”“...”จันทร์เจ้าก้มหน้าไปไม่ได้ตอบ เธอกำลังชั่งน้ำหนักความคิดของตัวเองว่าเธอควรจะพูดบอกเขาไปตรง ๆ หรือหาคำประดิษฐ์อันสวยหรูมาหลอกล่อเขาดี“ว่าไงครับ ทำไมไม่ตอบ” ชายหนุ่มถามย้ำพร้อมทั้งก้มหน้าเข้ามาใกล้จนหญิงสาวสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อน ๆ ของเขาจันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับเขาอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแน่ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เรียกความมั่นใจให้กับตัวเองแล้วตอบเขาไปว่า“เพราะคุณรวย”“!!!”เอ่อ... ตอนนี้ชลธีนิ่งเหมือนถูกสาปไปแล้ว ที่อยากให้เขาเป็นของเธอเพียงเพราะว่าเขารวยแค่อย่างเดียวเนี่ยนะ ไม่หวั่นไหวกับหน้าตาหรือรสจูบของเขาบ้างเลยรึไงหรือว่าเขาไม่มีเสน่ห์มากพอเธอถึงไม่ได้สนใจอย่างอื่นของเขานอกจากเงินยิ่งคิดใบหน้าหล่อก็ฉายแววเคร่งเครียดจนหญิงสาวสัมผัสได้ เธอยกมือเล็กขึ้นมาประคองใบหน้าหล่อให้หันมาสบตาเธอไว้แล้วจึงเริ่มพูดต่อว่า“นอกจากคุณจะรวยแล้วคุณก็หล่อด้วย ฉันเป็นคนไม่เชื่อในความรัก แต่ถ้าฉันจะเปิดใจให้ใครสังคนก็คงเป็นคุณนี่แหละ”“ทำไม”“ก็คุณรวย มีเงินให้ฉันใช้สบา
“อื้อ! ปวดหัวจัง!”เสียงบ่นงึมงำเพราะเพิ่งตื่นนอนดังออกมาจากริมฝีปากสวยที่ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงนอนหนานุ่ม เจ้าของเสียงยืดแขนยืดขาบิดขี้เกียจไปมาขบไล่ความเมื่อยล้าให้ออกไป ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นรับแสงอรุณในยามเช้า แล้วเจ้าตัวก็นอนนิ่งอยู่แบบนั้นมองเพดาลห้องด้วยความแปลกใจ“ทำไมสีดำ”พูดแล้วก็มองสำรวจไปทั่วห้องแล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่านี่มันไม่ใช่ห้องเธอแต่เป็นห้องของชลธี! มิน่าล่ะถึงเป็นสีดำ หญิงสาวผุดลุกจากเตียงอย่างรวดเร็วซึ่งพอดีกับที่เจ้าของห้องเปิดประตูออกจากห้องน้ำมาหญิงสาวเบิกตาอ้าปากกว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มออกจากห้องน้ำโดยการพันผ้าเช็ดตัวไว้ที่เอวสอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ช่วงตัวส่วนบนไร้ซึ่งอะไรปกปิดเผยให้เห็นแผงอกกว้าง ซิกแพ็กแน่นเป็นลูก ๆ น่าขย้ำ อึก!เสียงกลืนน้ำลายของจันทร์เจ้าดังขึ้นเมื่อเธอไล่สายตามองตั้งแต่ใบหน้าคมเข้มไล่ระดับสายตาลดลงมาเรื่อย ๆ ที่แผงอกกว้างมีหยดน้ำเกาะพราวตามร่างกายก่อนสายตาจะหลุบต่ำมองไปที่ผ้าเช็ดตัวสีขาวที่ปิดบังเจ้าโลกไว้หญิงสาวชักสีหน้าเล็กน้อยที่พลาดโอกาสเห็นอาวุธลับของเขาก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาเชิดหน้าขึ้นมองไปที่ชายหนุ่มด้วยความไม่พอใจเท่าไหร่น
ด้านจันทร์เจ้าเมื่อกลับมาที่ห้องนอนตัวเองแล้วเธอก็ตรงไปนั่งลงที่เตียงพลางพยายามคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ภาพที่เธอนึกขึ้นได้มันไม่ปะติดปะต่อกันนักคงต้องให้เวลาหัวสมองกลั่นกรองสักหน่อยอาการมึน ๆ ที่เป็นอยู่ตอนนี้บ่งบอกได้เลยว่าเมื่อคืนเธอเมาแค่ไหน‘ไม่น่าเลย ไม่น่าดิ้นตามคำท้าของเขาเลย’จันทร์เจ้าได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ แต่ในเมื่อมันผ่านมาแล้ว มาพูดตอนนี้มันจะได้อะไรขึ้นมาเล่าปกติจันทร์เจ้าเป็นคนคอแข็งมาก ทั้งยังเป็นนักดื่มคนหนึ่ง ทว่านั่นต้องเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่ ‘ไวน์’ นะเพราะไวน์ กับ จันทร์เจ้า ถือเป็นศัตรูคู่แค้น เพียงได้กลิ่นหญิงสาวก็สามารถเมาได้แล้ว แล้วนี่เธอถึงขั้นดื่มเข้าไปเป็นแก้ว อา... ไม่ต้องมีใครบอกเธอก็พอรู้สภาพตัวเองได้ว่าแต่หลังจากที่เธอดื่มมันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?จันทร์เจ้าพยามนึกทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เริ่มแวบเข้ามาในหัว“จูบ!” ว่าแล้วก็ตาโต มือขวายกขึ้นแตะปากอิ่มของตัวเองก่อนจะเม้มปากแน่นเมื่อเธอพอจะจำได้ราง ๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอดื่มไวน์เข้าไป“ไม่น่าเลยจันทร์เจ้า ไม่น่าจริง ๆ ไม่น่าอวดเก่งเลยจริง ๆ”จันทร์เจ้าโอดครวญกับตั
“จันทร์เจ้า เดี๋ยวช่วยสรุปยอดออเดอร์พวกนี้ให้ผมทีนะครับ” ชลธีเห็นจันทร์เจ้าเข้ามาหาเขาที่ห้องทำงานก็เอ่ยสั่งงานทันที จากนั้นก็ไม่สนใจอะไรหญิงสาวเขา เขาหมกมุ่นอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะของตัวเองต่อไปจันทร์เจ้าที่ได้รับคำสั่งให้ช่วยตรวจนับและสรุปยอดออเดอร์ต่าง ๆ ก็ทำงานอย่างว่าง่าย ทั้งสองทำงานกันไปเรื่อย ๆ โดยได้ทานแค่ขนมปังและกาแฟที่หญิงสาวยกเข้ามาเป็นอาหารเช้าเท่านั้น“เสร็จแล้วค่ะ”จันทร์เจ้าเอ่ยบอกเมื่องานส่วนของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วก็หันไปรัวแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊คต่อ หญิงสาวก็คร้านจะสนใจ ดูท่าแล้วงานนนี้คงจะสำคัญมากจริง ๆ ไม่อย่างนั้นคนตรงหน้าคงไม่เคร่งคัดและเครียดแบบนี้มองไปที่เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่ติดบนผนังห้องแล้วก็ให้รู้ว่าเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนจะเข้าเที่ยงวันเข้าไปแล้ว หญิงสาวถึงได้ลุกออกจากห้องไปเพื่อเตรียมทำอาหารมื้อกลางวันอย่างง่าย ๆ ให้ตัวเธอและเขาได้ทานชลธีมองตามร่างของหญิงสาวไปเพียงแว็บเดียว ก็หันมาสนใจงานตรงหน้าต่อ งานนี้สำคัญกับเขามาก เพราะถ้าเขาคุยงานสำเร็จเขาจะได้ลูกค้ารายใหญ่อุดหนุนสัมปทานรังนกที่เขาถือครองอยู่แน่นอนจริงอยู่ที่เขามีลูกค้าอยู่ในม
คำขอคบทื่อ ๆ ที่ออกมาจากปากของเขา ไม่มีความโรแมนติกอย่างใครอื่น มีแต่ความจริงใจที่คนตรงหน้าสื่อออกมากลับทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงมากกว่าอะไรทั้งหมด“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันไม่เชื่อในความรัก” จันทร์เจ้ายังไม่ตอบรับเลือกที่จะเอ่ยถามแทน“รู้ แต่ก็ยังหวังว่าคุณจะยอมเปิดใจไม่ปิดกั้นผมและตัวคุณเอง ผมรู้นะว่าคุณก็หวั่นไหวกับผมเหมือนกัน” ชลธีตอบพลางยกยิ้มมุมปากพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาใส่เธออีกด้วยทำเอาหญิงสาวส่งค้อนให้“ถ้าฉันเปิดใจให้คุณ คุณจะมองผู้หญิงคนอื่นไม่ได้แล้วนะ”“ครับ ผมไม่ต้องการมองใครอื่นอยู่แล้ว”“คำพูดใคร ๆ ก็พูดได้” หญิงสาวเบ้ปากเล็กน้อยให้กับคำพูดของเขาชลธีถอนหายใจเบาแล้วจึงพูดออกมาด้วยความจริงจังว่า “ผมพูดจริงนะ ผมยอมรับว่าชีวิตผมก็ผ่านผู้หญิงมาบ้างตามประสาผู้ชายที่ไม่มีพันธะ หากแต่ไม่มีสักครั้งที่ผมจะรู้สึกใจเต้นแรงอย่างที่รู้สึกกับคุณ”ฉ่า!อีกแล้ว เอาอีกแล้ว คำพูดง่าย ๆ ไม่ได้สวยหรูหรือหวานล้ำ แต่กลับทำเอาจันทร์เจ้าเขินอายได้ทุกที ไม่ยุติธรรมกับเธอเลย“คุณแน่ใจนะ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงใจกว้าง เพราะถ้าอะไรที่เป็นของฉันแล้ว ฉันจะไม่แบ่งให้ใครเด็ดขาด”“ไม่มีปัญหาครับเพราะผมก็เป็นแบบคุณเช
“คุณเตรียมของเสร็จเรียบร้อยหรือยัง เราต้องรีบไปนะ ก่อนที่เมฆจะตั้งเค้าฝนอีก ผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าขณะที่เราเดินเรือฝนจะไม่ตกลงมา” ชลธีตะโกนถามแฟนหมาด ๆ ของตัวเอง ที่ตอนนี้ยังไม่ออกมาจากห้องนอนของเธอเลยชายหนุ่มกกังวลว่าฝนจะตกลงมาก่อนที่พวกเขาสองคนจะไปถึงเกาะส่วนตัวของเขา ถ้าไปถึงแล้วตกก็ดีไปเถอะ แต่ถ้าตกระหว่างเดินเรือคงแย่แน่ ๆชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งก็พบว่าท้องฟ้าเหมือนจะปลอดโปร่งกว่าเมื่อวาน ทว่านั่นกลับไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับกังวลมากกว่าเดิม อุตินิยมวิทยาเพิ่งจะแจ้งว่ามรสุมเข้าราว ๆ สิบกว่าวัน นี่เพิ่งผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งของจำนวนวันที่แจ้งมาด้วยซ้ำท้องฟ้ากลับโปร่งขนาดนี้ จะไม่ให้เขากังวลใจได้ยังไงโบราณว่าไว้คลื่นทะเลจะสงบก่อนพายุใหญ่จะเข้ามายิ่งมองไปยังท้องทะเลที่ติดกับหน้าบ้านแวก็ยิ่งกังวลใจหนักกว่าเดิม ปกติเขาไม่ได้กังวลแบบนี้ ทว่าพอหญิงสาวไปด้วย คนที่ไม่เคยกังวลก็กังวลไปเสียทุกอย่าง ถึงเขาจะขับเรือเก่งแต่ก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยในช่วงมรสุมนะ ดังนั้นถ้าได้เดินเรือตอนที่ฟ้ายังไม่ตั้งเค้าจะดีมาก“เสร็จแล้วค่ะ ไปกั
จันทร์เจ้าอึ้งของจริงแล้วตอนนี้ ก็ว่าอยู่ทำไมเขามีท่าทางจริงจังผิดปกติ และเหมือนว่าจะทำเรื่องสำคัญ แต่เธอไม่คิดว่าเรื่องสำคัญที่ว่าคือการขอเธอแต่งงานแบบนี้ หญิงสาวพูดไม่ออกตั้งตัวไม่ทัน ได้แต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจนคนที่เพิ่งพูดว่าขอแต่งงานใจเสีย“จันทร์ครับ พี่รักจันทร์นะ รักจันทร์คนเดียว เรายังไม่ต้องแต่งกันตอนนี้ก็ได้ แต่จันทร์อย่าปฏิเสธพี่เลยนะครับ” พูดแล้วก็จะร้อง ใบหน้าของชลธีเหยเก ชายหนุ่มรับไม่ได้ถ้าเขาจะถูกคนที่รักปฏิเสธ มาถึงตอนนี้จันทร์เจ้าเรียกสติคืนกลับมาได้แล้ว“พี่ชลใจเย็น ๆ นะคะ จันทร์ไม่ได้จะปฏิเสธสักหน่อย”“จริงนะครับ”“จริงสิคะ”ชลธีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ“แต่จันทร์ขอเวลาหน่อยนะคะ จันทร์ไม่อยากให้เราด่วนตัดสินใจ ทุกวันนี้ที่เราอยู่และเข้าใจกันมันก็ดีอยู่แล้ว ให้ความสัมพันธ์ของเราเป้นแบบนี้ไปก่อนนะคะ”“เรายังมีหลายเรื่องที่ต้องปรับตัวเข้าหากัน โดยเฉพาะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรามองข้ามอาจจะกลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ ถึงแม้ตอนนี้เราสองคนจะยังไม่แต่งงานกันแต่เราก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอคะ พี่ชลอย่ารีบไปเลยนะคะ และก็อย่ากังวลด้วย ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนก
วันนี้จันทร์เจ้าและชลธีมาร่วมแสดงความยินดีกับฟองคลื่น รุ่นน้องสาวคนนี้กำลังเข้าพิธีแต่งงานกับภาสกรเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาบรรยากาศงานแต่งงานยามเย็นที่จัดริมทะเลเป็นอะไรที่ลงตัวมาก จันทร์เจ้าชื่นชอบซุ้มดอกไม้ทางเข้างานที่สุด เพราะว่านอกจากจะหอมแล้วยังสวยด้วยแต่ที่สวยที่สุดเห็นที่จะเป็นเจ้าของอย่างเจ้าสาวป้ายแดงที่ชื่อว่า ฟองคลื่นคนนี้นี่แหละจันทร์เจ้ารู้สึกยินดีกับรุ่นน้องสาวมาก เห็นคนที่ตัวเองรักและเอ็นดูมีความสุขกับคู่ชีวิตและสิ่งที่เจ้าตัวเลือก ตัวเธอเองก็ดีใจและมีความสุขไปด้วยส่วนเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็เอ่ยทักทายกันตามปกติก่อนจะแยกไปอยู่ที่คู่ใครคู่มันจันทร์เจ้าไม่ได้ร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวจนจบงาน ไม่ได้อยู่สนุกในช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี เพราะเพียงแค่เจ้าสาวโยนช่อดอกไม้มาแล้วปลาดาวรับได้ เธอก็ถูกชลธีพาตัวกลับมาที่เกาะทันทีชายหนุ่มพูดกับเธอว่า วันนี้เธอสวยแปลกตาจึงไม่อยากให้ผู้ชายที่มาร่วมงานมองเธอเยอะเกินไป เขาหึงหวงเกินกว่าจะเห็นเธอยิ้มให้คนอื่นได้ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เธอรู้จักก็ตามตอนแรกก็ตั้งใจจะต่อว่าเขาอยู่หรอกที่เขาพาเธอกลับออกจากงานก่อนงานเลิก ครั้นพอได้ยินคำพูดของ
“มานั่งสิครับ จันทร์บ่นว่าอยากกินซูชิไม่ใช่เหรอ นี่พี่สั่งให้คนงานซื้อมาให้เลยนะ เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง”‘นั่นไง ว่าแล้วเชียว นี่คงจะสั่งตั้งแต่เช้าก่อนที่คนงานจะเอารังนกที่เพิ่งเก็บใหม่ออกไปส่งสินะ บวกลบเวลากลับมาถึงเกาะก็น่าจะเวลาประมาณนี้พอดี ซื้อหวยทำไมไม่ถูกนะ’ เธอพูดคนเดียวในใจ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เงียบ ๆชลธีจัดการส่งจานซูชิและสลัดต่าง ๆ ให้เธอ ส่วนเขานั่งทานข้าวสวยกับต้มยำแทน ระหว่างทานชลธีก็บริการจันทร์เจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง“ไวน์ไหมครับ”“จะมอม?”“เปล่าครับเปล่า ไวน์นี้มีกลิ่นหอม จันทร์น่าจะดื่มได้พี่เลยลองชวนน่ะครับ ถ้าจันทร์ไม่สนใจก็ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มพูดกลบเกลื่อนความเสียดายเอาไว้เขาอุตส่าห์วางแผนนี้ไว้ในใจ ตั้งใจให้เธอดื่มไวน์ เธอจะได้เมา หลังจากนั้นจะได้คุยกันง่ายขึ้น ไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่ยอมดื่ม“คิดนานไหมแผนนี้”“แผน?”“อย่ามาทำหน้าซื่อตาใส มันไม่เนียน แล้วก็เอาไปไกล ๆ คนไม่ถูกโฉลกกับไวน์ยังจะเอาเข้ามาใกล้อีก” ได้ยินหญิงสาวพูดด้วยความไม่พอใจ ชลธีก็รีบหยิบแก้วไวน์ออกห่างจากหญิงสาวทันที“จันทร์ครับ ดีกันเถอะนะ อย่างอนเลยนะครับ พี่ไม่รู้จะง้อจันทร์ยังไงแล้ว” ชายหน
วันเวลาขับเคลื่อน หมุนเวียนผ่านไป ตอนนี้ก็ผ่านมาได้หลายเดือนแล้ว นับตั้งแต่ที่จันทร์เจ้าและชลธีกลับมาจากกรุงเทพฯ ตลอดเวลาที่จันทร์เจ้าอยู่กับชลธีที่เกาะรังนกแห่งนี้ทั้งคู่ก็ได้เรียนรู้นิสัยกันมากขึ้น ได้ปรับตัวเข้าหากัน ความรู้สึกที่มีให้กันก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันทว่าสุขมักคู่กับทุกข์ คนเราจะมีสุขเพียงอย่างเดียวหรือทุกข์เพียงอย่างเดียวไม่ได้มันต้องคละเคล้ากันไปเพื่อเป็นสีสันของชีวิต จันทร์เจ้าและชลธีก็เช่นกัน พวกเขาทะเลาะกันบ้างในบางครั้ง งอนบ้างในบางคราตามปกติของคู่รักทั่วไปทว่าวันนี้ดูจะต่างออกไป เพราะเหมือนว่าจันทร์เจ้าจะงอนชลธีหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ส่วนเรื่องอะไรนั้นเป็นเพราะว่า ชลธีแอบดูหนังโป๊! แถมยังเป็นหนังโป๊ญี่ปุ่นซะด้วย เรื่องนี้ทำเอาจันทร์เจ้าที่น้อยนักจะงอนชายหนุ่มสักครั้งถึงกับงอนไปเลยสองวันเต็ม และวันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วที่เธอไม่ยอมคุยกับเขาแต่จะพูดว่าเธองอนเขาก็ไม่ถูกนัก จันทร์เจ้าไม่ได้งอนเสียทีเดียว เธอแค่ไม่พอใจและหึงหวงเขามากกว่า หึงที่เขาดูผู้หญิงคนอื่น หึงที่เขาไปนั่งดูหนังรักผู้ใหญ่ที่ผู้หญิงสวย ๆ ลีลาเร่าร้อนนำแสดงเธอหึง หึงมากด้วย!“จันทร์ครับ ไม่คุยก
“สวยจังเลยนะคะ” จันทร์เจ้าพูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงคลื่นทะเลกระทบฝั่งสุดสายตาของหญิงสาวกำลังมองดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบน้ำ ตั้งแต่อยู่ที่เกาะรังนกนี้ หญิงสาวจะชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกมาก ทว่าถึงจะชอบเธอก็ไม่ได้มีโอกาสดูบ่อยนักนั่นก็เพราะว่าหญิงสาวมักจะถูกชายหนุ่มรบกวนทุกที บางครั้งก็ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินจนมดค่ำ บางครั้งก็รบกวนเธอยามเช้า ทำให้หญิงสาวพลาดภาพสวย ๆ นี้ทุกนี้ดังนั้นทุกครั้งที่เธอเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกดินเธอจะชมว่าสวยอยู่เสมอ“ใช่สวย สวยมาก” คนพูดไม่ได้มองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นแต่อย่างใด สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปยังใบหน้าใสไร้เครื่องสำอางเนียนนุ่มนั่นต่างหากวันนี้เป็นวันสบาย ๆ ของเขาและเธอ งานในเกาะก็มีคนคอยดูแลอยู่แล้ว พวกเขามาที่เกาะรังนกแห่งนี้ก็เหมือนกับปลีกวิเวกมาพักผ่อนเสียมากกว่า อ้อ ถึงจะปลีกวิเวกแต่ก็ยังสามารถติดต่อได้เช่นเคยจันทร์เจ้าหันหน้ากลับมามองชลธีก่อนจะเห็นว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวยิ้มให้บาง ๆ ในใจของเธอกำลังรู้สึกมีความสุขอย่างมาก นอกจากแม่ที่จากไปและเพื่อน ๆ ในกลุ่มยังจะมีใครดีกับเธอเท่าเขาอีก“ขอบคุณนะคะ” เธอพูดออกมาโด
3 วันต่อมา“สรุปพี่ชลจะบอกจันทร์ได้หรือยังคะ ว่าเราจะไปไหนกัน” จันทร์เจ้าหันไปถามชลธีที่กำลังขับรถ ซึ่งเธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าเขาจะพาเธอไม่ไหนตั้งแต่เช้าตื่นขึ้นมาชลธีก็ให้เธออาบน้ำแต่งตัวจากนั้นก็ขับรถออกมาโดยที่ไม่บอกอะไรเธอเลย พอถามก็ไม่ตอบ“ถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้ครับ” ชลธีตอบก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อหนึ่งชั่วโมงต่อมาจันทร์เจ้าก็เห็นรั้วบ้านหลังใหญ่รั้วหนึ่ง ชลธีขับรถไปยังรั้วหน้าบ้านนั้นช้า ๆ รอไม่นานก็มีคนเปิดประตูรถให้แล้วเขาก็ขับเข้าไปภายในพร้อมทั้งขับไปจอดยังโรงจอดรถอย่างคุ้นเคย“สรุปที่นี่คือ?”“บ้านพี่เองครับ”“หา!!!”“ไม่หาครับ ไปครับลงพ่อแม่พี่รอแล้ว”“เดี๋ยวสิพี่ชล หมายความว่ายังไงที่บอกพ่อแม่พี่รอ นี่อย่าบอกนะว่า”“ใช่แล้วครับ พี่พาจันทร์เจ้ามาเปิดตัวกับที่บ้าน ไปครับ ลงรถ” ไม่พูดเปล่าชลธีเปิดประตูรถลงไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจันทร์เจ้าที่ยังไม่หายตกจเธอยังนั่งนิ่งอยู่ เดือดร้อนชายหนุ่มต้องเปิดประตูปลดเข็มขัดนิรภัยและประคองเธอลงจากรถ“ไม่ไปไม่ได้เหรอคะ” จันทร์เจ้าพูดพร้อมยึดประตูรถไว้แน่น“ไม่ได้ครับ อย่าให้พ่อแม่พี่รอนาน ไปเร็ว”“แต่ว่า”“ไม่มีแต่แล้วครับ จันทร์อย่าลืมสิว่าเราไม่ได
โดยปกติหากไม่มีเรื่องอะไรในใจปลาดาวจะต้องสดใสซึ่งผิดกับตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ตอนเธอถามและอีกฝ่ายตอบกลับว่าสบายดี จันทร์เจ้าจึงไม่ได้เชื่อมากนัก ด้วยความที่สนิทกันจึงดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก ทั้งยังโกหกไม่เนียนจันทร์เจ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนและมีอะไรเกิดขึ้นที่เกาะหรือเปล่า พอจี้ถามมากเข้า ปลาดาวก็เอาแต่บอกว่าขอเวลา หากสบายใจเมื่อไหร่จะเล่าให้เธอฟังเป็นคนแรก จันทร์เจ้าถึงได้ยอมหยุดไม่เอ่ยปากถามให้เพื่อนต้องอึดอัดใจอีก“อยากกอดแกจังเลยไอ้จันทร์ ขอฉันกอดแกได้มั้ย”จันทร์เจ้าไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับส่งยิ้มให้เพื่อนพร้อมทั้งกางแขนออกกว้าง เพียงเท่านั้นปลาดาวก็พุ่งเข้ากอดเธอทันที จันทร์เจ้ากอดปลาดาวกลับด้วยความเป็นห่วง มือของเธอลูบหลังเพื่อนไปมาอย่างปลอบโยน แม้เธอจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร แต่ก็พอคาดเดาได้ลาง ๆ ว่าคงมีเรื่องไม่สบายใจมาก ๆ แน่‘เฮ้อ ช่างเถอะ มันบอกแล้วว่าถ้าดีขึ้นจะเล่าให้ฟังเอง แกก็ไม่ต้องคิดมากหรอกจันทร์ เรื่องบางเรื่องก็ต้องให้เจ้าตัวคิดและตัดสินใจเอง เราจะเข้าไปยุ่งมากไม่ได้หรอก’ พูดในใจเสร็จจันทร์เจ้าก็ดันตัวเพื่อนออกพร้อมยิ้มกว้างให้ปลาดาว“ยิ้มทำไม”“เรามาถ่า
2 เดือนต่อมา“เตรียมเอกสารสำคัญเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ”“เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่ชลจะเอาอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ”“ไม่แล้วครับ เราไปกันเลยดีกว่า เดี๋ยวตกเครื่อง”จบคำพูดของชลธีจันทร์เจ้าก็พยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปนั่งในรถ ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้านั้นทั้งสองไม่ได้เก็บตั้งแต่แรกแล้ว เพราะไม่ตั้งใจเอาไปตั้งแต่แรกหลังจากจัดเตรียมเอกสารและตรวจสอบเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็ขับรถออกจากบ้านพักทันทีเพื่อไปที่สนามบิน เพื่อที่จะได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ กลับเมืองแห่งแสงศรีนั่นเองในที่สุดชลธีและจันทร์เจ้าก็เดินทางมาถึงสนามบินได้ตรงเวลา ทั้งสองขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินในที่สุด และใช้ช่วงเวลาระหว่างเครื่องบินออกเดินทางหลับพักผ่อนเอาแรง กระทั่งเครื่องบินมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งสองคนจึงได้ลงจงจากเครื่องบินแล้วนั่งแท็กซี่กลับคอนโดของจันทร์เจ้าเดิมทีชลธีต้องกลับบ้านแต่ด้วยความที่ตั้งแต่จันทร์เจ้ากับเขาอยู่ด้วยกันตลอดทำให้ชายหนุ่มติดเธอมาก สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจกลับไปที่คอนโดของหญิงสาวนั่นเอง อ้อ ก่อนมาคอนโดจันทร์เจ้า ชลธีได้ให้แท็กซี่ชับไปที่คอนโดเขาก่อนเพื่อไปเอาเสื้อผ้า เสร็จแล้วทั้งสองก็เดินทางด้วยรถยนต์คัน
รุ่งเช้ามาเยือน จันทร์เจ้าตื่นและลุกออกมาจากที่นอนด้วยความกระปรี้กระเป่า เธอเข้าไปอาบน้ำด้วยความสดชื่น ก่อนจะลงมาทำอาหารอย่างง่ายเช่นไข่ดาวทอดกับขนมปังปิ้งเป็นมื้อเช้า“ไปกับพี่ไหมครับ พี่จะเข้าโรงแรม” ชายหนุ่มเอ่ยถามหลังทานอาหารเช้าเสร็จ“ไปค่ะ จันทร์จะไปนอนอาบแดด” ชายหนุ่มได้ยินก็ขมวดคิ้วลงส่งสายตาไม่พอใจไปหาหญิงสาว“อะไรคะ”“ห้ามสั้น”“จันทร์ไม่ใส่สั้นหรอกน่า ทำอย่างกับว่าใส่เสื้อผ้าโชว์ได้อย่างนั้นแหละ รอยที่พี่ทำไว้เมื่อวันก่อนยังเด่นชัดอยู่ขนาดนี้ ใครเขาจะกล้าใส่กัน”“จะไปรู้เหรอ พี่ก็บอกไว้ก่อน เคยได้ยินว่าสามารถเอาเครื่องสำอางกลบรอยได้นี่”“โอ๊ย! จันทร์ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ เปลือง! รอยสองรอยพอว่า นี่เป็นสิบรอยใครมันจะไปกลบไหว ซื้อมาตั้งแพงจะมาหมดเพราะรอยดูดแบบนี้ไม่ได้ มันเปลืองเข้าใจไหมคะ”“เอ่อ... ครับ” ชลธีพูดเพียงเท่านี้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาอีกเช่นกัน เพราะอึ้งตั้งแต่ที่ได้ยินเธอพูดว่าเปลืองแล้ว เพิ่งจะได้รู้ว่าเธอค่อนข้างงกก็ครั้งนี้แหละจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก ชลธีไปหยิบเอกสารในห้องทำงาน จันทร์เจ้าก็เก็บจานไปแล้ว พร้อมแล้วทั้งสองถึงได้ขับรถออกมาจากบ