“อีกสองวันข้าจะมารับ” กัวจื่อหรานพอใจกับคำตอบที่ได้รับนัก หลินอวี้เจินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว “ท่านจะมารับ?” “แน่นอนว่าต้องเป็นที่มารับแม่นางหลิน” เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวแต่ยังคงรักษาระยะห่างไม่ให้เห็นความใกล้ชิดมากเกินไป “คงไม่มีใครดูแลความปลอดภัยของน้องชายข้าได้ดีเท่าข้าอีกแล้ว” หลินอวี้เจินเม้มปากจนเรียบตึงนางไม่สำคัญพอให้เขาใส่ใจซินะหญิงสาวรอส่งกัวจื่อหรานเดินไปพ้นสายตาของนางแล้ว นางจึงเบ้ปากออกมาอย่างหงุดหงิด หลินเหิงอี้ไม่ค่อยเห็นหลานสาวเป็นเช่นนี้นักจึงเอ่ยถามไปตามตรง “เจ้ามีเรื่องอะไรกับใต้เท้ากัวหรือไม่” “ท่านลุงใหญ่!” นางย่นจมูกใส่ “ข้าแค่สตรีตัวเล็กๆ จะไปมีเรื่องกับคนใหญ่โตเช่นนั้นได้เล่า” หลินเหิงอี้สูดลมหายใจลึกแล้วถอนหายใจแรงๆ อาจเป็นความผิดของเขาและบิดาของนางเองที่ตามใจนางจนเสียนิสัยแล้วก็เป็นได้ แต่เห็นนางร่าเริงเช่นนี้ย่อมดีกว่าเมื่อครั้งที่นางเดินทางมาถึงใหม่ๆ ที่เอาแต่หน้าตาหมองเศร้า เอาเถิด อีกไม่นานนางก็จะเดินทางกลับจู้หยางแล้ว คงไม่มีเรื่องอันใดให้ปวดหัวอี
คราวนั้นพวกเขารู้ว่าต้องหลบหนี แต่เพราะ‘หลี่ปี้’ หัวหน้าโจรป่าออกความคิดให้เขาสวมรอยเป็นจงเหลียงโส่ว เพื่อประวิงเวลาให้พวกผองได้หลบหนี เขายอมทำด้วยคราวแรกเพราะเป็นคำสั่ง แต่เมื่อไม่มีใครเห็นผิดสังเกต ในเวลานั้นที่เขาสืบรู้ จงเหลียวโส่วไม่มีผู้ใดชื่นชอบนัก บ้านเดิมของจงเหลียงโส่ว เองก็แทบไม่สนใจไยดี เรียกได้ว่าการส่งจงเหลียงโส่วมาเป็นทหารนั้นคือการถีบหัวเขาส่งออกไปจากตระกูล เขาทำลายโฉมหน้าตัวเองจนเกิดรอยแผลขนาดใหญ่ เพื่อมิให้คนในสกุลเดิมจำได้ ใช้ชีวิตเป็นจงเหลียวโส่วมาสองปี จนกระทั้งหลี่ปี้กลับมาอีกครั้งและให้เขาช่วยเหลือ โดยข่มขู่หากเขามิยอมทำตามจะเปิดโปงเรื่องที่เขาสวมรอยเป็นจงเหลียงโส่ว เขายอมช่วยเหลือแม้รู้ว่าผิด อาจมิใช่เพราะเกรงจะถูกเปิดเผย แต่เพราะสงสารเด็กน้อยผู้นั้นมากกว่า หลังจากนั้นเขารับรู้มาว่าเด็กชายที่เขาลักพาตัวกลายเป็นเด็กผิดปกติ คล้ายว่าเขาจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และหยุดตัวเองในวัยเจ็ดขวบ แม้ยามนี้เขาอายุสิบสี่แล้วก็ตาม ทว่า...ถ้าเขาไม่ทำ เฉียนอิ๋นอิ๋นคงให้ผู้อื่นจัดการ และเห็นที่ว่าเพื่อได้ในสิ่งที่นางต้องการ ต่อให้ต้องกำจัดผู
“เสื้อผ้าเลอะเทอะก็ซักได้” เขาออกแรงช่วยดึงลาขึ้นจากหล่มโคลน “ถนนออกกว้างเหตุใดจึงพามันมาเล่นโคลนเช่นนี้”“เป็นข้าที่สะเพร่า ทำให้ลาเดินตกลงไปในหล่มโคลนได้” นางเอ่ยด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ แต่สุดท้ายก็ได้ชายแปลกหน้าช่วยลากลาขึ้นมาได้ นางจึงรีบค้อมกายขอบคุณเขาแต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นผ้าที่คลุมศีรษะอยู่เลื่อนลงมาเปิดเผยใบหน้าของตนเอง หากไม่นับดวงตาข้างหนึ่งที่เป็นฝ้าขาวแล้ว ทุกสิ่งบนใบหน้านี้ยังเหมือนเดิมที่หลินเหิงอี้เคยพบเมื่อเจ็ดปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน“เจ้า!”.... รถม้ามีตราสกุลกัวรออยู่หน้าประตูบ้านสกุลหลิน เพียงแค่นี้ก็ดึงสายตากระหายใคร่รู้ของผู้คนได้มากมายนัก และเมื่อร่างของหลินอวี้เจินที่แต่งกายเรียบง่ายก้าวออกมาพร้อมหญิงรับใช้ติดตามด้วย คนด้านในรถม้าโผล่หน้ามาด้วยรอยยิ้มกว้างตะกายลงมาต้อนรับด้วยตนเอง “พี่สาว! ข้าตื่นเต้นแทบนอนไม่หลับเลย” “ข้าก็เหมือนกัน” หลินอวี้เจินทำเป็นไม่สนใจเสียงซุบซิบของชาวบ้านที่ลอบมองมายังนาง มือเรียวรั้งชายกระโปรงยกขึ้นเพื่อเหยียบตั่งเตี้ยก้าวขึ้นรถม้า ทว่ามีมือใหญ่คู่หนึ่งเข้ามาประคองช่วยนางขึ้นไปอย่างง่าย
“พี่สาว! ปลา! ได้ปลาแล้ว!” กัวจื่อหรานจับปลาออกจากปลายหอกแล้วโยนขึ้นฝั่งใกล้กับที่หญิงสาวยืนอยู่ นางกลับตกใจที่ปลาตัวใหญ่ลอยมาตรงหน้าโดยไม่มีการบอกกล่าว เจ้าปลาชะตาอาภัพดิ้นรนอยู่บนพื้นหญ้า นางเกรงว่าผลงานที่กัวอี้เซียวภูมิใจจะดิ้นหนีตกน้ำไปจึงรีบตะครุบไว้ ผิวปลาที่เป็นเมือกลื่นทำให้นางจับปลาตัวนั้นไม่อยู่กลับลื่นไหลหลุดลงน้ำไปต่อหน้าต่อตา “หยุดนะ!เจ้าปลา!” หลินอวี้เจินร้องอย่างลืมตัว เสียงร้องของหญิงสาวเรียกสายตาของสองพี่น้องสกุลกัวให้หันมามอง กัวจื่อหรานเห็นหญิงสาวแทบกระโจนลงมาในธารน้ำ ด้วยความรีบร้อนทำให้นางเหยียบก้อนหินใต้น้ำเสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้นน้ำ “พี่สาว!” กัวอี้เซียวร้องอย่างตกใจ แต่กัวจื่อหรานผลักหอกจับปลาให้น้องชายถือแล้วรีบวิ่งไปประคองหญิงสาวที่นั่งแช่อยู่ในน้ำ “ลุกไหวหรือไม่” เขาถามน้ำเสียงเปี่ยมล้นด้วยความห่วงใย แต่เมื่อเห็นสีหน้ายับยู่ของนางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “เพราะท่าน!” นางขึงตาใส่เขาแล้วพยายามยันกายลุกขึ้น เจ็บกายไม่เท่าอับอายที่ตัวเองตกลงในน้ำเช่นนี้“เหตุใดเป็นข้าเล่า” ดวงตาของเขาไล่สำรวจว่านางบาดเจ็บที่ใดบ้าง แต่เสื้อผ้านางที่เปียกน้ำรัดร
“คุณหนูไม่ใช่คนตันหยาง คงไม่ทราบว่าแม่นางเฉียนอิ๋นอิ๋นนั้นเป็นน้องสาวมารดาของคุณชายกัวอี้เซียว นางถึงวัยควรออกเรือนแล้วแต่ยังรั้งอยู่ในจวนใต้เท้ากัวเพราะหวังใจจะได้นั่งตำแหน่งฮูหยินใต้เท้ากัวจื่อหราน” หวังหมิ่นส่งยิ้มให้หญิงสาว “คนในตันหยางรู้ดีว่าใต้เท้ากัวมิได้สนใจหญิงสาวนางใด แม้ถึงวัยต้องแต่งภรรยา แต่ใต้เท้ากัวยังคงทุ่มเทมุ่งมั่นทำงานเพื่อชาวตันหยาง แต่วันนี้ใต้เท้ากัวมารับคุณหนูด้วยตนเอง ซ้ำยังพามาเที่ยวชมทิวทัศน์อีกด้วย รับรองว่ากลับไปนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่ที่สุดในตันหยางแน่นอนเจ้าค่ะ”หลินอวี้เจินเบ้ปากแล้วเดินไปนั่งบนตั่งที่ปูพรมขนสัตว์อ่อนนุ่ม หากไม่ใช่เพราะ ‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’ หายไป กัวจื่อหรานคงแต่งภรรยาไปนานแล้ว ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะคิดว่าไข่มุกน้ำตาจันทรายังอยู่กับนางต่างหากหญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า นางไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า หากไม่มีเรื่องไข่มุกน้ำตาจันทราแล้ว เขาจะให้ความสนใจนางหรือ? ระลอกความหมองหม่นกระทบหัวใจให้เจ็บแปลบ นางมีสิ่งใดให้คนอย่างกัวจื่อหรานปรายตามอง ใบหน้านางก็มิได้งดงามล่มเมือง ซ้ำยังมีนิสัยไม่สำรวจกิริยามารยาทนัก เรื่องในครัวยิ่งแล้วใหญ่ นางทำกั
หญิงสาวอยากหัวเราะให้ความคิดอันฮึกเหิมของตนเอง ก่อนที่จะเดินกลับไปจุดเดิม นางต้องออกจากที่นี่ให้ได้เสียก่อนในห้องมืดมิดมากและอากาศค่อนข้างหนาวเย็นจนนางคาดเดาไว้นี่เป็นเวลากลางคืน หวังว่านางคงไม่หมดสตินานไปนักนะ เกรงว่าผู้อื่นเป็นห่วงหรือไม่ห่วงจิตใจเบิกบานเมื่อครู่หม่นลงไปนางพยายามสลัดความคิดที่ชวนให้กลัดกลุ้มแล้วลองขยับกายเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง โชคยังเข้าข้างเพราะสองมือสองเท้าไม่ถูกมัดไว้ แต่นางขยับตัวนั่งได้เพียงครู่เดียว บานประตูก็ถูกเปิดออก แสงสลัวจากตะเกียงดวงน้อยทำให้เสี้ยวหน้าของบุรุษที่ปกปิดด้วยผ้าสีดำ ทว่ารอยแผลเป็นที่รอบกรอบใบหน้านั้นเด่นชัดเกินจะปกปิดได้มิดชิด“นายกองจง?”เสียงแหบแห้งของหญิงสาวทำให้บุรุษในชุดดำสะดุ้งตามด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ วางตะเกียงในมือลงแล้วจึงดึงผ้าที่ปิดใบหน้าออก“ขออภัยแม่นางหลินเป็นอย่างยิ่ง” จงเหลียวโส่วหรือปี้จื่อเอ่ยราวกับยอมจำนนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเขาเองมิได้คิดทำร้ายกับนาง “ข้าทำด้วยความจำใจ”“ท่าน...” นางรู้สึกคอแห้งเป็นผุยผง จงเหลียวโส่วลุกพรวดออกไปด้านนอกครู่เดียวก็กลับมาพร้อมถุงหนังบรรจุน้ำ แม้เรี่ยวแรงของหญ
“ข้าเคยได้ยินว่า พบกัวอี้เซียวราวกับขอทานน้อยเดินโซซัดโซเซกลับมาด้วยตนเอง”“เป็นเช่นนั้นจริง เดิมทีพี่ใหญ่ข้าหมายใจจะรับเขาไปเลี้ยงดูด้วยตนเอง แต่กัวอี้เซียวไม่ยอมรับเขาเป็นพ่อ ย้ำยังกรีดร้องว่าบิดามีผู้เดียว พี่ใหญ่ปวดใจยิ่งกว่าถูกกรีดด้วยคมมีด ช่วงนั้นชลมุนมาก กัวอี้เซียวหลุดรอดสายตาไป พี่ใหญ่ให้ข้าออกติดตามหาจึงละทิ้งให้เขาเผชิญความตายเพียงลำพัง ตามจริงข้าเองอยากคว้าตัวกัวอี้เซียวไว้ แต่กลับทำไม่ได้ ได้แต่คอยติดตามกัวอี้เซียวอยู่ห่าง เผื่อว่าบางทีเด็กน้อยจะคิดได้เองว่าควรใช้ชีวิตเช่นไร”“ท่านเจตนาให้เขารับรู้รสชาติชีวิตเร่ร่อนเพื่อสุดท้ายก็กลับคือสู่สกุลกัวทั้งที่รู้ว่าตนเองมิใช่สายเลือดสกุลกัว แต่ถ้าเขาอยู่ในฐานะคุณชายกัวจะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า...”“แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาจะเป็นเช่นนี้”น้ำเสียงจนใจของเขาทำให้นางสัมผัสได้ถึงความปวดร้าว แม้เขาจะใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง การสวมรอยเป็นผู้อื่นย่อมไม่ใช่เรื่องยอมรับได้ แต่ที่ผ่านมาเท่าที่ฟังจากท่านลุงใหญ่ ปี่จื้อหรือจงเหลียงโสวเป็นคนดีคนหนึ่ง ที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ย่อมไม่มีความสุขมากนัก“แล้วเหตุใดท่านจึงลักพาตัวข้ามาเช่นนี้” นางไม่เกี่ยวข
“ใต้...” ยังไม่ทันเอ่ยจบประโยค ปี่จื้อที่ลดการป้องกันตัวเองลงก็ถูกฝ่ามืออีกฝ่ายกระแทกใส่หน้าอกจนร่างกระเด็นกระดอนไปกระแทกกับผนังหินผาด้านหลัง กระอักโลหิตออกมาจนเสื้อเปื้อนเปรอะ “บัดซบ! ไฉนเป็นเจ้า! นายกองจง!” เสียงตวาดดังลั่นราวเสียงฟ้าผ่าทำให้คนที่อยู่หลังบ้านประตูสะดุ้งสุดตัวเมื่อตั้งสติได้ หลินอวี้เจินก็รู้ในทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือกัวจื่อหราน! แวบแรกคือความตื่นเต้นยินดี แต่ครู่ต่อมานางคิดได้ว่าเสียงกระบี่เมื่อครู่เป็นจงเหลียงโส่วปะทะกับกัวจื่อหรานเป็นแน่ นางเกรงว่าทั้งสองจะได้รับบาดเจ็บเพราะเข้าใจผิด จึงรวบรวมเรี่ยวแรงเดินไปที่ผลักบานประตูออกทันที “กัวจื่อหราน!” น้ำเสียงของนางแหบแห้งอยู่บ้าง ทว่ากลับรั้งกระบี่ที่หมายจะฟาดฟันคนที่นั่งนิ่งไร้การตอบโต้หลินอวี้เจินเห็นร่างสูงถือกระบี่ชะงักค้างในอากาศ นางรีบกระโจนเข้าไปกางแขนขวางเอาไว้ก่อน “หยุดนะ!” “เจ้า!”กัวจื่อหรานลดกระบี่ลง เขาควรดีใจที่เห็นนางปลอดภัย แต่กลับเกิดระลอกความไม่พอใจที่เห็นนางกางแขนออกปกป้องผู้อื่นเช่นนี้“ท่านจะทำร้ายคนผู้นี้มิได้” พูดจ
ค่ำคืนก่อนที่กัวจื่อหรานจะนำไข่มุกน้ำตาจันทรามาถอนพิษร้ายให้หลินอวี้เจิน เขาได้พูดสู่ขอหลินอวี้เจินเป็นภรรยาและสัญญาว่าจะมีนางเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของเขา แน่นอนว่าบุรุษด้วยกันย่อมมองออกว่า กัวจื่อหรานจริงใจกับหลินอวี้เจินมากเพียงใด ชีวิตของนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทั้งสองยินยอมให้กัวจื่อหรานแต่งงานกับหลินอวี้เจิน กัวจื่อหรานจึงสวมชุดสีแดงเข้าไปพร้อมไข่มุกน้ำตาจันทรา แต่หลังจากที่กัวจื่อหรานปิดบานประตูลง ไม่นาน เสียงที่รอดผ่านบานประตูก็ทำเอาคนที่ยืนเฝ้าด้านนอกทำสีหน้าไม่ถูก เป็นจางหยวนที่ขับไล่บ่าวรับใช้ออกไปจนหมด และเชิญให้บุรุษสกุลหลินพักผ่อนในห้องรับรองก่อน ได้ยินเสียงแว่วครวญหวานจากในห้อง ผู้เป็นพ่อก็แอบร้อนใจ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อกำจัดพิษร้ายแรง แต่ก็เกรงว่าบุตรสาวที่รักปานแก้วตาดวงใจจะบอบช้ำไปเสียก่อน เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อตาอย่างหลินยี่ห้านมีสีหน้ามึนตึงทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ก็คืองานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองตันหยาง เล่าลือกันว่าเพราะนางสามารถรักษาอาการป่วยของกัวอี้เซียวได้ แม้การแ
เมื่อได้กอดเขาแล้ว นางกลับรู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองช่วงเวลาอันแสนอัศจรรย์ นุ่มนวลและเร่าร้อนราวกับจะหลอมละลายคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวนางรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับเขาเขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับนาง “เจ็บหรือไม่” เขากระซิบถามให้ช่องทางคับแน่นและฉ่ำร้อนของนางปรับตัวรับกับแก่นกายที่แข็งแกร่งของเขา“ไม่...ไม่เจ็บแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีเขินอาย ร่างกายเหมือนหิวกระหายในสิ่งที่นางไม่รู้จัก“ท่าน...ช่วย...ได้หรือไม่ ...”แต่เขาชื่นชอบความซื่อตรงของนาง นางไม่เคยปิดบังความรู้สึกตนเอง ตั้งแต่พบกันครั้งแรก นางเป็นอย่างนี้เสมอมา และเมื่ออยู่ร่วมเตียง นางไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ซึ่งปลุกเร้าความปรารถนาให้แผดเผาเขาจนต้องทำตามความต้องการของนางและเป็นความต้องการเดียวของเขาเช่นนั้นนางอ้อนวอนอย่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ร้องขอนั้นคือสิ่งใด นางต้องการเขา ต้องการมากกว่านี้ นางบดเบียดเรือนร่างเข้าหา เชื้อเชิญให้เขาดื่มกินนางอีกครั้ง เขาขยับสะโพกช้าๆ ทว่าลึกล้ำ ดอกไม้งามเย้ายวนจนเขาไม่อาจฝืนกลั้น ความเสียวซ่านระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใช้สองมือจับเอวคอดกิ่วไว้มั่นแล้วเริ่มแรงควบทะยาน ความซ่านเสียวทำให้หญิงสาวไปแตะข
นางงุนงง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมให้สมองของนางคิดเรื่องอื่นใด เขาขมเม้มริมฝีปากของนางอีกครั้ง เรียกร้องและเว้าวอนจนนางครางในลำคอ คราแรกนางผลักไสเขาแต่เพราะร่างกายของเขาใหญ่โตเกินไป มือนางนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง หรือเพราะแผ่นอกกำยำนั้นเย้ายวนนาง ฝ่ามือของนางอ้อยอิ่งอยู่ที่สาบเสื้อของเขา ดวงตาของเขาที่จ้องมองนางนั้นแสนร้อนแรงจนนางต้องหลับตาลง และโดยไม่รู้ตัวนิ้วมือของเขาบีบกรามของนางเบาๆ เพื่อให้นางเปิดปากแล้ว ‘บางสิ่ง’ ก็เข้ามาในโพลงปากของนาง นางลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่เขาไม่ยอมให้นางดื้อดึง ปลายลิ้นอุกอาจดุนดัน ‘บางสิ่ง’ ให้อยู่บนลิ้นของนาง‘บางสิ่ง’ นั้นเป็นทรงกลม ให้ความรู้สึกอุ่นและเรียบลื่นหรือนี่จะเป็น‘ไข่มุกน้ำตาจันทรา’เมื่อรู้ว่านางกำลัง ‘อม’ ไข่มุกล้ำค่าของตระกูลกัวอยู่ นางขยับตัวขัดขืน นางไม่รู้ว่าเขาได้ ‘สิ่งนี้’ กลับคืนมาได้อย่างไร แต่เขาไม่ควรนำมาใช้กับนาง นางมิใช่สะใภ้เอกสกุลกัว นางไม่ได้เป็นภรรยาของเขาภรรยา…แววตาของนางที่จ้องมองเขานั้นทึมทือและสับสน ฝ่ามือของเขาเลื่อนผ่านเรือนร่างอรชรของหญิงสาว เขาไม่เคยเห็นนางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสเลยสักครั้งครา นางเหมาะกับสีแดงเช่นนี้นัก
“พี่ใหญ่ ท่านใช้สิ่งนี้รักษาแม่นางหลินเถิด ที่นางตั้งเงื่อนไขให้พี่ใหญ่แต่งนางเป็นภรรยาก็เพื่อนำไข่มุกจากข้าไปมอบให้ท่าน บีบบังคับทั้งข้าและพี่ใหญ่ สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้นางเป็นภรรยาชีวิตต้องพบกับคามหายนะเป็นแน่” “เจ้า! เจ้าเด็กปัญญาอ่อน!” “พูดได้ดี พูดได้ดี” ปี่จื้อหัวเราะออกมา “สตรีร้ายกาจเช่นนี้ใครได้ไปก็พบแต่หายนะ!” “ทำเป็นปากดี เจ้าคิดว่าตนเองจะรอดรึ!” เฉียนอิ๋นอิ๋นกรีดร้องเมื่อจางหยวนสั่งคนมาลากนางออกไป “ข้าไม่มีอะไรให้เป็นกังวลอีกแล้ว เชิญใต้เท้ากัวลงอาญาข้าได้” กัวจื่อหรานที่ตกตะลึงที่ได้ไข่มุกน้ำจันทรากลับคืนมาสู่มือเพิ่งได้สติ เขามองนายทหารหนุ่มแล้วแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ลงอาญาใดรึ นายกองจง” กัวจื่อหรานกำไข่มุกน้ำตาจันทราแน่นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกไป ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของปี่จื้อ หลันเอ๋อร์บีบไหล่ของกัวอี้เซียวแล้วหันไปส่งยิ้มเล็กน้อยให้ปี่จื่อ ประคองกัวอี้เซียวเดินออกมา ด้านนอกมีหลินเหิงอี้รอด้วยใจกระวนกระวาย เมื่อเห็นนางออกมาอย่างปลอดภัยก็ยิ้มโล่งอก นับจากนี
“อี้เซียว อย่าไปฟังนางนะ” เฉียนอิ๋นอิ๋นได้สติรีบปรับน้ำเสียงพูดจาหว่านล้อมเด็กหนุ่มตรงหน้า “เจ้ามีข้าเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีผู้ใดรักเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว” กัวอี้เซียวกลอกตาไปมา คนเหล่านี้แย่งกันพูดจนเขาฟังไม่รู้เรื่องแล้วยกมือขึ้นปิดหู ไม่ต้องการได้ยินเสียงใครอีก พลันเขานึกรอยยิ้มจริงใจของหลินอวี้เจิน นางใส่ใจเขา เล่นเป็นเพื่อนเขา ไม่เคยดูแคลนเขาในสภาพนี้ และไม่คิดเปิดโปงเรื่องของเขาใช่! เขารู้ความลับของตนเองดียิ่ง“พอแล้ว!”กัวอี้เซียวตวาดเสียงดัง น้ำเสียงแข็งกร้าวสั่นเล็กน้อย แต่มิใช่น้ำเสียงของเด็กหนุ่มอ่อนแอที่มีสติของเด็กเจ็ดขวบอีกแล้วท่าทางของเขาทำให้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไร้ถ้อยคำ มีเพียงความเงียบงันในห้องคุมขังอันหนาวเหน็บ!“พอเสียที!” เด็กหนุ่มจ้องมองเฉียนอิ๋นอิ๋น “เลิกใช้ข้าเป็นเครื่องมือของเจ้าเสียที!”“อี้เซียว” หญิงสาวละลำละลัก เหตุใดเขาไม่เป็นเด็กปัญญาอ่อนแล้ว ยามนี้สายตาของเขาดุดันจนแทบจะฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ “ข้าทำเพื่อเจ้า เจ้าอย่าลืมซิ ว่าข้าคือญาติคนเดียวของเจ้า”“ญาติ! เจ้ายังกล้าใช้คำนี้อีกเรอะ!” กัวอี้เซียวตัวสั่นด้วยความโกรธ “สำหรับเจ้า ข้าก็คือเด็กปัญญาอ่อน
“หากท่านแค่รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...ไม่จำเป็น หากท่านแค่ต้องการรับผิดชอบเรื่องที่ผ่านมา...ไม่จำเป็น หากท่านเพียงสงสารเห็นใจข้า...ไม่จำเป็น ท่านไม่จำเป็นต้องแต่งข้าเป็นภรรยาเพื่อชดเชยความผิดใด เรื่องที่ผ่านมาล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ข้าและท่านลุงใหญ่มิได้ขโมยไข่มุกน้ำตาจันทราไป ขอเพียงท่านเชื่อใจเรื่องนี้ข้าก็ยินดีมากแล้ว” สิ้นถ้อยคำของนางแล้ว กลับกลายเป็นเขาที่พูดไม่ออก คล้ายมีบางสิ่งจุกอยู่ในอก เขาต้องพูดออกไป พูดความจริงใจต่อนาง แต่คนอย่างเขาผู้ถูกเลี้ยงดูให้เป็นประมุขสกุลกัว เขาคือกัวจื่อหรานที่ก้มหัวให้ใครไม่เป็น ไม่เคยแพ้พ่ายแต่ยามนี้....เขากลายเป็นคนโง่งมที่สุดในใต้หล้าแล้ว “หากท่านต้องการทำเพื่อข้า ข้าอยากขอร้องท่านเรื่องเดียว” “เรื่องใด” “ข้าขอให้ท่านดูแลกัวอี้เซียวเช่นนี้ตลอดไป” “เขาเป็นน้องชายข้า แม้เป็นน้องชายต่างบิดา เป็นลูกอนุ แต่เขาก็เป็นคนสกุลกัว” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้ว นางเผลอหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกจากผ้าห่มไปคลึงหัวคิ้วของเขาพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอ
ความอ่อนล้ากดทับที่สองบ่า เขาโน้มหน้าลงต่ำจนหน้าผากของตนจรดหน้าผากของนาง ดวงตาของชายหนุ่มเห็นมุมปากของหญิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แล้วดวงตาสุกใสของนางก็จ้องมองเขาอยู่ อยู่ใกล้จนสัมผัสลมหายใจอุ่นร้อน แต่นางกลับไร้ความเขินอาย ซ้ำยังหัวเราะออกมาเบาๆ หลิวอวี้เจินเห็นแววความหม่นล้าฉาบเต็มดวงตาและใบหน้าของเขา แม้ควรรักษาระยะห่างไม่ใกล้ชิดกันเกินไป แต่ในยามนี้ที่ความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ นางกลับปล่อยวางเรื่องจารีตต่างๆ นั้นเสีย “เจ้าหัวเราะเรื่องใด” “ท่านเดินเข้ามาทางประตู” “หือ?”เขาเลิกคิ้วฉงนกับถ้อยคำของนาง ขยับตัวออกห่างเพื่อประคองนางขึ้นนั่ง หยิบหมอนรองแผ่นหลังให้นางได้เอนหลังพิงหัวเตียง “ปกติท่านมาพบข้ายามดึกเข้าทางหน้าต่างมิใช่หรือ?”นางย่นจมูกใส่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าของเขาออก เขาคงวิ่งวุ่นทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาดูสภาพตนเองเลยสินะ นางคุ้นชินกับภาพกัวจื่อหรานผู้หยิ่งยโส เอาแต่ใจ มิใช่บุรุษที่อมทุกข์เช่นนี้ นางไม่ต้องการเห็นทุกข์ใจจึงชวนเขาพูดคุยด้วยเรื่องอื่น “ที่นี่บ้านข
“ข้า...ข้าจะไปตามท่านหมอ” เมื่อมีผู้อื่นอยู่ เขากลับไปเป็นเด็กเจ็ดขวบอีกครั้ง“ไม่... ไม่ต้อง... อี้เซียว” นางส่งเสียงห้ามแต่ไม่ทันการ เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วหลินยี่ห้านใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของบุตรสาว เมื่อเห็นว่านางหยุดไอแน่แล้วจึงลุกขึ้นไปรินน้ำดื่มมาให้นางล้างคอ สายตามองหากระโถนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเตียงนัก เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบมาเพื่อให้ลูกสาวได้กลั้วปาก “ข้าทำให้ท่านพ่อต้องลำบากแล้ว” นางไม่อยากรบกวนบิดาเลย รู้สึกละอายแก่ใจแต่ยังไม่มีแรงพอจะหยิบจับทำอะไรได้เอง ทว่าบิดากลับหัวเราะเบาๆ ไม่สนใจว่าเวลานี้ตนต้องเป็นฝ่ายดูแลลูกสาว“เจ้าเป็นลูกของพ่อ พ่อไม่ดูแลเจ้าแล้วจะให้ผู้อื่นทำหรือไร” หลินยี่ห้านซับคราบน้ำที่ริมฝีปากของบุตรสาวอีกครั้ง “เมื่อยามที่เจ้ายังเล็ก ป่วยไข้ไม่สบาย พ่อยังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าเลย”“แต่ลูกโตแล้ว ควรเป็นลูกที่ปรนนิบัติดูแลท่านพ่อ” เห็นบิดายิ้มบางๆ แต่นางรู้ว่าหัวใจของบิดาทุกข์ระทมไม่น้อย “ท่านพ่อไม่อยากถามอะไรลูกหรือ?”หลินยี่ห้านได้แต่ยิ้ม ภรรยาของเขาเป็นสตรีอ่อนโยนไม่ค่อยพูดจา หลินอวี้เจินมีความอ่อนหวานที่ถอดแบบมารดามาทั้งหมด ย
“ท่านคงรู้แล้ว แม้ไม่มียาถอนพิษแต่หนทางรักษาแม่นางหลินนั้นยังพอมี” เฉียนออิ๋นอิ๋นยกมือลูบลำคอของตนเอง “ท่านยอมสละไข่มุกน้ำตาจันทราเพื่อนางหรือ?”“ข้าย่อมทำได้!” คำตอบที่เอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วนั้น กลับกลายเป็นคมมีดกรีดหัวใจเฉียนอิ๋นอิ๋น แต่กระนั้นนางยังคงคลี่ยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่นางฝึกฝนมานานเพียงเพื่อได้เคียงข้างบุรุษที่นางทุมเทใจให้ แต่กลับได้เพียงความว่างเปล่า เย็นชา“เช่นนั้นท่านจะรีดเค้นเอายาถอนพิษกับข้าทำไม? เหตุใดไม่นำไข่มุกน้ำตาจันทราไปรักษานางเสีย” ดวงตาของหญิงสาวจ้องมองอีกฝ่าย การเงียบงันคือคำตอบของเขาและทำให้นางหัวเราะเบาๆ ออกมา “นั้นเพราะท่านไม่มีไข่มุกน้ำตาจันทราใช่หรือไม่”“เจ้า!” กัวจื่อหรานกำมือแน่น สะกดโทสะของตนเองไว้จนร่างกายเกร็งไปหมดทุกส่วน เขาอยากบีบคอหญิงต่ำช้าผู้นี้นัก“ข้าอยู่ที่จวนสกุลกัวมานาน รับใช้พี่สาวมาหลายปี เรื่องแค่นี้เหตุใดข้าจะไม่รู้” นางยังคงเผยรอยยิ้มที่ดูแล้วชวนให้รู้สึกขยะแขยงออกมา “หากท่านยอมรับเงื่อนไขของข้า ข้ายินดีมอบไข่มุกน้ำตาจันทราให้”“เงื่อนไขใด” “แต่งข้าเป็นภรรยาเอกของท่าน” น้ำเสียงของนางราบเรียบและมั่นคง ยืนยันความคิดตั