เธอมองคนที่มาอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกตัว จากนั้นรีบก้าวเข้าไปอย่างดีใจ“ผู้ช่วยเฉิน ดีจังเลยที่คุณไม่เป็นอะไร ฉันนึกว่าคุณ...…” แต่พอเธอเดินเข้าไปใกล้ ผู้ช่วยเฉินกลับถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเธอเสิ่นหยินอู้หยุดก้าวทันที มองเขาด้วยความสงสัย“เป็นอะไรไปคะ?” แต่สายตาของผู้ช่วยเฉินกลับเย็นชา มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีท่าทีเหมือนก่อนหน้านี้ไม่สิ คนแปลกหน้าก็ยังไม่เย็นชาขนาดนี้ ราวกับว่าพวกเขามีความแค้นต่อกัน “คุณเสิ่นให้ผมรออยู่นานเลยนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสิ่นหยินอู้ "......"รอยยิ้มที่มุมปากของเธอค่อย ๆ หายไป ก่อนจะพูดขึ้นหลังจากเงียบไปซักพัก “ผู้ช่วยเฉิน คุณเป็นอะไรไปคะ?” แต่ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบ กลับจ้องไปที่นอกประตูแทน“คุณเสิ่นมาคนเดียวใช่ไหมครับ? ได้ทำตามสัญญาหรือเปล่า?” เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำได้แค่พยักหน้าตามคำพูดของเขา“พวกเขามาส่งฉันค่ะ แต่ยังอยู่ห่างจากที่นี่ ฉันไม่ได้ให้พวกเขาเข้ามา” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้หยุดไปซักพัก แล้วพูดต่อว่า “นี่ไม่นับเป็นการผิดสัญญาใช่ไหม?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบรับ เสิ่นหยินอ
ความจริงใจ...... คำนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา เขายังคิดว่าตัวเองมีความจริงใจอยู่อีกหรอ? เสิ่นหยินอู้พยายามระงับความรู้สึกที่จะด่าเขา เธอตัดสายโทรศัพท์ทันทีแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ช่วยเฉิน“ฉันจะดูรูปตอนนี้”ผู้ช่วยเฉินรับโทรศัพท์มาอย่างไร้ความรู้สึกแล้วเปิดรูปให้ดู พอเสิ่นหยินอู้เห็นรูป สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีในรูป ฉินเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว มีผ้าก๊อซพันอยู่รอบหน้าผากและยังมีรอยเลือดอยู่บนผ้าก๊อซ“นี่มันเรื่องอะไร?” เสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาจับแขนของผู้ช่วยเฉิน “ทำไมเขาถึงบาดเจ็บขนาดนี้? โม่ไป๋ทำเขาเจ็บแบบนี้หรอ? เขาเป็นอันตรายถึงชีวิตไหม?” ผู้ช่วยเฉินมองมือของเธอ จากนั้นสะบัดออกอย่างไร้ความรู้สึก แล้วถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง“คุณเสิ่น เรื่องนี้ผมไม่ทราบ หากคุณอยากรู้ ก็ไปถามคุณโม่ด้วยตัวเองดีกว่าครับ” “ได้ ฉันจะถามเขาเอง” แต่ผู้ช่วยเฉินกลับดึงโทรศัพท์กลับไป ไม่ได้ให้เธออีกแล้ว“คุณบอกให้ฉันถามเองไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ให้โทรศัพท์ ฉันจะโทรหาเขาได้ยังไง?” “คุณเสิ่น คุณโม่หมายความว่า รอให้เจอกันก่อนแล้วเขาจะบอกคุณ”เสิ่นหยินอู้"......" เมื่อพูดจบ ผู้
หลี่มู่ถิง: “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะให้พวกเขาคอยสังเกต แล้วคุณเสิ่น...…” “ฉันจะอยู่ที่นี่ชั่วคราว สำหรับเรื่องหลังจากนี้......ฉันจะหาทางติดต่อพวกคุณไปค่ะ” เมื่อได้ยินแบบนี้ หลี่มู่ถิงก็เข้าใจได้ทันทีว่า เธอจะไม่กลับไปกับพวกเขา “คุณเสิ่น คุณถูกกักตัวไว้หรือเปล่าครับ?” ถูกกักไว้เหรอ? เสิ่นหยินอู้มองออกไปข้างนอก คิดถึงตอนที่ผู้ช่วยเฉินเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าเธอจะหนีหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดจะกักเธอไว้ สิ่งที่กักขังเธอไว้คือความห่วงใยที่มีให้ฉินเย่ ตั้งแต่เธอตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ ก็เหมือนเธอถูกกักไว้แล้ว“ไม่มีใครกักฉันไว้ค่ะ ฉันค่อนข้างอิสระที่นี่ แต่คุณน่าจะเข้าใจว่าพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร วันนี้คุณพาคนกลับไปได้เลยค่ะ กลับไปพักผ่อนและหาเบาะแสต่อเถอะ” อีกฝ่ายเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้า“คุณเสิ่น ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำตามที่คุณบอก”ตู๊ด ตู๊ด—— หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้วางโทรศัพท์ลงบนอ่างล้างหน้า ก้มลงล้างหน้าแล้วปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำหลังจากนั้น เธอก็หมุนตัวออกจากห้องน้ำไปหาผู้ช่วยเฉิน เธอคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งของวิลล่า แต่เธอกลับเห็นเขา
สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้น เดินลงไปที่ครัวชั้นล่างและเปิดตู้เย็น ขณะที่เธอกำลังหาของ ผู้ช่วยเฉินก็ตามมาพร้อมพูดว่า “คุณเสิ่นต้องการอะไร บอกผมมาก็ได้ครับ” เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจเขา ค้นหาของในตู้เย็นอยู่นาน และในที่สุดก็เจอเบียร์เย็นสองกระป๋อง เธอหยิบเบียร์และหันกลับไปเดินขึ้นชั้นบน ทันใดนั้น เสียงเย็นยะเยือกในหูฟังของผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เธอดื่มเบียร์”ใช่ นี่คือเสียงของโม่ไป๋ ตั้งแต่เขาเจอกับคุณเสิ่น เขาก็เฝ้าฟังความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เขาต้องรักษาท่าทีเย็นชากับเสิ่นหยินอู้ เมื่อได้ยินคำสั่งของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็รีบตอบสนองทันที ก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามเสิ่นหยินอู้ไป“คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้หยุดเดินและมองเขาอย่างไร้อารมณ์เช่นกัน“เบียร์นี้ ผมให้คุณไม่ได้ครับ” ผู้ช่วยเฉินยื่นมือไปหาเธอ “ส่งมาให้ผมเถอะ”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก้มมองเบียร์สองกระป๋องในมือ แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “อะไร แค่อิสระในการเลือกของ ฉันยังไม่มีเลยหรอคะ?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆเมื่อเห็นเขาทำสีหน้าท่าทางแบบนั้น เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้ส่งเบียร์ให้เข
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เธอก็รู้นี่ ว่าผมไม่อยากเห็นเธอเจ็บปวด” “จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา“อย่าดื่มเบียร์เลยนะ โอเคมั้ย?”ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตอบทันทีว่า “ได้สิ งั้นคืนนี้ฉันจะออกเดินทางเลย” เดิมทีเธอแค่ต้องการดื่มอะไรเย็น ๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด แต่กลับกลายเป็นว่าเธอสามารถควบคุมโม่ไป๋ด้วยเรื่องนี้ได้ ดังนั้นอย่าโทษที่เธอจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ยังไงเธอก็ถูกเขาข่มขู่ให้มาที่นี่อยู่แล้ว อีกฝั่งเงียบไปนานก่อนจะพูดว่า “วันนี้ไม่ได้”“จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะเย็นชา “ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วใช่ไหม?” “หยินอู้ เธอต้องการจะขัดผมจริง ๆ เหรอ?”“ขัด?” เสิ่นหยินอู้สายตาหม่นหมองลง “ฉันคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกัน ถ้าวันไหนที่ฉันต้องขัดนายจริง ๆ ก็คงเป็นเพราะนายบังคับเอง” พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วก็ตัดสายไปทันที หลังจากนั้นเธอก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มจิบ ๆ ไปเรื่อย ๆ ผ่านไปซักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ช่วยเฉินเดินเข้ามาทันทีและพยายามหยิบเบียร์จากมือเธอไป แต่เสิ่นหยินอู้เหมือนจะรู้ทัน และเลื่อนเบี
เธอสบตากับผู้ช่วยเฉิน และพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ เขามีท่าทีเย็นชาใส่เธอมาตลอด นั่นเป็นเพราะในคฤหาสน์มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ เขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ แม้กระทั่งการส่งสายตา แต่ตอนนี้มาถึงสนามบินแล้ว สนามบินอาจจะไม่ได้มีสายลับของโม่ไป๋อยู่ ถึงจะมีบ้าง แต่คงไม่เยอะเท่ากับในคฤหาสน์ สายลับในสนามบินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมักจะอู้บ้าง และไม่ได้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนกับกล้องวงจรปิด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ยังมีการดักฟังตลอดเวลา เธอจึงไม่สามารถพูดคุยกับผู้ช่วยเฉินได้เลย ถ้าอยากจะพูดคุยกัน ต้องหาวิธีในภายหลังเสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เมื่อกี้ฉันดื่มเบียร์เย็นเข้าไป ตอนนี้รู้สึกไม่สบายท้องเลย”เมื่อได้ยิน ผู้ช่วยเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “คุณเสิ่นให้ผมเตรียมยามาให้ไหมครับ?”เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ฉันขอกระดาษทิชชู่หน่อย คุณพอมีมั้ยคะ?” เธอพูดด้วยท่าทางปกติ น้ำเสียงก็เย็นชา จนผู้ช่วยเฉินไม่แน่ใจว่าเธอสังเกตเห็นสัญญาณทางสายตาที่เขาส่งให้หรือเปล่า“มีครับ” ผู้ช่วยเฉินหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าแ
หลังจากขอบคุณนักศึกษาหญิงที่มีน้ำใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ออกจากห้องน้ำและกลับไปหากลุ่มคนที่รอเธออยู่ เธอไม่ทันสังเกตว่านักศึกษาหญิงแอบเดินตามเธอออกจากห้องน้ำและมองดูเธอเดินไปหากลุ่มชายหนุ่มที่รุมล้อมเธอไว้จากระยะไกล “คุณเสิ่นครับ คุณกลับมาแล้ว งั้นตอนนี้เราออกเดินทางกันเถอะครับ” ด้วยความเป็นห่วงเพราะได้รับคำสั่ง พวกเขาก็ล้อมเสิ่นหยินอู้ไว้ขณะพาเธอไปยังจุดหมาย นักศึกษาหญิงมองพวกเขาจากข้างหลังด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ระหว่างเดินออกไป เสิ่นหยินอู้ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้า หาจังหวะเพื่อแอบเอากระดาษทิชชู่ใส่ในกระเป๋าของผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เธอทำ ดวงตาฉายแววเล็กน้อย แต่ยังคงทำท่าทางเฉยเมยเดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งก่อนขึ้นเครื่อง เขาอ้างเหตุผลขอไปเข้าห้องน้ำและแอบเปิดกระดาษทิชชู่ที่เสิ่นหยินอู้เขียนมาให้ เสิ่นหยินอู้ไม่ได้เขียนอะไรมากนัก คำถามแรกคือ ตอนนี้ฉินเย่เป็นยังไงบ้าง? คำถามที่สองคือ แล้วเขาล่ะ? มีจุดอ่อนอะไรอยู่ในมือของโม่ไป๋หรือเปล่า? ความห่วงใยของเธอทำให้ผู้ช่วยเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจความลำบากของเขาและไม่ได้เข้าใจ
เสิ่นหยินอู้พยายามจะอธิบายกับเขา แต่เขากลับดึงเข็มน้ำเกลือออกแล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เสิ่นหยินอู้รีบออกไปตามหา แต่เมื่อออกมาจากห้องผู้ป่วยกลับไม่เห็นเขา เธอจึงวิ่งตามหาอย่างกระหืดกระหอบ แต่ก็ไม่พบตัวฉินเย่เลย เธอค้นหาเขาหลายสถานที่ จนในที่สุดก็เห็นแผ่นหลังที่เหมือนกับฉินเย่ทุกประการ แต่ไม่ว่าจะพยายามไล่ตามแค่ไหนก็ไม่ทัน เธอทำได้แค่เดินตามหลัง และเห็นเขาก้าวเข้าไปในพิธีแต่งงานพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่สวมชุดเจ้าสาวถึงขั้นที่สุดท้าย ผู้หญิงคนนั้นไล่เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนออกไป แล้วชี้มาทางเธอพร้อมกับพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกัน พาลูกนอกสมรสสองคนมาคิดจะมาเป็นคุณนายฉินหรอ? เพ้อเจ้อจริง ๆ รีบไสหัวไปให้พ้นก่อนที่ฉันจะโมโห ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่ปรานี” เด็กทั้งสองคนกอดเธอและร้องไห้เสียงดัง ถามหา ‘ป่าป๊า’ เสิ่นหยินอู้รู้สึกกระวนกระวายใจมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมเรื่องราวถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ เธอต้องการแก้ไขสถานการณ์ แต่เหมือนถูกพันธนาการจนขยับไม่ได้ ทำให้เธอกระวนกระวายใจอย่างคนที่ร้อนใจไม่เป็นสุข “คุณเสิ่น......คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้เหมือนจะได้ยินเสียงค
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ