“แล้วที่หลบตาล่ะ…หน้าตาฉันไม่น่ามองขนาดนั้นเชียวหรือ?” เขาเบะปาก ทำหน้าสงสัยที่เธอหลุบมา เหมือนไม่อยากมองหน้าเขา“เปล่าค่ะ…” หญิงสาวหันมาเผชิญหน้ากับเขา น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด“เป็นอะไรไป…ไม่ดีใจหรอกหรือ ที่ได้เจอกัน” เขาขมวดคิ้วถาม เมื่อเห็นท่าทางของเธอเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน“เปล่าค่ะ” เธอตอบแบบสงวนถ้อยคำ“พูดได้คำเดียวหรือ…เปล่าค่ะๆๆ” เขากล่าวยิ้มๆ ล้อเลียนเธอ“คุณสบายดีหรือคะ”“เธอนั่นแหละ…เป็นยังไงบ้าง?” น้ำเสียงของเขาบอกว่าอยากรู้ความเป็นไปของเธอมากกว่าจะเล่าเรื่องของตัวเอง“สบายดีค่ะ…แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากเร่งวันเวลา” กล่าวจบ หญิงสาวก็ทอดสายตาเหม่อลอยไปที่ความเวิ้งว้างตรงหน้า อดคิดไม่ได้ว่าความเวิ้งว้างที่แลเห็นอยู่ตรงหน้านั้นช่างเหมือนกับชีวิตของเธอในยามนี้“ทำไมต้องเร่งวันเวลา หมายความว่ายังไง” สีหน้าของชายหนุ่มบอกว่าไม่เข้าใจที่เธอพูด“เร่งวันเวลาให้ครบสามปีเร็วๆ…ฉันกับแม่จะได้ก้าวออกไปจากชีวิตของพวกคุณเสียที”‘พวกคุณ’ คริสโตเฟอร์เบะปาก คำนั้นดูราวกับว่าเขากับพ่อร้ายต่อเธอกับแม่นักหนา ถ้าไม่นับรวมครั้งที่เขาใช้กำลังบังคับเธอ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเลวร้ายไม่ใช
“ก็พอมีความรู้ครับ…งานทำให้เราต้องเรียนรู้” “แล้วมุกเทียม...เอ่อ ฉันหมายถึงมุกปลอมน่ะค่ะ เราจะมีวิทีสดทอบไหมคะ” หญิงสาวอยากรู้ “มุกปลอมดูไม่ยาก” กล่าวจบเขาก็หยิบมุกที่วางอยู่ในถาดโลหะขึ้นมาหนึ่งเม็ด หันไปคว้าไม้ขีดที่วางอยู่ใกล้ๆ จุดและลนเปลวไฟไปที่มุกซึ่งมืออีกข้างคีบขึ้นชูให้เธอดู “เห็นไหม ถ้าเป็นไข่มุกปลอมหรือพลาสติก จะไม่ทนความร้อน...ไข่มุกแท้จะทนทาน แม้แต่รอยไหม้ก็เช็ดออก” เขากล่าวพร้อมกับสาธิตให้เธอดูอีกครั้งหญิงสาวยื่นใบหน้า มองดูการสาธิตของเขาด้วยความสนใจ แพรขนตายาวระยับ ขยับกระพริบฟังเขา ในขณะนั้นท่าทางของคริสโตเฟอร์ดูเหมือนอาจารย์ เหมือนผู้เชี่ยวชาญที่กำลังบรรยายในเรื่องที่เขามีความรู้ “วิธีการดูผิวของมุก...อืม ในความจริง แทบไม่มีมุกเม็ดไหนที่มีผิวเรียบเนียนไปทั้งเม็ด ให้ดูที่คิดว่าเกลี้ยงเกลามากที่สุด มีตำหนิน้อยที่สุดก็ใช้ได้”“ค่ะ” เธอพยักหน้าน้อยๆ ตั้งใจฟังที่เขาพูดเขากล่าวต่อ“มันมีเคล็ดลับอยู่ว่า ในบางครั้งเราต้องยอมรับที่ตำหนิเล็กๆ เพื่อแลกกับความมันวาวของมัน เพราะบางเม็ดที่กลมเกลี้ยงไร้ตำหนิ แต่กลับขาดความมันวาว” จากนั้นก็ใช้
“ไม่เพียงแค่ฉัน…แต่เธอมีความหมายสำหรับใครหลายๆคนนะซาบรีน่า” กล่าวจบชายหนุ่มก็คว้ามือเธอขึ้นมากุม เหมือนจะให้กำลังใจ รู้ว่าซาบรีน่าคงเจ็บปวดใจที่ได้ยินเขาบอกว่าจะแต่งงานกับแซนดร้า “แต่ถ้าเป็นไปได้... ฉันอยากมีความหมายสำหรับใครบางคนก็พอ” เธอเชยใบหน้าคลอน้ำตาขึ้นสบตาเขาอย่างปวดร้าวใจ กระแสความรู้สึกจากหัวใจสองดวงปะทะกันรุนแรงซาบรีน่าค่อยๆแกะมือใหญ่ของเขาที่กุมมือเธออยู่นั้นออกช้าๆ“ปล่อยฉันไปเถอะ…อย่าได้สร้างเยื่อใยใดๆให้ฉันต้องเจ็บปวดไปกว่านี้ รู้อยู่ว่าคุณต้องแต่งงานกับแซนดร้า” “ซาบรีน่า…นับจากนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิด ฉันยังยืนยันว่าฉันรักเธอ” แม้น้ำเสียงของคริสโตเฟอร์แม้จะหนักแน่น ทว่าท่าทางก็ฟ้องชัดว่าเขากำลังสับสนรุนแรง “การที่คุณกำลังจะบอกว่าคุณรักผู้หญิงสองคนในเวลาเดียวกัน...นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังบอกว่าคุณไม่ได้รักใครเลย” “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ...ซาบรีน่า” เขาอยากอธิบาย มือไม้เก้ๆกังๆจนเกือบไม่เป็นตัวของตัวเอง “ใช่ค่ะ...ยอมรับเถอะว่ามันใช่ การที่คุณกำลังจะบอกว่าคุณรักผู้หญิงสองคนภายในเวลาเดียวกัน มันหมายความว่าคุณรักตัวเอง มากกว่าผู้หญิง
“อย่า” เธอวิงวอนด้วยน้ำเสียงแผ่วพร่า ทว่าไร้ผล เมื่อคริสโตเฟอร์ฝังใบหน้าครึ้มเครา จูบสลับซ้ายขวาลงไปตามลำคอขาวๆโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆของเธอซาบรีน่าสะบัดหน้าไปมาคล้ายขัดขืน ทว่าท้ายที่สุดก็เปิดลำคอ แหงนหงายใบหน้ามองนกนางนวล มองฟ้า ปล่อยให้เขาซุกไซร้ตามแต่ใจปรารถนา ปลายจมูกรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหงื่อเจือกลิ่นคาวทะเลจากเนื้อตัวของเขา ทุกสัมผัสที่ดำเนินอยู่ในขณะนั้น ปลุกเร้าความปรารถนาในกันและกันขึ้นมารุนแรง“หยุดนะ…” เธอห้ามได้เพียงแค่เสียง ไร้มือจะทุบตี เพราะเขากดมือทั้งสองข้างของเธอนาบไปกับผืนทราย จากนั้นเขาก็หยุดเสียงของเธอด้วยการบดเรียวปากร้อน กดนาบลงไปที่กลีบปากอวบอิ่ม ขยี้จุมพิตลงไปเต็มแรงเ พียงเสี้ยววินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกัน ปลายลิ้นร้อนๆก็สอดออกมารับสัมผัส แตะต้องกันพัลวัน ความสะท้านแล่นวาบจากปลายลิ้น ส่งไปถึงปลายเท้าน้อยๆที่ถูขยี้กันไปมาคงไม่มีประโยชน์ที่จะขัดขืน ช่างเถอะ!...ซาบรีน่าพริ้มตาอย่างพร้อมยอมให้คริสโตเฟอร์ฝังจูบจนหนำใจ ยิ่งกว่านี้เขาก็ทำมาแล้ว จากนั้นเสียงสะอื้นก็ดังขึ้นเบาๆ แทรกกับเสียงลมหายใจเข้าออกรุนแรงจากอาการจูบไซ้ของเขา “ร้องไห้ทำไม...” เขาหยุด ค่อยๆถอน
หญิงสาวจ้องมองตาเขา“ทำไมคุณถึงได้ชอบบังคับฉันนัก” เธอว่า“ก็เธอมันน่าบังคับ…” เขาตอบกวนๆ แสร้งทำน้ำเสียงยียวน“จะใจร้ายไปถึงไหน” เธอตัดพ้อ“ใจร้ายที่ไหน…บังคับเพราะอยากให้เธอได้กินของอร่อย” เขาเอื้อมมือเอาช้อนไปตักขนม “อิ่มค่ะ” เธอส่ายหน้า “อร่อยนะ” เขาพยักหน้าชวน “ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “งั้นป้อนก็ได้” เขายังไม่ละความพยายาม ใช้ส้อมจิ้มขนมที่อยู่ในจานกระเบื้องสีขาว“มาม๊ะ…จะป้อนให้” เขาเอามืออีกข้างรองช้อน ตั้งใจจะป้อนเธอเต็มที่ ดวงตาสีน้ำผึ้งชวนฝันของเขาที่มองมา เหมือนมีมนต์สะกดให้หญิงสาวยินยอมอย่างว่าง่าย “อ้ำ…ต้องอย่างนั้นสิ” เขามองดูเธอเคี้ยวขนมเบาๆ ด้วยแววตามีความสุข ทำราวกับเธอเป็นเด็กๆซาบรีน่าหันไปอีกด้าน รู้สึกอายสายตาของเขา เมื่อตระหนักว่าภาพผู้หญิงเคี้ยวอาหารคงไม่น่ามองนัก“เอาอีกไหม”“อิ่มแล้วค่ะ” เธอสั่นศีรษะ“อิ่มขนมหรืออิ่มใจ” เขาถามเหมือนรู้ทันหญิงสาวรีบหลุบสายตา น่าแปลก!...ยิ่งเขาทำดีกับเธอมากเท่าไร เหมือนกับหัวใจดวงน้อยๆของเธอยิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดได้มากขึ้น “ลงไปเล่นน้ำทะเลด้วยกันนะ”
ระหว่างที่จอร์จสนทนาอยู่กับซินเทีย สายตาของเขาเหลือบไปเห็นโซเฟีย จอร์จจึงส่งยิ้มทักทาย ทว่าโซเฟียเสไปอีกทาง แกล้งทำเป็นไม่เห็นจอร์จ เพราะรู้ว่าใบหน้าและแววตาของจอร์จมักจะทำให้เธอย้อนกลับไปนึกถึงเหตุการณ์อันน่าอดสูใจในอดีต เป็นรอยด่างพร้อยของความสัมพันธ์ เมื่อจอร์จพยายามปลุกปล้ำขืนใจเธอ จวนเจียนจะสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่งในรถทว่าเรื่องนั้นยังคงเป็นความลับระหว่างเธอและเขา โซเฟียไม่เคยแพร่งพรายให้ใครได้รู้ เช่นเดียวกับจอร์จที่ต้องการให้มันเป็นความลับตลอดไปในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่นั้น โซเฟียสังเกตเห็นซินเทียแอบเล่นหูเล่นตากับจอร์จอยู่หลายครั้ง ซินเทียรำราวกับว่าโทนี่ผู้เป็นสามีไม่ได้อยู่ตรงนั้น หรือไม่หล่อนก็มองว่าโทนี่เป็นเพียงอากาศธาตุ ไร้ตัวตน เหมือนลมที่มองไม่เห็น ไร้ความสำคัญในความรู้สึกของหล่อน ซินเทียหันมามองโซเฟียอีกครั้งด้วยสายตาอันปราศจากไมตรี ไร้วี่แววของความเป็นมิตร กวาดสายตามองโซเฟียตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ครั้นแล้วก็เบะปาก สะบัดหน้าหนี ทำทีว่าไม่อยากลดตัวลงไปเสวนา เป็นการกระทำที่บ่งบอกกับโซเฟียเป็นนัยว่าสถานภาพของเธอก็แค่นางบำเรอชั้นต่ำคนหนึ่ง ที่ติดสอยห้อยต
คืนนี้โซเฟียงดงามราวกับผู้หญิงที่หลุดออกมาจากภาพจิตรกรรมสีน้ำมันของศิลปินในยุคเรอเนสซองซ์ โดดเด่นจนผู้ชายมากมายใคร่กระหายที่จะได้เต้นรำใกล้ชิดกับเธอหลังจากโจนาธานพาโซเฟียก้าวเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงสังสรรค์ได้ไม่นาน ก็มีผู้ชายหลายคนให้ความสนใจโซเฟีย เข้ามาขออนุญาตโจนาธานเพื่อเต้นรำกับเธอและการที่โจนาธานจำต้องอนุญาตไปตามมารยาท ยิ่งทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที ความพยายามระงับอารมณ์ไปตามมารยาท ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจขึ้นทุกที‘บัดซบ’ โจนาธานสบถอยู่ในใจ ขณะที่เหลือบไปเห็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่กำลังเต้นรำอยู่กับโซเฟีย ฉวยโอกาสอันใกล้ชิดนั้น ใช้ฝ่ามือเคล้นคลึงสะโพกผายของโซเฟียเบาๆ บางจังหวะก็รั้งร่างของเธอมากอดรัด แม้จะเป็นไปตามท่วงท่าและลีลาเต้นรำ ทว่าโจนาธานก็รู้ทันว่าคู่เต้นที่ไร้มารยาทจงใจให้ทรวงอกหลามล้นของโซเฟียเบียดอัดเข้ากับลำตัวท้วมหนาอย่างจงใจแทะโลมหล่อน ขณะที่โซเฟียกำลังเต้นรำอยู่กลางฟลอร์ หารู้ไม่ว่ามีผู้หญิงหลายคนกำลังซุบซิบนินทากันอย่างออกรสชาติ ถึงที่ไปที่มาของเธอ ชีวิตของโซเฟียถูกขุดคุ้นขึ้นมาตีแผ่ที่กลางวงสนทนาด้วยความริษยาจากเพศหญิงด้วยกันเอง เมื่อความเย้า
พบว่าเจมส์นั่นเองที่ลอบมองทุกอากัปกิริยาของเธออย่างให้ความสนใจ เจมส์เป็นผู้ชายร่างใหญ่ แม้จะท้วมไปตามวัย หากก็ยังมีเค้าโครงความหล่อเหลา แววตาของเขาฉายชัดว่าเป็นคนเจ้าชู้ ท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี และด้วยความที่เจมส์เป็นคนมีอารมณ์ขัน คุยสนุก ทำให้โซเฟียรู้สึกผ่อนคลายที่ได้พูดคุยกับเขามีเสียงหัวเราะเบาๆแทรกสลับขึ้นเป็นระยะๆในระหว่างการสนทนา ท่ามกลางกระแสลมทะเลที่พัดแรงจนแพรผมยาวสยายบนใบหน้าสวยของโซเฟียปลิวไปตามแรงลม ขณะที่เธอชะโงกใบหน้าไปมองระลอกคลื่นสีขาว สาดซัดเข้ามาปะทะที่ด้านข้างของตัวเรือ เสียงดังโครมครืนเป็นจังหวะ“ฉันชอบเธอมาก…โซเฟีย” เจมส์รีบบอก เมื่อสบโอกาส เขาถ่ายทอดความในใจของเขาออกมาอย่างเปิดเผย“เอ่อ…..” โซเฟียตกใจ ไม่คิดว่าเจมส์จะโพล่งออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ ทว่าก็พอจะเข้าใจได้ว่าที่เขาฉวยโอกาสสารภาพกับเธอ อาจเป็นเพราะเขาตระหนักดีว่าโอกาสที่เป็นส่วนตัวเช่นนี้หายาก“ถ้าเธอไม่ขัดข้อง ฉันยินดีจะรับเลี้ยงเธอกับลูกสาวต่อจากโจนาธาน” เจมส์กล่าวอย่างตรงไปตรงมาสร้างความตกใจให้โซเฟียอีกครั้ง กับถ้อยคำที่ได้ยิน“เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา คุณกับโจนาธานคุยกันเรื่องนี้หรือ
“ดึกดื่นป่านนี้ คุณหนูจะไปไหนครับ” คนรับใช้ถามด้วยความแปลกใจ“ไปบ้านของจอร์จ…เร็ว! แล้วอย่าถามอะไรมาก”จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงเท้าของแซนดร้าที่วิ่งลงบันไดบ้านไปเมื่อครู่ เสียงเฟืองและล้อรถม้าที่เสียดสีกับพื้นกรวดจากการออกตัวด้วยความเร็ว ดังขึ้นไปถึงชั้นบนของบ้าน โทนี่และซินเทียที่กำลังวิวาทะกันอยู่ในขณะนั้น รีบชะโงกหน้าออกมามอง“แซนดร้า…นั่นลูกจะไปไหน”ด้วยความตกใจ ซินเทียตะโกนไล่หลังรถม้าที่กำลังจะพาร่างของแซนดร้าหายลับไปในราตรีกาลอันมืดมิดจอร์จส่ายหน้า…น้ำตาซึม นึกตำหนิในอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ถ้าแซนดร้าเป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาดสองเดือนผ่านไป“ช่างเป็นชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด…” ซาบรีน่าซึ่งอยู่ในชุดวิวาห์ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม รำพึงออกมาลอยๆ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก “เธอตะหากที่สมบูรณ์แบบ…ไม่ใช่ชุดแต่งงานสักหน่อย”คริสโตเฟอร์ในชุดเจ้าบ่าวสีเทาขรึม ก้าวเข้ามาใกล้ ทาบร่างกายกำยำใหญ่เอาไว้ที่ด้านหลังของซาบรีน่า กอดและก้มกระซิบเบาๆที่หลังใบหูเพียงปีแรกหลังแต่งงาน ทั้งสองก็ได้ทายาทเป็นลูกชายไว้สืบสกุล และอีกปีถัด
โทนี่ถอดหมวก ถอดเสื้อโค้ทสีดำออกช้าๆ แขวนไว้ที่หลังประตูแล้วก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยไม่ลืมมองไปที่ห้องนอนของแซนดร้าผู้เป็นลูกสาว พบว่าเธอไม่อยู่ จำได้ว่าแซนดร้าบอกเอาไว้ว่าจะออกไปหาคริสโตเฟอร์ เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมที่ทำให้แซนดร้าดีใจจนเนื้อเต้น “ยังไม่นอนอีกหรือ” โทนี่ถามภรรยาที่ทอดร่างอยู่บนเตียงนอน อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าแม้เธอจะยังไม่หลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าซินเทียกำลังรอคอยการกลับมาของเขา “คุณหายไปไหนตั้งนาน” ซินเทียถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ห่วงฉันด้วยหรือ” สามีขมวดคิ้ว นิ่วหน้า “ถามอะไรอย่างนั้น...ถามเหมือนคุณไม่รู้ใจฉัน คุณเป็นสามีของฉันนะโทนี่” ซินเทียตัดพ้อโทนี่อยากจะตอบว่า ‘ใช่…ฉันไม่เคยรู้ถึงจิตใจลึกๆของเธอเลย…ซินเทีย’ทว่าสุดท้าย เขาก็เก็บถ้อยคำยอกย้อนนั้นเอาไว้ในใจ “ไม่ห่วงคุณแล้วจะห่วงใคร…คุณเป็นสามีฉันนะโทนี่” เธอกล่าวให้เขาได้คิด “สามียังงั้นรึ!....ช่วยบอกหน่อยเถอะว่าฉันควรจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งนี้ใช่ไหม?” โทนี่ทำน้ำเสียงเย้ยหยัน เหมือนกับคนที่สูญสิ้นศรัทธาในชีวิตคู่ของตนมานานแล้ว ซินเทียขมวดคิ้
สีหน้าของโทนี่เต็มไปด้วยความขมขื่น นิ่งฟังเสียงตึงตังของเตียงที่เคลื่อนไปกระแทกผนัง ดังอยู่เป็นจังหวะที่ต่อเนื่องและยาวนาน ยิ่งได้ยินยิ่งโกรธแค้น ชิงชัง และริษยาจอร์จที่บรรเลงลีลารักได้ยาวนานโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับเขาที่มักจะล้มเหลวในทุกครั้ง จากความบกพร่องของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวของกับการกลั้นเกร็งการหลั่งซึ่งไม่อาจบังคับได้อวัยวะชิ้นนั้นมันอยู่เหนือการควบคุมของเขามานานแล้ว สืบเนื่องมาจากประสาทรับความรู้สึกบางส่วนได้ถูกทำลายลงไปพร้อมๆกับการผ่าตัด ภายหลังจากอุบัติเหตุตกม้า โทนี่คว้าเหล้าในขวดขึ้นมากระดกดื่มเหมือนน้ำ สบถด่าตัวเองอยู่ในใจด้วยถัอยคำหยาบโลน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองที่อ่อนแอทั้งกายและใจ ซินเทียคงหนักแน่นพอที่จะประคับประคองความซื่อสัตย์ต่อกันเอาไว้ได้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาวะอันทุกข์ตรมขมขื่นเช่นนี้ จากนั้นไม่นาน โทนี่ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เขาหลับลงเพราะฤทธิ์สุราที่กรอกลงคอเพื่อให้ลืมทุกอย่างในชีวิต แม้รู้ดีว่าเหล้าอาจช่วยบิดเบือนความจริงอันเจ็บปวดได้ในช่วงสั้นๆก็ตาม จากเหตุการณ์อัปยศที่กำลังดำเนินอยู่นั้น โทนี่แทบจะไม่โทษซินเทีย เขาโยนความผิ
อีกครั้ง รั้งบั้นท้ายเปลือยร่อนไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะรองรับบางสิ่งซึ่งกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่กันและกันหล่อนผ่อนลมหายใจเหมือนจะนับถอยหลัง ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง หากก็เดาได้ถึงความเครียดเขม็งที่จรดเล็งลงตรงหลืบลับในสรีระของหล่อนเพียงพรวดสั้นๆ…ที่หล่อนจำต้องกัดฟันด้วยความทรมาน เสี้ยวสั้นๆที่เปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเธอและเขาตลอดไป ซินเทียสูดและพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างสับสน แบ่งรับแบ่งสู้กับความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามารุนแรงเหล้าหลายแก้วที่หล่อนดื่ม ความมึนเมาในตอนนั้น ทำให้โซเฟียไม่ได้ฉงนใจกับความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น ทว่าความรู้สึกอึดอัด รัด แน่น ก็ยืนยันว่า ‘ไม่ใช่โทนี่อย่างแน่นอน’เมื่อได้สติ…โซเฟียพยายามสะบัดสะโพกหนี หากเขาก็ดำดิ่งสู่แอ่งอารมณ์ของหล่อนไปแล้ว ความรู้สึกของซินเทียในตอนนั้น มันเหมือนกับมีรถไฟขบวนใหญ่ที่กำลังเคลื่อนผ่านเข้าไปในอุโมงค์ความปรารถนาอันมืดมิดและคับแคบของเธอ ซินเทียเหมือนผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวความมืด ได้แต่ภาวนาให้ความยาวลึกของรถขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไปเสียที ยิ่งช้ายิ่งอึดอัด ยิ่งนานยิ่งทรมาน แต่เมื่อถึงที่สุดของมัน…กลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่า ราวกับว่านรกและสวรรค์ได้ม
เหล้ารัมอีกขวดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน โทนี่ใช้มือหมุนขวดเปล่าไปมา มองดูมันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ขวดเหล้าไม่ต่างอะไรกับจิตใจของเขาในตอนนั้น บางครั้งก็มั่นคง แข็งแกร่ง ทว่าอยู่ๆกลับอ่อนแอ ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนขวดเหล้า ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตของโทนี่ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไร้ค่าขนาดนี้จากนั้นเขาก็ทอดร่างลงเหยียดยาว นอนหงายที่กลางพื้น มือก่ายหน้าผาก กวาดสายพาพร่าพรางไปที่เพดานบ้าน ราวกำลังค้นหาแมงมุมสักตัวที่อาจจะกำลังชักใยระโยงระยางอยู่ในตอนนั้นโทนี่ค้นพบว่านอกจากเหล้าจะไม่ช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเก่าๆที่กร่อนกินใจ แต่มันยิ่งกลับไปกวนตะกอนความแค้นที่กาลเวลากดทับมันเอาไว้ ให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเขาหยัดร่างซวนเซขึ้นมาจากพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนทรยศ...คนชั่วช้า การที่ทำแบบนี้ มันเท่ากับว่าแกกำลังล้ำเส้นฉัน” โทนี่กล่าวถึงคนที่ตนกำลังโกรธ สาดเสียงสบถไปในความว่างเปล่า นอนฟังน้ำเสียงของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้อง กังวานของมันกระทบผนังและสะท้อนกลับเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังปวดแปลบ รู้สึกแสบเหมือนโดนสุราราดรดลงกลางบาดแผลหัวใจที่กลัดหนอง ความพิโรธสะท้อ
“ไม่แน่ใจขนาดนั้นหรอกมาธาร์…แต่ถ้าจะเป็นพินัยกรรมจริง คุณพ่อก็ต้องถูกบังคับให้เซ็นอย่างแน่นอน” “แต่ก็มีพยานรับรู้อย่างถูกต้องนะคะ” มาธาร์ให้เหตุผล “จะมีประโยชน์อะไร…ถ้าพยานเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จอร์จวางเอาไว้ในกระดาน” คริสโตเฟอร์เปรียบเปรย มาธาร์หรี่ตา ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ “ถ้าคุณไม่ยอมรับพินัยกรรม หรือต้องการจะหาข้อจริงใดๆมาโต้แย้ง ก็ต้องรีบแล้วนะคะ เพราะในพินัยกรรมระบุเอาไว้ชัดว่าคุณจะต้องแต่งงานกับแซนดร้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่พินัยกรรมฉบับนี้ได้ถูกเปิด” มาธาร์เตือนด้วยความหวังดี ที่บ้านของแซนดร้า ใกล้ค่ำของวันนั้น แซนดร้าที่กำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจสุดขีด โผเข้ากอดกับซินเทียผู้เป็นแม่ ภายหลังจากตัวแทนจากสำนักงานกฏหมายที่ชื่อเดวิด แวะมาแจ้งข่าวให้แซนดร้าได้ทราบเกี่ยวกับเนื้อหาในพินัยกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเธอ “แม่ได้ยินเหมือนกับที่หนูได้ยินใช่ไหมคะ” แซนดร้าละล่ำละลัก ถามออกมาด้วยความดีใจเหมือนต้องการคนยืนยัน ทันทีที่ร่างท้วมของเดวิดหายลับไปที่เบื้องหลังประตู “จริงแท้ที่สุด…แม่ดี
เป็นเพราะจอร์จให้ความเคารพโจนาธาน จอร์จไม่อยากได้ยินใครเอ่ยถึงใจนาธานในเชิงตำหนิติติงหรือลบหลู่เกียรติ“คุณท่านมีเหตุผลที่ทำแบบนี้…” จอร์จสัมทับความเห็น“ไม่รู้สึกหรือว่ามันออกจะแปลกพิลึก” คริสโตเฟอร์สงสัย“ผมเองก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อไหนฟังดูพิลึกอย่างที่คุณว่า” จอร์จยืนกราน“ข้อสุดท้ายไง” ชายหนุ่มสวนขึ้นทันที“ข้อสุดท้ายรึ!…ผมก็ไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน ในเมื่อคุณกับแซนดร้าก็รักกัน ใครๆก็รู้ว่าคุณทั้งคู่ คบหาดูใจกันอยู่ การที่คุณพ่อของคุณต้องการให้คุณแต่งงานโดยด่วนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าท่านไม่อยากให้คุณต้องอยู่คนเดียว ไม่อยากให้คุณเหงา การมีใครสักคนดูแลเป็นเรื่องจำเป็นนะครับ และเรื่องที่ระบุให้คุณแต่งงาน ก็คงเพราะท่านมองการณ์ไกลไปถึงทายาทที่จะสืบสกุลต่อไป” จอร์จให้เหตุผล ซึ่งก็ฟังดูไม่เลวนักทว่าในความรู้สึกของคนที่ต้องรับผลแห่งพินัยกรรมกลับมองว่ากำลังโดนบังคับอย่างแรงคริสโตเฟอร์ยังเชื่อว่าโดยพื้นฐานอุปนิสัยของอุปนิสัย เขาไม่ใช่พ่อที่เผด็จการ ไม่เคยบังคับฝืนใจตนมาแต่ไหนแต่ไร คริสโตเฟอร์มองว่าความรักเหมือนการเดินทาง ผู้หญิงที่คบหาก็ล้วนแต่อยู่ในระหว่างดูใจกันทั้งสิ้น และความไม่แน่นอนในความ
แววตาของจอร์จในขณะนั้น ไม่ต่างอะไรกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มองเห็นประกายความไม่ซื่อสัตย์กำลังวูบไหวอยู่ในดวงตาที่จอร์จเองก็ทำเหมือนว่าจงใจที่จะไม่ปิดซ่อนมันอีกต่อไปความเงียบนำไปสู่ความตึงเครียดได้อย่างไม่น่าเชื่อ จอร์จปลดกระดุมเม็ดแรกตรงปกเสื้อที่ติดจนชิดลำคอออกช้าๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัด คลายเนคไทให้พอรู้สึกสบาย แม้อากาศในขณะนั้นก็ไม่ร้อน ทว่ากลับแลเห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วหน้าผากเถิกกว้างของเขา“ธุระที่ว่า…แค่นี้ใช่ไหมจอร์จ” ทายาทเจ้าของคฤหาสน์ถาม “ครับ…ผมแวะมาเพื่อที่จะบอกว่าจะเปิดพินัยกรรมในวันพรุ่งนี้ ตามที่ท่านได้สั่งเอาไว้กับทางสำนำนักงานกฎหมายว่าหนึ่งสัปดาห์ภายหลังการตายของท่าน ให้เปิดอ่านพินัยกรรมได้” จอร์จกล่าวทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็ลากลับออกไปเงียบๆคริสโตเฟอร์ยังคงครุ่นคิดถึงพินัยกรรมซึ่งตนเองก็เพิ่งได้รู้มาจากปากของจอร์จว่ามีอยู่ อดไม่ได้ที่จะนึกไปในทางร้าย ทว่าท้ายที่สุดก็พยายามคิดว่าโจนาธานอาจจะต้องการให้ทุกอย่างถูกต้อง ลายลักษณ์อักษรอาจช่วยให้ทุกอย่างสมบูรณ์ ผู้เป็นพ่อคงไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นกับทายาทในภายหลัง แต่หากจะคิดไปในทางร้าย ก็อาจมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
“นี่มันถึงขั้นคอขาดบาดตายเชียวนะคะคุณคริสโตเฟอร์ ป้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจอร์จจะทำอย่างนั้นได้ จอร์จเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้าน เป็นคนสนิทที่คุณโจนาธานไว้วางใจที่สุดเลยก็ว่าได้” เสียงนั้นเบาจนเกือบกระซิบ “ก็เพราะความไว้วางใจนี่แหละ...ที่ฆ่าคุณพ่อ”แม้จะต้องสืบเสาะความจริงต่อ แต่น้ำเสียงของคริสโตเฟอร์ก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้มีเค้ามูลความจริง“ช่วยเล่าเรื่องของจอร์จให้ผมฟังทีเถอะ”โตเฟอร์ทำราวกับว่าผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่เขาเริ่มสงสัย ว่าเขาอาจจะยังไม่รู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ดีพอ เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ยังโผล่ไม่พ้นขอบฟ้า แสงสลัวของยามเช้าโรยตัวอยู่เหนือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตระหง่านง้ำอยู่ท่ามกลางอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลมาหลายสิบปีที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ ทันทีที่รถม้าจอดสนิท แลเห็นชายร่างท้วมใหญ่กำลังก้าวมาตามทางเดินเล็กๆที่ราดโรยเอาไว้ด้วยก้อนกรวดหยาบๆ เชื่อมต่อกับอิฐสีน้ำตาลเข้มที่ทอดไปสู่ประตูทางเข้าของตัวคฤหาสน์ หญ้าเขียวๆแซมอยู่ในรอยห่างของอิฐแต่ละก้อน“สวัสดีจอร์จ” มาธาร์เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน หล่อนตื่นแต่เช้าตรู