“ลุงเดลหายไปไหนเสียนานคะ?” ซาบรีน่าถามด้วยความแปลกใจ ร่างน้อยๆช้อนสายตา แหงนใบหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของเขา
เดลไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับฟาร์มแห่งนี้ เขาเคยแวะเวียนมาหลายครั้ง เด็กหญิงยังคงจดจำการมาครั้งสุดท้ายของเขาได้ ไม่เคยลืม ทว่านั่นก็นานมากแล้ว
“ลุงต้องไปทำงานไกลถึงดาร์วิน* ถ้าลุงว่างเมื่อไร ลุงสัญญาว่าจะแวะมาหา”ชายวัยกลางคนกล่าว ยืนยันและให้สัญญาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น จากนั้นก็ละสายตาจากใบหน้าน้อยๆ มองไปยังบ้านไม้เก่าคร่ำ สงบอยู่ในความสลัวเลือนของรัตติกาลที่กำลังคลี่คลุมลงมาช้าๆ
แม้สภาพของบ้านที่เห็นจะเก่ามาก ทว่าสภาพซึ่งทรุดโทรมของมันก็ไม่ได้ขัดแย้งกับสภาพโดยรวมของฟาร์มที่ถูกทิ้งร้าง ทุกๆอย่างที่นี่ล้วนถูกทิ้งร้าง...รวมถึงชีวิตของสองแม่ลูกที่ยังต้องอาศัยฟาร์มแห่งนี้เป็นที่ซุกหัวนอน
------ดาร์วิน (Darwin)* คือเมืองหลวงที่อยู่ในนอร์เทิร์นเทอร์ริทอรี (Northern Territory) ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ทางตอนเหนือและตอนกลางของออสเตรเลีย เนื้อที่ส่วนใหญ่แห้งแล้ง มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงร้อยละ 10 ภูมิอากาศไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่เป็นแหล่งผลิตเหล้าไวน์ชั้นเยี่ยม
----------
“แม่อยู่ไหม?” เดลหันมาถามยิ้มๆ
“อยู่ค่ะ” เสียงใส เอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากน้อยๆเดลล้วงกระเป๋ากางเกง ควักสตางค์เหรียญออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นให้กับเด็กหญิงตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู
มันเป็นสิ่งที่รู้กันระหว่างเดลกับเด็กหญิง ทุกครั้งที่เดลมา เขาจะให้เงินซาบรีน่า เงินซึ่งเดลก็มีไม่มาก เพราะฐานะของเดลก็ไม่ต่างจากกรรมกรที่หาเช้ากินค่ำ หากเขาก็ยังมีน้ำใจ ทำให้ซาบรีน่าซาบซึ้ง จดจำเขาได้ ไม่เคยลืมในน้ำใจของเดล ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“เอาไปซื้อขนมนะ” เขากล่าวพร้อมกับส่งเงินให้เด็กหญิงในวัย 13 ขวบ รีบเอื้อมมือน้อยๆออกมารับด้วยอาการดีใจ
เดลสังเกตได้ถึงมือของซาบรีน่าที่สั่นเบาๆ ดวงตากลมโตคู่นั้นดูสุกใสราวกับดวงดาว วาวเรืองด้วยหยาดแววชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ความไร้เดียงสาทำให้ดวงหน้าน้อยๆไม่อาจซุกซ่อนความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ได้
เดลเห็นประกายตาสีฟ้าของเด็กหญิงแล้วอดที่จะนึกสะท้อนใจไม่ได้ ซาบรีน่าสวยเหมือนนางฟ้า เธอน่าจะไปเกิดในที่ซึ่งดีกว่านี้ แต่น่าอนาถที่ชีวิตของนางฟ้าตัวน้อยๆคนนี้กลับถูกลิขิตให้เกิดมาจากพ่อซึ่งเป็นคนขี้เหล้าเมายา บ้าการพนันจนนำพาเอาความหายนะมาสู่ครอบครัว
ดีที่ซาบรีน่าได้เค้าโครงหน้าสะสวยมาจากแม่ ไม่ว่าจะเป็นริมฝีปาก ดวงตา ผิวพรรณ เมื่อประกอบเข้าด้วยกันทำให้ซาบรีน่ากลายเป็นเด็กหญิงที่เปี่ยมเสน่ห์ ฉายแววความสวยตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะเติบโตเป็นสาว
เดลชอบดวงตาของซาบรีน่า มันเป็นดวงตาที่ไร้เดียงสา ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์สดใส เพราะข้อดีของความเป็นเด็กนี้เองที่ทำให้ซาบรีน่ายังมองไม่เห็นความทุกข์ ยังไม่รู้จักขวากหนามแห่งโชคชะตา ยังไม่เข้าใจถึงความซับซ้อนของอุปสรรคมากมายที่ชีวิตของเธอกับแม่กำลังถูกทดสอบ
“เย้ๆๆๆ...ลุงเดลใจดีจังเลย”นางฟ้าตัวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ย่อคล้ายถอนสายบัว รีบรับเงินจากมือของเดล
จากนั้นเท้าน้อยๆก็พาร่างเล็กๆละลิ่วโลดออกไปด้วยความรวดเร็ว จนลับสายตาที่หน้าฟาร์ม ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ เพราะความตื่นเต้นดีใจที่มีมากกว่า ในใจของซาบรีน่านึกถึงแต่ความเย้ายวนของลูกกวาดสีสันสดใจ อวดเอาไว้ในขวดโหล เรียงรายอยู่ที่หน้าร้าน
เพียงเท่านั้นเด็กหญิงลืมทุกอย่าง คิดเพียงว่า ‘นานแค่ไหนแล้วที่มือของเธอไม่ได้แตะต้องเงิน แม้จะเป็นเงินเหรียญก็เถอะ! นานแค่ไหนแล้วที่ปากลิ้นไม่ได้สัมผัสรสชาติของขนมหวาน’
สิ่งที่ซาบรีน่าคิดถึงที่สุดในตอนนั้น ก็คือร้านขายของชำของจอห์น ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากฟาร์ม และเป็นร้านเดียวที่มีอยู่ในละแวกนี้
เสร็จจากผูกม้าเอาไว้ใกล้ๆกับกองหญ้าแห้งและน้ำในถังแกลอนใบเขื่อง เสียงม้ากำซาบน้ำในถังเสียงดังซวบซาบด้วยความกระหายจากการรอนแรมมาไกลจนน้ำลายฟูมเหนียว ม้ากระหายน้ำ แต่เดลรู้สึกกระหายความรักเหลือเกิน เขารีบก้าวยาวๆไปที่หลังบ้าน หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกที เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขาเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเธอ ทุกค่ำคืนไม่เคยขาดที่หลังบ้าน โซเฟียกำลังสาละวนอยู่กับหม้อซุปตรงหน้า เธอไม่ได้สังเกตถึงการมาของเขา จมูกของเดลได้กลิ่นซุปข้าวโพดโชยออกมาถึงภายนอก หิวอาหารไม่เท่ากับหิวเสน่ห์หาที่มีต่อแม่ครัวซึ่งเป็นคนปรุง
เมื่อยื่นใบหน้าผ่านพ้นประตูเข้ามา ผู้หญิงเรือนร่างรัดรึงสมส่วน ใบหน้าสะสวย ผิวพรรณขาวสะอ้าน สวมกระโปงสีขาวซีด ชายกระโปรงยาวรุ่ยร่ายเรี่ยพื้น เสื้อคอปาดสีดำ ตัดกันชัดกับเนินอกเนียนขาว คาดผ้ากันเปื้อนสีขาวไว้รอบเอวคอด กำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเตาถ่าน ง่วนงุ่นอยู่กับหม้อซุปตรงหน้า
“โซเฟีย” กระแสเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก สีหน้าอัดแน่นไว้ด้วยความปรารถนา พร้อมๆกับถลาเข้าสวมกอดเอวเธอจากด้านหลัง
“เดล…” โซเฟียอุทานด้วยความตกใจระคนดีใจ เดลทำให้ทัพพีในมือของเธอเกือบร่วง สีหน้าตระหนกคลายลงทันใด เมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่เธอแอบนับวันคอย
“คุณกลับมาแล้วจริงๆ”
น้ำเสียงของโซเฟียบ่งบอกถึงความดีใจที่มิอาจประมาณ สองมือน้อยๆลูบสัมผัสไปทั่วใบหน้าชื้นเหงื่อของคนมาไกล เดลระดมจูบไซ้ ไล่เรื่อยจากลำคอขึ้นมาถึงท้ายทอย กระหยิ่มใจในอาการตอบสนองของเธอ รีบเบียดกายกำยำเข้าหาบั้นท้ายกลมกลึง บดคลึงจนโซเฟียรู้สึกได้ในความเครียดเขม็งของเขา
“คิดถึงเหลือเกิน” เดลละล่ำละลักไปตามอารมณ์ปรารถนา จ้วงจูบไม่ยั้ง ใช้ทั้งจมูกและปากตักตวงไปตามเนื้อตัวของโซเฟีย กอดจูบผู้หญิงตรงหน้าด้วยความกระหาย ชดเชยให้กับช่วงเวลาที่ห่างเหินกันนาน
เดลหายหน้าไปนานกว่าสามเดือน เขาเพิ่งเสร็จจากงานรับจ้างต้อนฝูงวัวหลายพันตัว เพื่อข้ามไปส่งให้กับฟาร์มปศุสัตว์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่อีกรัฐ แต่ละวันของชีวิตต้องผ่านไปพร้อมกับงานกลางแจ้ง นอนกลางดินกินกลางทราย ค่ำไหนนอนนั่น ทุกที่คือบ้าน เผชิญชะตาท่ามกลางผืนแผ่นดินราบโล่ง แล้ง ร้อน ราวกับทะเลทราย แต่
พอตกดึกก็หนาวร้าวเข้าไปถึงกระดูก ชีวิตแทบไม่เคยอยู่ติดกับที่ แรมรอนเหมือนคนที่ถูกสาปให้ชีพจรลงเท้ามาโดยตลอด “อย่าเดล…เดี๋ยว” ทั้งที่คล้อยเคลิ้มไปกับการปลุกเร้าของเขา ทว่าเธอก็อดทัดทานไม่ได้ “ไม่มีอะไรให้ต้องรออีกแล้วโซเฟีย…คีธไม่กลับมาแล้ว” เดลกระซิบข้างหู เพื่อให้โซเฟียคลายกังวล เขาจำต้องเอ่ยถึงความจริง เกี่ยวกับคีธผู้เป็นสามีของเธอ โซเฟียหมุนกายเบาๆ หันมาเผชิญหน้ากับเขา อยากมองใบหน้านั้นให้เต็มสองตาเดลนาบเรียวปากแห้งผากของตนลงไปบนความอิ่มนุ่มของริมฝีปากเธอ เลื่อนไล้มาจูบไซร้ซอกคอละมุนอีกครั้ง กลิ่นกายของโซเฟียเหมือนกลิ่นดอกไม้ป่าที่พยายามจะมีชีวิตอยู่ให้ผ่านหน้าแล้งเพื่อรอฝน มันเป็นกลิ่นหอมจาง หากจับใจ ชวนให้ใหลหลงโซเฟียเชยใบหน้าขึ้นเล็กน้อย เปิดซอกคอแล้วพริ้มดวงตารับสัมผัสจากเขา เธอก็ไม่อาจปฏิเสธตัวเองอีกต่อไปว่าเธอเองก็คิดถึงเขา ปริ่มปานจะขาดใจในรอยจูบนั้น ริมฝีปากและปลายลิ้นของเธอสัมผัสได้ถึงรสเหงื่อเค็มของคนเดินทางมาไกล หากในอารมณ์รอคอยของผู้หญิงที่รักร้างห่างหายไปนาน กลิ่นเหงื่อกลิ่นกายของบุรุษเพศ ก็ซ่านแรงเข้าไปในกวนตะกอนปรารถนาที่ตกผลึกอยู่นาน
เดลรีบช้อนร่างระทดระทวยขึ้นอุ้ม เมื่อการชมเชยเพียงภายนอกไม่อาจทำให้คนทั้งสองบรรลุในความปรารถนาที่มีต่อกัน ปลายเท้าน้อยๆของโซเฟียละลิ่วลอยจากพื้น เขาอุ้มเธอเดินดุ่มไปยังห้องนอนของเธอซึ่งอยู่ไม่ไกลเมื่อเขาวางเธอลงบนที่นอนด้วยอาการทะนุถนอม โซเฟียกระถดร่างเข้าไปใกล้หัวเตียง คว้าเอาหมอนมารองหลัง แล้วเอนพิงพนักหัวเตียง อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน มองดูเดลคลายเข็มขัด ปลดเปลื้องเสื้อผ้าลนลานเสี้ยวอึดใจ ทว่าช่างรู้สึกว่ามันยาวนานสำหรับคนรอ ร่างนั้นก็เปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าโซเฟียเหมือนเชลยศึกซึ่งเพลี่ยงพล้ำอยู่กลางสนามรบ หัวใจเต้นระส่ำ รอคอยการลงทัณฑ์อันแสนหวาน จากศาสตราวุธที่แลเห็นรูปลำน่าเกรงขามของมันเหวี่ยงไหวอยู่ในแสงแดดลำสุดท้ายของยามเย็นที่สาดลอดช่องหน้าต่างมาทางเบื้องทิศตะวันตก จากนั้นเขาก็โถมถาเข้าหาเธอที่ชันเข่ารอ “คิดถึงเหลือเกินโซเฟีย”กล่าวพร้อมกับคว้าชายกระโปรง ถลกเลิกมันขึ้นไปกองอยู่เหนือหน้าท้อง ลำตัวหนาแทรกลงกลางความอบอุ่นที่อ้ารับ เดลเริ่มเคลื่อนไหว ด้วยการคลึงขยับบั้นท้าย กระถดไถเบาๆ ทำราวกับเป็นวัวกระทิงตัวผู้ที่ตรงเข้าเกลือกกายกับกับพุ่มแพรไหมสีทองระยับ
ขณะปลายจมูกยังได้กลิ่นสวาทคละคลุ้ง เหลือบสายตามองตามสะโพกผายของโซเฟียที่สะบัดผ่านประตูห้องออกไปด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยหยัดร่างขึ้นนั่ง ก้าวเดินไปที่ท้ายเตียง ก้มลงคว้ากางเกงที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมาสวมใส่ สวมเสื้อ แล้วก้าวออกมาจากห้องนอน เดินตามโซเฟียไปที่หลังครัว “ลุงเดล” น้ำเสียงหวานใสของเด็กหญิง ตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่น ประกายตาสดใสบ่งบอกถึงความดีใจที่เห็นเขายังไม่กลับ “ได้ขนมสมใจแล้วละสิ” เดลส่งยิ้มตอบซาบรีน่า เด็กหญิงทำหน้าเป็น หันมาอวดลูกกวาดที่เพิ่งไปซื้อมาจากร้านขายของชำ โซเฟียรีบยกหม้อซุปที่เคี่ยวข้นจนไหม้ ลงจากเตาไฟ ทอดสายตามองดูอาหารมื้อค่ำ ซึ่งเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวที่มี จากนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ “วันนี้คงต้องกินซุปไหม้แล้วหละลูก”น้ำเสียงของโซเฟียเต็มไปด้วยความสำนึกผิด เธอไม่ควรเร่งรีบไปกับเดล ไม่ควรเผลอเลอถึงเพียงนี้ แต่ดวงตาของซาบรีน่าก็ไม่ได้แสดงความผิดหวังแต่อย่างใด ท่าทางของเธอสนใจขนมที่เพิ่งซื้อมา มากกว่าซุปไหม้ที่แม่กำลังบ่นถึง เดลก้าวออกมาทันเห็นภาพ และได้ยินประโยคที่โซเฟียกล่าว “ใครว่ามื้อนี้จ
ต่างก็รู้สึกผิดอยู่ในใจด้วยกันทั้งคู่ รับรู้ได้จากทุกครั้งที่มองตากัน “พรุ่งนี้ก็ต้องไปอีกแล้ว” เดลรำพึงเบาๆ บ่นถึงงานใหม่ที่เพิ่งตกลงรับเอาไว้ สีหน้าละล้าละลังเหมือนอยากค้างคืนกับเธอ ทั้งที่เคยขอหลายครั้ง แต่โซเฟียก็ปฏิเสธทุกครั้ง“ผมค้างคืนที่นี้ได้ไหม” เดลยังไม่ละความพยายาม ลองดูอีกครั้ง แววตาของเขาดูเว้าวอนจนเธอแทบใจอ่อน แต่สุดท้ายเธอก็ใจแข็งเหมือนทุกครั้ง “อย่าเลยเดล...กลับไปเยี่ยมพ่อแม่คุณเถอะ นานๆจะได้เจอกัน” โซเฟียกล่าวด้วยความเข้าใจ ในความรู้สึกของคนรอ ทั้งที่ลึกๆในใจ เธออยากรั้งเขาเอาไว้ใจจะขาด เธอรู้ว่าพ่อแม่ของเดลอยู่ในวัยชรามาก อาศัยอยู่อีกเมือง ในฟาร์มเล็กๆแห่งหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยพืชผักที่พอจะหาได้จากฟาร์ม มีความจนเป็นมรดกตกทอดมาถึงเดลซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว ทว่าในความเป็นคนจนนั้น เดลก็ได้ศักดิ์ศรีความเป็นคนสู้ชีวิตมาจากพ่อ ไม่เคยสยบยอมให้กับความข้นแค้นของชีวิต กระเสือกกระสนทุกทาง กับอุปสรรคที่ชีวิตกำลังถูกทดสอบ โซเฟียชอบในความมีน้ำอดน้ำทนของเดล เธอไม่เคยเห็นอุปนิสัยแบบนี้ในตัวของคีธผู้เป็นสามี เดลต่างจากคีธที่เขาไม่เคยเก็บเอา
รวยรินอยู่ที่ปลายจมูก คุ้นชินราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจเข้าออก ลมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย หอบเอาความแห้งแล้งมาทับถมเอาไว้ในฤดูร้อนที่แสนทรมาน ซึ่งกระแสลมเดียวกันนี้เอง ก็ทำให้ฝนตกในฤดูหนาว ประกอบกับมีพื้นที่บางส่วนที่ปรากฏเป็นทะเลทราย กระจัดกระจายอยู่มากมาย บางครั้งก็ส่งอิทธิพลทำให้อากาศวิปริตผิดเพี้ยนจนเพาะปลูกพืชผลไม่ได้ แต่ทุกชีวิตก็พยายามปรับตัวกับความแปรปรวนของสภาพอากาศที่แห้งแล้งในตอนกลางวัน และหนาวจัดในตอนกลางคืน โซเฟียเลาะเลียบไปตามเส้นทางดินเล็กๆ แลเห็นแสงไฟริบหรี่เล็ดลอดออกมาจากฝาบ้านซึ่งมีรูรั่วของนอร่าห์เมื่อเข้าไปใกล้ กระทั่งถึงหน้าประตูบ้านก๊อกๆๆ…..เธอเคาะประตู พร้อมกับส่งเสียงเรียกเบาๆ เพื่อให้เจ้าของบ้านรับรู้ถึงการมาของเธอ “นอร่าห์” โซเฟียเรียก รอฟังเสียงตอบรับของนอร่าห์อยู่ชั่วอึดใจสั้นๆ จากนั้นเสียงคลายกลอนประตูก็ดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับร่างของนอร่าห์ปรากฏขึ้นตรงหน้า “โซเฟีย” นอร่าห์เรียกชื่อของเธอ แววตาดีใจ ทักทายกันด้วยการสวมกอดเบาๆ หลังจากสามีของนอร่าห์จากไป นานมากแล้ว ที่หล่อนแทบไม่ได้เ
ในความขมขื่นนั้น กลับมีความอุ่นซ่านขึ้นมาได้อย่างแปลกประหลาด หลังจากเดินตากความหนาวมาจากบ้าน นอร่าห์กระดกเหล้าตาม ง่ายดายราวกับดื่มน้ำ จากนั้นจึงเริ่มเล่าถึงเรื่องราวชีวิตของตัวเอง “เมื่อก่อน…ตอนเป็นวัยรุ่น ฉันเคยเป็นนางระบำ” หล่อนกล่าวด้วยแววตาที่เปี่ยมสุขและขมขื่นในเวลาเดียวกัน ในยามที่ต้องกลับมานึกถึงมันอีก กล่าวถึงช่วงชีวิตตอนวัยรุ่น ให้ฟังดูราวกับว่า ‘ชีวิตวัยรุ่น’ มันเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่โหดร้าย เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เป็นบททดสอบไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมีความยาก กระทั่งหลายคนไม่อาจประคับประคองให้มันผ่านไปได้ด้วยดี ตัวของนอร่าห์เองก็เช่นกัน หล่อนผ่านชีวิตวัยรุ่นมาด้วยหัวใจที่แตกกระเจิง แหลกเหลว เพราะหลงระเริงอยู่ในวังวนของแสงสี ชีวิตที่คลุกคลีอยู่กับราคะ ได้ฝากรอยราคีเอาไว้จนถึงทุกวันนี้ เงินทองทุกบาททุกสตางค์ที่นอร่าห์หาได้ ล้วนมาจากความใคร่กระหายของผู้ชายในบาร์เหล้า โซเฟียรู้สึกตกใจกับคำว่า ‘นางระบำ’ แม้พอจะรู้ว่ามันเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำและสังคมดูแคลน ทว่าเธอก็ไม่ได้แสดงออกด้วยสายตาหยามเหยียดเหมือนคนอื่นๆที่มองนอร่าห์ว่าเป็นผู้หญิง
“เธอไม่รังเกียจ แม้รู้ว่าฉันเคยเป็นโสเภณียังงั้นหรือ?” นอร่าห์เบะริมฝีปากเหมือนจะร้องไห้หล่อนไม่ควรขุดคุ้ยอดีตที่กร่อนกินใจมานาน อดีตที่เป็นเหมือนรอยด่างในดวงใจ ไม่อาจลบล้างได้ด้วยวันเวลา อดีตที่หล่อนพยายามกลบฝังมันมาตลอดชีวิต จากนั้นนอร่าห์ก็แน่นิ่ง น้ำตาคลอ ในวินาทีที่รอฟังคำตอบจากปากของโซเฟีย ราวจะหยุดหายใจ “ไม่เลยนอร่าห์…ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะต้องไปรังเกียจเธอ” โซเฟียตอบออกมาอย่างคนที่หัวใจไม่คับแคบต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน นอร่าห์ผวาเข้ากอดเธอ โซเฟียลูบหลังให้กำลังใจ ในอดีตที่ผ่านมา นอร่าห์เคยเป็นนางระบำชื่อดังอยู่ที่ไนต์คลับและบาร์เหล้าหลายแห่ง ผู้ชายน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักนอร่าห์ หล่อนเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจน เริ่มทำงานด้วยการเป็นสาวเสิร์ฟในบาร์เหล้าของปีเตอร์ มีชีวิตคลุกคลีอยู่กับกลิ่นเหล้า เคล้าควันบุหรี่มาหลายปี ก่อนตัดสินใจขึ้นไปตากไฟแสงสีบนเวทีโชว์ สาเหตุที่นอร่าห์ตัดสินใจเป็นนางระบำ เพราะรายได้จากการโชว์ในแต่ละคืน มากกว่าเงินเดือนที่ได้จากการเสิร์ฟเหล้าทั้งเดือนเลยก็ว่าได้ ในตอนนั้นนอร่าห์ไม่ได้คิดไกลไปถึงอนาคต คิดเพียงว่าร
สำคัญอันใด ทำให้เขาต้องดั้นด้นเข้ามาในฟาร์มของเธอ? ทันทีที่รถจอดสนิท ชายร่างท้วมใหญ่ผู้เป็นคนขับ ก้าวออกมาจากรถช้าๆ“คุณ คีธ สกินเนอร์อยู่ไหม” เขาสวมเสื้อกั๊กสีดำทับกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว หน้าผากของเขาดูเถิกกว้างอย่างคนมีปัญญา จมูกโด่งเป็นสัน งุ้มงอตรงปลาย แฝงเอาไว้ด้วยลักษณะของความเจ้าเล่ห์ ด้วยรูปหน้าเจ้าเนื้อ ทำให้เบ้าตานั้นแลดูไม่ลึก และดวงตาที่มีรูปทรงรียาว ทำให้เขาไม่น่ากลัวจนเกินไป เส้นผมสีเทาบนศีรษะแลดูบางจนแทบไม่หลงเหลือ เหนือริมฝีปากมีแผงหนวดดกหนา สีดอกเลา ปกคลุมเอาไว้แน่นจนแลไม่เห็นริมฝีปากบน โซเฟียไม่ได้ตอบคำถาม หัวใจเต้นระทึก นึกสังหรณ์แรงถึงความเดือดร้อนที่กำลังคลืบคลานเข้ามารางๆ พร้อมกับชายผู้นี้ หลายครั้งที่มีคนมาหาในลักษณะนี้ มักจะหนีไม่พ้นเรื่องเดือดร้อนตามมา เพราะหลายครั้งที่คีธมักจะไปก่อปัญหาเอาไว้โดยที่เธอไม่รู้ ครั้งนี้ก็เช่นกันโซเฟียรู้สึกตกใจ กลัวจนพูดอะไรไม่ออก ในวันที่เธอกับลูกสาวกำลังระทดท้อและหมดหวัง ไม่คิดว่าสายลมร้ายยังจะพัดพาเอาเคราะห์กรรมซ้ำร้ายมาทับทบให้ชีวิตของเธอกับลูกต้องทุกข์ระทมอีกหรือ เมื่อชายคนนั้นเห็นอาการกระอ
“ดึกดื่นป่านนี้ คุณหนูจะไปไหนครับ” คนรับใช้ถามด้วยความแปลกใจ“ไปบ้านของจอร์จ…เร็ว! แล้วอย่าถามอะไรมาก”จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนออกไปด้วยความรวดเร็ว เสียงเท้าของแซนดร้าที่วิ่งลงบันไดบ้านไปเมื่อครู่ เสียงเฟืองและล้อรถม้าที่เสียดสีกับพื้นกรวดจากการออกตัวด้วยความเร็ว ดังขึ้นไปถึงชั้นบนของบ้าน โทนี่และซินเทียที่กำลังวิวาทะกันอยู่ในขณะนั้น รีบชะโงกหน้าออกมามอง“แซนดร้า…นั่นลูกจะไปไหน”ด้วยความตกใจ ซินเทียตะโกนไล่หลังรถม้าที่กำลังจะพาร่างของแซนดร้าหายลับไปในราตรีกาลอันมืดมิดจอร์จส่ายหน้า…น้ำตาซึม นึกตำหนิในอารมณ์ชั่ววูบของตนเอง ถ้าแซนดร้าเป็นอะไรไป เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นอันขาดสองเดือนผ่านไป“ช่างเป็นชุดแต่งงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด…” ซาบรีน่าซึ่งอยู่ในชุดวิวาห์ ดวงหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม รำพึงออกมาลอยๆ มองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก “เธอตะหากที่สมบูรณ์แบบ…ไม่ใช่ชุดแต่งงานสักหน่อย”คริสโตเฟอร์ในชุดเจ้าบ่าวสีเทาขรึม ก้าวเข้ามาใกล้ ทาบร่างกายกำยำใหญ่เอาไว้ที่ด้านหลังของซาบรีน่า กอดและก้มกระซิบเบาๆที่หลังใบหูเพียงปีแรกหลังแต่งงาน ทั้งสองก็ได้ทายาทเป็นลูกชายไว้สืบสกุล และอีกปีถัด
โทนี่ถอดหมวก ถอดเสื้อโค้ทสีดำออกช้าๆ แขวนไว้ที่หลังประตูแล้วก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านโดยไม่ลืมมองไปที่ห้องนอนของแซนดร้าผู้เป็นลูกสาว พบว่าเธอไม่อยู่ จำได้ว่าแซนดร้าบอกเอาไว้ว่าจะออกไปหาคริสโตเฟอร์ เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรมที่ทำให้แซนดร้าดีใจจนเนื้อเต้น “ยังไม่นอนอีกหรือ” โทนี่ถามภรรยาที่ทอดร่างอยู่บนเตียงนอน อดสะท้อนใจไม่ได้ว่าแม้เธอจะยังไม่หลับ ก็ไม่ได้หมายความว่าซินเทียกำลังรอคอยการกลับมาของเขา “คุณหายไปไหนตั้งนาน” ซินเทียถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ห่วงฉันด้วยหรือ” สามีขมวดคิ้ว นิ่วหน้า “ถามอะไรอย่างนั้น...ถามเหมือนคุณไม่รู้ใจฉัน คุณเป็นสามีของฉันนะโทนี่” ซินเทียตัดพ้อโทนี่อยากจะตอบว่า ‘ใช่…ฉันไม่เคยรู้ถึงจิตใจลึกๆของเธอเลย…ซินเทีย’ทว่าสุดท้าย เขาก็เก็บถ้อยคำยอกย้อนนั้นเอาไว้ในใจ “ไม่ห่วงคุณแล้วจะห่วงใคร…คุณเป็นสามีฉันนะโทนี่” เธอกล่าวให้เขาได้คิด “สามียังงั้นรึ!....ช่วยบอกหน่อยเถอะว่าฉันควรจะภาคภูมิใจกับตำแหน่งนี้ใช่ไหม?” โทนี่ทำน้ำเสียงเย้ยหยัน เหมือนกับคนที่สูญสิ้นศรัทธาในชีวิตคู่ของตนมานานแล้ว ซินเทียขมวดคิ้
สีหน้าของโทนี่เต็มไปด้วยความขมขื่น นิ่งฟังเสียงตึงตังของเตียงที่เคลื่อนไปกระแทกผนัง ดังอยู่เป็นจังหวะที่ต่อเนื่องและยาวนาน ยิ่งได้ยินยิ่งโกรธแค้น ชิงชัง และริษยาจอร์จที่บรรเลงลีลารักได้ยาวนานโดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ไม่เหมือนกับเขาที่มักจะล้มเหลวในทุกครั้ง จากความบกพร่องของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวของกับการกลั้นเกร็งการหลั่งซึ่งไม่อาจบังคับได้อวัยวะชิ้นนั้นมันอยู่เหนือการควบคุมของเขามานานแล้ว สืบเนื่องมาจากประสาทรับความรู้สึกบางส่วนได้ถูกทำลายลงไปพร้อมๆกับการผ่าตัด ภายหลังจากอุบัติเหตุตกม้า โทนี่คว้าเหล้าในขวดขึ้นมากระดกดื่มเหมือนน้ำ สบถด่าตัวเองอยู่ในใจด้วยถัอยคำหยาบโลน ถ้าไม่ใช่เพราะตัวเองที่อ่อนแอทั้งกายและใจ ซินเทียคงหนักแน่นพอที่จะประคับประคองความซื่อสัตย์ต่อกันเอาไว้ได้ เขาคงไม่ตกอยู่ในสภาวะอันทุกข์ตรมขมขื่นเช่นนี้ จากนั้นไม่นาน โทนี่ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เขาหลับลงเพราะฤทธิ์สุราที่กรอกลงคอเพื่อให้ลืมทุกอย่างในชีวิต แม้รู้ดีว่าเหล้าอาจช่วยบิดเบือนความจริงอันเจ็บปวดได้ในช่วงสั้นๆก็ตาม จากเหตุการณ์อัปยศที่กำลังดำเนินอยู่นั้น โทนี่แทบจะไม่โทษซินเทีย เขาโยนความผิ
อีกครั้ง รั้งบั้นท้ายเปลือยร่อนไว้ในตำแหน่งที่พร้อมจะรองรับบางสิ่งซึ่งกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่กันและกันหล่อนผ่อนลมหายใจเหมือนจะนับถอยหลัง ไม่ได้เหลียวกลับไปมอง หากก็เดาได้ถึงความเครียดเขม็งที่จรดเล็งลงตรงหลืบลับในสรีระของหล่อนเพียงพรวดสั้นๆ…ที่หล่อนจำต้องกัดฟันด้วยความทรมาน เสี้ยวสั้นๆที่เปลี่ยนสถานะความสัมพันธ์ของเธอและเขาตลอดไป ซินเทียสูดและพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างสับสน แบ่งรับแบ่งสู้กับความรู้สึกที่เติมเต็มเข้ามารุนแรงเหล้าหลายแก้วที่หล่อนดื่ม ความมึนเมาในตอนนั้น ทำให้โซเฟียไม่ได้ฉงนใจกับความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น ทว่าความรู้สึกอึดอัด รัด แน่น ก็ยืนยันว่า ‘ไม่ใช่โทนี่อย่างแน่นอน’เมื่อได้สติ…โซเฟียพยายามสะบัดสะโพกหนี หากเขาก็ดำดิ่งสู่แอ่งอารมณ์ของหล่อนไปแล้ว ความรู้สึกของซินเทียในตอนนั้น มันเหมือนกับมีรถไฟขบวนใหญ่ที่กำลังเคลื่อนผ่านเข้าไปในอุโมงค์ความปรารถนาอันมืดมิดและคับแคบของเธอ ซินเทียเหมือนผู้หญิงที่กำลังหวาดกลัวความมืด ได้แต่ภาวนาให้ความยาวลึกของรถขบวนนั้นเคลื่อนผ่านไปเสียที ยิ่งช้ายิ่งอึดอัด ยิ่งนานยิ่งทรมาน แต่เมื่อถึงที่สุดของมัน…กลับรู้สึกทรมานยิ่งกว่า ราวกับว่านรกและสวรรค์ได้ม
เหล้ารัมอีกขวดหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่นาน โทนี่ใช้มือหมุนขวดเปล่าไปมา มองดูมันกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ขวดเหล้าไม่ต่างอะไรกับจิตใจของเขาในตอนนั้น บางครั้งก็มั่นคง แข็งแกร่ง ทว่าอยู่ๆกลับอ่อนแอ ล้มลงอย่างไม่เป็นท่า กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนขวดเหล้า ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตของโทนี่ ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่ไร้ค่าขนาดนี้จากนั้นเขาก็ทอดร่างลงเหยียดยาว นอนหงายที่กลางพื้น มือก่ายหน้าผาก กวาดสายพาพร่าพรางไปที่เพดานบ้าน ราวกำลังค้นหาแมงมุมสักตัวที่อาจจะกำลังชักใยระโยงระยางอยู่ในตอนนั้นโทนี่ค้นพบว่านอกจากเหล้าจะไม่ช่วยให้เขาหยุดคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเก่าๆที่กร่อนกินใจ แต่มันยิ่งกลับไปกวนตะกอนความแค้นที่กาลเวลากดทับมันเอาไว้ ให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเขาหยัดร่างซวนเซขึ้นมาจากพื้นด้วยดวงตาแดงก่ำ “คนทรยศ...คนชั่วช้า การที่ทำแบบนี้ มันเท่ากับว่าแกกำลังล้ำเส้นฉัน” โทนี่กล่าวถึงคนที่ตนกำลังโกรธ สาดเสียงสบถไปในความว่างเปล่า นอนฟังน้ำเสียงของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้อง กังวานของมันกระทบผนังและสะท้อนกลับเข้าไปถึงหัวใจที่กำลังปวดแปลบ รู้สึกแสบเหมือนโดนสุราราดรดลงกลางบาดแผลหัวใจที่กลัดหนอง ความพิโรธสะท้อ
“ไม่แน่ใจขนาดนั้นหรอกมาธาร์…แต่ถ้าจะเป็นพินัยกรรมจริง คุณพ่อก็ต้องถูกบังคับให้เซ็นอย่างแน่นอน” “แต่ก็มีพยานรับรู้อย่างถูกต้องนะคะ” มาธาร์ให้เหตุผล “จะมีประโยชน์อะไร…ถ้าพยานเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่จอร์จวางเอาไว้ในกระดาน” คริสโตเฟอร์เปรียบเปรย มาธาร์หรี่ตา ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้ “ถ้าคุณไม่ยอมรับพินัยกรรม หรือต้องการจะหาข้อจริงใดๆมาโต้แย้ง ก็ต้องรีบแล้วนะคะ เพราะในพินัยกรรมระบุเอาไว้ชัดว่าคุณจะต้องแต่งงานกับแซนดร้าภายในหนึ่งเดือนหลังจากที่พินัยกรรมฉบับนี้ได้ถูกเปิด” มาธาร์เตือนด้วยความหวังดี ที่บ้านของแซนดร้า ใกล้ค่ำของวันนั้น แซนดร้าที่กำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจสุดขีด โผเข้ากอดกับซินเทียผู้เป็นแม่ ภายหลังจากตัวแทนจากสำนักงานกฏหมายที่ชื่อเดวิด แวะมาแจ้งข่าวให้แซนดร้าได้ทราบเกี่ยวกับเนื้อหาในพินัยกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับเธอ “แม่ได้ยินเหมือนกับที่หนูได้ยินใช่ไหมคะ” แซนดร้าละล่ำละลัก ถามออกมาด้วยความดีใจเหมือนต้องการคนยืนยัน ทันทีที่ร่างท้วมของเดวิดหายลับไปที่เบื้องหลังประตู “จริงแท้ที่สุด…แม่ดี
เป็นเพราะจอร์จให้ความเคารพโจนาธาน จอร์จไม่อยากได้ยินใครเอ่ยถึงใจนาธานในเชิงตำหนิติติงหรือลบหลู่เกียรติ“คุณท่านมีเหตุผลที่ทำแบบนี้…” จอร์จสัมทับความเห็น“ไม่รู้สึกหรือว่ามันออกจะแปลกพิลึก” คริสโตเฟอร์สงสัย“ผมเองก็ไม่เห็นว่าจะมีข้อไหนฟังดูพิลึกอย่างที่คุณว่า” จอร์จยืนกราน“ข้อสุดท้ายไง” ชายหนุ่มสวนขึ้นทันที“ข้อสุดท้ายรึ!…ผมก็ไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน ในเมื่อคุณกับแซนดร้าก็รักกัน ใครๆก็รู้ว่าคุณทั้งคู่ คบหาดูใจกันอยู่ การที่คุณพ่อของคุณต้องการให้คุณแต่งงานโดยด่วนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าท่านไม่อยากให้คุณต้องอยู่คนเดียว ไม่อยากให้คุณเหงา การมีใครสักคนดูแลเป็นเรื่องจำเป็นนะครับ และเรื่องที่ระบุให้คุณแต่งงาน ก็คงเพราะท่านมองการณ์ไกลไปถึงทายาทที่จะสืบสกุลต่อไป” จอร์จให้เหตุผล ซึ่งก็ฟังดูไม่เลวนักทว่าในความรู้สึกของคนที่ต้องรับผลแห่งพินัยกรรมกลับมองว่ากำลังโดนบังคับอย่างแรงคริสโตเฟอร์ยังเชื่อว่าโดยพื้นฐานอุปนิสัยของอุปนิสัย เขาไม่ใช่พ่อที่เผด็จการ ไม่เคยบังคับฝืนใจตนมาแต่ไหนแต่ไร คริสโตเฟอร์มองว่าความรักเหมือนการเดินทาง ผู้หญิงที่คบหาก็ล้วนแต่อยู่ในระหว่างดูใจกันทั้งสิ้น และความไม่แน่นอนในความ
แววตาของจอร์จในขณะนั้น ไม่ต่างอะไรกับสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มองเห็นประกายความไม่ซื่อสัตย์กำลังวูบไหวอยู่ในดวงตาที่จอร์จเองก็ทำเหมือนว่าจงใจที่จะไม่ปิดซ่อนมันอีกต่อไปความเงียบนำไปสู่ความตึงเครียดได้อย่างไม่น่าเชื่อ จอร์จปลดกระดุมเม็ดแรกตรงปกเสื้อที่ติดจนชิดลำคอออกช้าๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัด คลายเนคไทให้พอรู้สึกสบาย แม้อากาศในขณะนั้นก็ไม่ร้อน ทว่ากลับแลเห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วหน้าผากเถิกกว้างของเขา“ธุระที่ว่า…แค่นี้ใช่ไหมจอร์จ” ทายาทเจ้าของคฤหาสน์ถาม “ครับ…ผมแวะมาเพื่อที่จะบอกว่าจะเปิดพินัยกรรมในวันพรุ่งนี้ ตามที่ท่านได้สั่งเอาไว้กับทางสำนำนักงานกฎหมายว่าหนึ่งสัปดาห์ภายหลังการตายของท่าน ให้เปิดอ่านพินัยกรรมได้” จอร์จกล่าวทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็ลากลับออกไปเงียบๆคริสโตเฟอร์ยังคงครุ่นคิดถึงพินัยกรรมซึ่งตนเองก็เพิ่งได้รู้มาจากปากของจอร์จว่ามีอยู่ อดไม่ได้ที่จะนึกไปในทางร้าย ทว่าท้ายที่สุดก็พยายามคิดว่าโจนาธานอาจจะต้องการให้ทุกอย่างถูกต้อง ลายลักษณ์อักษรอาจช่วยให้ทุกอย่างสมบูรณ์ ผู้เป็นพ่อคงไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้นกับทายาทในภายหลัง แต่หากจะคิดไปในทางร้าย ก็อาจมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
“นี่มันถึงขั้นคอขาดบาดตายเชียวนะคะคุณคริสโตเฟอร์ ป้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจอร์จจะทำอย่างนั้นได้ จอร์จเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้าน เป็นคนสนิทที่คุณโจนาธานไว้วางใจที่สุดเลยก็ว่าได้” เสียงนั้นเบาจนเกือบกระซิบ “ก็เพราะความไว้วางใจนี่แหละ...ที่ฆ่าคุณพ่อ”แม้จะต้องสืบเสาะความจริงต่อ แต่น้ำเสียงของคริสโตเฟอร์ก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าเรื่องนี้มีเค้ามูลความจริง“ช่วยเล่าเรื่องของจอร์จให้ผมฟังทีเถอะ”โตเฟอร์ทำราวกับว่าผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าที่เขาเริ่มสงสัย ว่าเขาอาจจะยังไม่รู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ดีพอ เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ยังโผล่ไม่พ้นขอบฟ้า แสงสลัวของยามเช้าโรยตัวอยู่เหนือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตระหง่านง้ำอยู่ท่ามกลางอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลมาหลายสิบปีที่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ ทันทีที่รถม้าจอดสนิท แลเห็นชายร่างท้วมใหญ่กำลังก้าวมาตามทางเดินเล็กๆที่ราดโรยเอาไว้ด้วยก้อนกรวดหยาบๆ เชื่อมต่อกับอิฐสีน้ำตาลเข้มที่ทอดไปสู่ประตูทางเข้าของตัวคฤหาสน์ หญ้าเขียวๆแซมอยู่ในรอยห่างของอิฐแต่ละก้อน“สวัสดีจอร์จ” มาธาร์เป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน หล่อนตื่นแต่เช้าตรู