เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงพี่ติณก็ยังนั่งหน้าด้านอยู่ เขานั่งที่โซฟาเงียบๆ แบบเจียมตัว เพราะฉันออกคำสั่งว่าห้ามรบกวน แกร็ก! เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาเรียกความสนใจให้ฉันหันมอง คนที่เดินเข้ามาพร้อมกับกระเช้าผลไม้ทำเอาฉันตกใจมากๆ เพราะคือเฮียเหนือ เฮียเดินมาหยุดข้างๆ เตียงที่ฉันนอนอยู่ ก่อนจะเหลือบมองพี่ติณ“พ่อบอกหรอคะว่าหนูเข้าโรงพยาบาล” ฉันถามเฮียเหนือ เสียงของฉันทำให้เฮียหันกลับมา “อืม” “แล้วรินไม่มาด้วยหรอคะ” “ดูลูกอยู่ที่บ้าน” “อื้อ หนูลืมไปเลย ไม่ได้ไปเยี่ยมหลานเลยค่ะ ฝากบอกรินด้วยนะคะว่าถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้วหนูจะไปเยี่ยม” เฮียพยักหน้าตอบแล้วถามฉัน “มันมาเฝ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”“ไม่รู้ค่ะตื่นมาก็เจอแล้ว ช่วยเรียก รปภ. มาลากตัวเขาไปก็ดีนะคะ รำคาญ!” บุคคลที่ฉันกับเฮียกำลังเอ่ยถึงอยู่คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ติณ “ท้องเมื่อไหร่ไม่เห็นบอกเฮีย” เฮียเหนือถามก่อนจะพูดต่อโดยไม่รอฟังคำตอบ “ถ้าอยากหาพ่อดีๆ ให้ลูกบอกเฮียได้นะ เฮียช่วยหาให้”“มึงจะเสือกทำไมวะไอ้เหนือ!!” พอเฮียพูดแบบนั้นพี่ติณก็ตวาดถามอย่างไม่พอใจทันที แต่เฮียไม่สนใจอะไร “เฮียจะหาผู้ชายดีๆ ให้หนูหรอคะ” ฉันถามประชดใส่
ฉันปล่อยให้พี่ติณร้องไห้ของเขาไปโดยไม่สนใจ ทำเหมือนว่าเขาเป็นแค่อากาศภายในห้อง แกร็ก!! ในขณะที่ฉันนอนเล่นมือถืออยู่ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา เป็นใบข้าวที่เดินเข้ามาภายในห้อง เธอหยุดเดินแล้วหันมองพี่ติณเพราะตอนนี้เขาก็ยังร้องไห้อยู่ ใบข้าวหันมามองฉันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เธอไม่กล้าถามอะไรเพราะพี่ติณยังอยู่ตรงนี้ “ไปร้องไห้ไกลๆ ได้ไหมคะ หนูจะคุยกับเพื่อน” ฉันบอกพี่ติณด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ พี่ติณเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาแดงกล่ำใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของคราบน้ำตา เขาไม่พูดอะไรก่อนจะลุกขึ้นออกไปจากห้องเงียบๆ “ยัยน้ำมนต์นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ติณร้องไห้หนักแบบนั้น” พอพี่ติณออกไปจากห้องแล้วใบข้าวก็รีบถามเข้าประเด็นทันที “แกไม่เห็นต้องสนใจเลย” ฉันตอบปัดๆ เพราะไม่อยากจะพูดถึงให้มากความ “มันก็จริงที่ฉันไม่เห็นต้องสนใจ แต่มันก็อดสงสัยไม่ได้นะ เขาร้องไห้หนักขนาดนั้นแต่แกนั่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”“เมื่อก่อนตอนที่ฉันร้องไห้พี่ติณก็นิ่งเฉยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางครั้งเขาตวาดใส่ฉันด้วยซ้ำ”“อื้อ ฉันเข้าใจแก” ใบข้าวพยักหน้าเข้าใจถึงความหมายที่ฉันอยากจะสื่อ “แอนนากับไ
แววตาของพี่ติณมันเต็มไปด้วยความหวาดระแวง แต่นั่นมันทำให้ฉันกลัวยิ่งกว่า ฉันกลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆ อย่างที่พูด“ถ้าทำแบบนั้นทุกคนจะเกลียดพี่ติณมากกว่าเดิม รวมทั้งหนูด้วย” ฉันพูดเพื่อเรียกสติเขา “ถ้าไม่อยากให้ทำก็อย่าบีบบังคับฉันไปมากกว่านี้” ในตอนนี้ดวงตาของพี่ติณเริ่มแดงกล่ำขึ้นเรื่อยๆ “มันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับไม่ใช่หรอคะ”“แต่การพรากเธอไปไกลจากฉันขนาดนั้นมันสมควรหรอวะ!!” “หนูไปเดี๋ยวก็กลับ ไม่ได้อยู่ที่นั่นตลอดชีวิตสักหน่อย” ตอนนี้ฉันต้องพูดอย่างใจเย็นกับเขาเพื่อป้องกันตัวเอง หากพูดอะไรที่มันแรงๆ ใส่ พี่ติณคงได้ทำอย่างที่พูดแน่ๆ “ต้องไปนานแค่ไหน อาทิตย์ เดือน หรือปี ?” “…หนูไม่รู้เหมือนกันค่ะ”“ฉันไม่อยากให้เธอไป ไม่อยากให้เธอห่างจากตัวไกลขนาดนั้น” “แต่พี่ติณไม่มีสิทธิ์รั้งหนูไว้นะคะ” “……” เมื่อฉันพูดแบบนั้นก็เป็นอีกครั้งที่พี่ติณเงียบ หัวคิ้วของเขาขมวดชนกันยุ่งเหยิงทำให้พอจะรู้ได้ว่าตอนนี้เจ้าตัวเป็นกังวลมากขนาดไหน “ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเธอแล้วก็จริง แต่ฉันมีสิทธิ์ในตัวลูก”“เรื่องนั้นรอให้คลอดก่อนค่อยว่ากันก็ได้ค่ะ” “ฉันไม่อยากให้เธอไป ขอเป็นครั้งสุดท้าย….” พี่ติณจับมือของฉั
“เธอก็รู้ว่าเมื่อก่อนฉันชอบทำเรื่องพวกนี้มากขนาดไหน แล้วเธอก็ยอมมาตลอด” น้ำเสียงเย็นยะเยือกนั้นทำเอาฉันเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว “สัญญากันแล้วนี่คะว่าจะไม่ทำ ตอนนี้พี่ติณไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรกับตัวหนูก็ได้” ฉันพยายามรั้งมือของเขาเอาไว้แต่ด้วยแรงของผู้ชายทำให้ไม่สามารถต้านทานได้ “ฉันรู้ว่าเธอไม่อนุญาตให้ทำแน่ๆ แต่ฉันแค่อยากใช้นิ้วทำให้ เผื่อเธอจะผ่อนคลาย”“บอกให้หยุดคิดลามกไง หนูไม่ใช่คนประเภทนั้น…อ๊ะ~” ในขณะที่พูดอยู่นิ้วใหญ่ของพี่ติณได้แตะมาโดนจุดหวงแหน นั่นทำให้ฉันเผลอหลุดเสียงที่น่าอายออกไป “อะ เอามืออกไปนะเดี๋ยวมีใครมาเห็น” “ขอใช้นิ้วทำให้” ฉันไม่รู้ว่าเรื่องมันมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง ทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่ติณเขากังวลและคิดไม่ตก แต่ตอนนี้แววตาคู่นั้นมันเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “หนูไม่ต้องการ” “เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอต้องการเอง” “บอกว่ามะ…อื้อ~” เสียงของฉันมันขาดหายไปเมื่อถูกใบหน้าคมคายก้มลงมาประกบริมฝีปากจูบที่ริมฝีปาก ฉันพยายามใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบรัวที่แผงอกแกร่งเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ก็ถูกฝ่ามือใหญ่รวบข้อมือทั้งสองข้างขึ้นมาขึงตรึงเอาไว้เหนือศรีษะ เขาทำแบบนั้นด้วยมือเพ
คำถามที่รู้ทันของพี่ติณทำให้ฉันเงียบไป เขารู้อยู่แล้วหนิจะให้พูดอะไรอีกล่ะ “กินข้าวเดี๋ยวฉันป้อน” พี่ติณจัดการประคองตัวของฉันให้ลุกนั่งและหยิบถาดอาหารมาเพื่อจะป้อน แต่พอช้อนมาใกล้ๆ ปากฉันก็เลือกจะเบือนหน้าหนี “หนูไม่ได้เป็นง้อย” “ใช่เธอไม่ได้เป็นง้อย แต่เธอเป็นเมียฉันเพราะฉะนั้นผัวจะดูแลเมียมันก็ไม่แปลก” “เพิ่งรู้นะคะว่าเป็นเมีย ที่ผ่านมาก็เห็นใจร้ายตลอด” อีกแล้วสินะ ฉันหยิบเรื่องเก่ามาพูดอีกแล้ว จริงๆ มันไม่ควรจะไปคิดถึงหรอก แต่ฉันยังจมปักกับความเจ็บปวดในครั้งนั้น “ก็เป็นมาตลอด เป็นตั้งแต่เอากันครั้งแรก จนครั้งล่าสุดเมื่อกี้…..”“หุบปากไปเลยนะ!!” ฉันหันขวับมาจ้องพี่ติณเขม็งเพราะสิ่งที่เขาพูดมันระคายหูจริงๆ “เอาช้อนมาค่ะหนูจะกินเอง”“ฉันยอมให้เธอกินเองก็ได้แต่ต้องกินให้หมด” “นิสัยชอบบังคับมันเลิกไม่ได้เลยหรอคะ” “แยกแยะหน่อย มันคนละเรื่อง” “เอาช้อนมา” ฉันพูดย้ำเสียงแข็งพี่ติณจึงยอมเอาช้อนในมือส่งมาให้ ถ้าไม่หงุดหงิดใส่คงจะเอาผู้ชายคนนี้ไม่ลง “เอาถาดอาหารมาหนูจะถือเอง” “เดี๋ยวฉันถือให้” “บอกว่า จะ ถือ เอง” ฉันพูดเน้นคำทำให้พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ แล้วส่งถาดอาหารมาให้ กริ
#ทะเลมันเป็นเรื่องที่บ้าบอมาก ในที่สุดฉันก็มายืนอยู่ที่ทะเล เสียงคลื่นซัดน้ำกระทบหาดทรายที่ชายฝั่งมันทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บรรยากาศที่แสงอาทิตย์กำลังจะหมดไปมันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่นั่งรถมาฉันเอาแต่โวยวายต่อว่าพี่ติณมาตลอดทาง แต่พอได้มาเห็นบรรยากาศแบบนี้กลับทำให้อารมณ์ดีขึ้น ตอนนี้พี่ติณกำลังไปติดต่อห้องพัก เขาบอกให้ฉันมาเดินเล่นริมหาดรอ ที่นี่เป็นหาดที่ค่อนข้างเงียบสงบไม่ค่อยมีคน ฉันมองเห็นผู้ชายชาวต่างชาติเดินไปมาแค่สองสามคนเอง ในขณะที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศก็นึกขึ้นได้ว่าต้องโทรบอกพ่อว่าอยู่ที่ไหน ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรหาพ่อทันที ( ว่าไงลูก เมื่อไหร่จะกลับมาที่บ้านไอ้ติณมันเล่นตุกติกอะไรอีก ) พอรับสายพ่อก็ถามขึ้นมาทันที ( ตอนนี้หนูอยู่ทะเลค่ะ พรุ่งนี้คงได้กลับ ) ( ให้อภัยแล้วหรือไงถึงได้ไปกับมัน )ทั้งที่ฉันยังไม่ได้พูดว่ามากับใครแต่พ่อก็ถามอย่างรู้ทัน เพราะมีคนเดียวที่เอาแต่บังคับฉันอยู่ตอนนี้ ( หนูไม่ได้ให้อภัยพี่ติณ พ่อเองนั่นแหละทำไมถึงยอมให้เขามาดูแลหนู ) ฉันถามย้อนกลับไปทำให้พ่อเงียบไปพักใหญ่ ได้ยินเสียงถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนที่พ่อจะพูดขึ้น
ฉันเขม็งตาใส่พี่ติณที่พูดไม่รู้เรื่อง ก่อนจะหันหลังให้เขาเพราะไม่อยากจะคุยด้วย ทว่ายังไม่ทันได้เดินหนีไปไหนร่างของพี่ติณก็รีบเดินมาดักหน้าฉันเอาไว้ “หลบไปค่ะ” “จะไปไหน ?”“ก็ไปไกลๆ ไงคะ พี่ติณจะได้ไม่ต้องกังวลเวลาไปหาผู้หญิงคนนั้น” ฉันอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักครั้งจริงๆ เมื่อไหร่จะหยุดพูดอะไรที่ทำเหมือนว่ากำลังหึงเขา “คิดไปถึงนู้นเชียว”“…….”“มีแต่เธอที่พูดแล้วก็คิดเองคนเดียว ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันก็ยืนอยู่ตรงนี้” “แต่ก่อนหน้านี้พี่ติณยืนอยู่กับผู้หญิงคนนั้นนี่คะ มองนมเธอด้วย” ฉันพูดบ้าๆ อีกแล้ว!! “นมเธอหน้ามองกว่าตั้งเยอะ”ฉันถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ให้กับคำพูดเจ้าเล่ห์ของผู้ชายตรงหน้า ขี้เกียจจะฟังเลยเดินชนไหล่เขาไปหนึ่งทีแล้วเดินหนี แต่อย่างพี่ติณแน่นอนว่าเขาต้องตามฉันมาแน่ๆ และมันก็จริง “จะไปอาบน้ำเลยไหม ?” “ค่ะ ห้องไหนคะ” ฉันยอมพูดดีๆ ด้วยเพราะไม่รู้ว่าพักที่ห้องไหน ห้องที่ว่าจะเป็นบ้านแบบส่วนตัวอยู่ติดชายหาด ที่นี่ไม่มีโรงแรมมีแต่บ้านทรงรีสอร์ต “บ้านหลังที่ห้า” “หลังเดียวหรอคะ” “อืม ห้องพักเต็ม” “มีกี่เตียงคะ” “เตียงเดียว”“แปลว่าพี่ติณก็นอนในรถงั้นสิ” ฉันยกมือขึ้
“เรื่องมากนักก็ปล่อยให้เลือดมันไหลแบบนั้นนั่นแหละ” ในเมื่อพี่ติณเลือกที่จะประชดกันทั้งที่คนอุตส่าห์เป็นห่วงก็ปล่อยให้เขาน้อยอกน้อยใจไปเถอะ ไม่เห็นจะต้องสนใจเขาเลยสักนิด“อืม” พี่ติณพยักหน้าจากนั้นเขาก็เดินมาหยิบขวดไวน์แล้วเดินออกไปจากห้อง พอพี่ติณเดินไปแล้วฉันก็รีบปิดประตู ไม่ใส่ใจว่าเขาจะไปที่ไหน อยากไปไหนก็ไปเลย!!“เศษแก้วก็ไม่ยอมเก็บ!!” พอหันมาเห็นเศษแก้วที่แตกฉันก็บ่นพึมพำเบาๆ แล้วเดินมาเก็บมันให้เรียบร้อยเพราะกลัวจะเผลอเหยียบเข้า หนึ่งชั่วโมงผ่านไปเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นแต่ฉันทำเมินไม่ได้ยินเพราะคิดว่าเป็นพี่ติณ ทว่าเสียงพูดดังขึ้นมาทำให้รู้ว่านั่นไม่ใช่เขาฉันจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดประตู “อาหารเย็นค่ะ” มีพนักงานถืออาหารมาให้ “ขอบคุณค่ะ”“เราเอาวางไว้ที่โต๊ะหน้าห้องนะคะ”“ค่ะ” ที่หน้าห้องจะมีโต๊ะวางอยู่ไว้สำหรับนั่งกิน พอพนักงานจัดการเอาอาหารวางไว้แล้วพวกเธอก็เดินหนีไป ส่วนฉันก็ชะเง้อมองซ้ายมองขวาดูว่าพี่ติณอยู่แถวๆ นี้หรือเปล่า “ไปไหนของเขานะ” พอมองหาไม่เจอฉันก็บ่นเบาๆ ไม่รู้ว่าเบาหายไปไหน มันค่ำมืดแล้วด้วย หายไปเป็นชั่วโมงข้าวก็ไม่กิน เรียกร้องความสนใจละสิ ฝันไปเถ
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ