“อะ อากิตจะพาหนูกลับบ้านอย่างนั้นหรอคะ” ฉันไม่ได้สนใจพี่ติณ ถึงแม้ว่าเขาจะกระชากแขนของฉันจนแทบจะหลุดก็ตาม “อาต้องขอโทษแทนหลานชายของอาด้วยที่ทำตัวแย่ๆ แถมยังบังคับให้หนูอยู่ที่นี่กับมัน” “บอกแล้วไวครับว่าอย่ามายุ่งเรื่องของผม!!” พี่ติณตวาดบอกอากิตอย่างไม่เกรงกลัว “หนูอยากกลับบ้าน อากิตพาหนูกลับบ้านทีนะคะหนูไม่อยากอยู่ โอ้ย~” ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาเดินไปหาอากิตแขนของฉันก็พี่ติณถูกกระชากแรงๆ อีกครั้ง “ปล่อยเธอซะ แกไม่ควรเลี้ยงผู้หญิงคนนี้ไว้ในบ้าน”“ทำไมครับ อากลัวอะไร ?” พี่ติณถามกลับทำให้อากิตเงียบ เขาจึงพูดต่อ “หรืออากลัวว่าผมจะตามสืบเรื่องอุบัติเหตุของพ่ออีกครั้ง”“อาจะกลัวทำไม” อากิตหลบสายตาของพี่ติณ หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นรัว การที่พี่ติณถามอากิตแบบนี้หมายความว่าเขาเริ่มเชื่อในสิ่งที่ฉันพูดแล้วใช่ไหมหรือเรื่องที่ตามสืบมีอะไรคืบหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามายุ่งกับผู้หญิงของผม แล้วก็เลิกบังคับผมให้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น เพราะผมไม่แต่ง!!” พี่ติณดึงตัวฉันขึ้นบันไดตามตัวเองมาที่ห้อง อย่าเรียกว่าดึงเลยเรียกว่าฉุดลากคงจะมองเห็นภาพกว่า ตุบ! ร่างของฉันถูกเหวี่ยงกระแทกลงบนเตียง โชคดีที
เฮือก! ฉันจะทำยังไงดีพี่ติณถามอย่างรู้ทันมาแบบนี้ยอมรับว่าพี่ติณเป็นคนฉลาด เขารู้ทันฉันแทบทุกเรื่อง แต่ทำไมกะไอ้เรื่องอุบัติเหตุในครั้งนั้นเขาถึงได้หลงเชื่อโดยไม่คิดจะฟังใคร “ปิดบังอะไรฉันอยู่ ?” “ปะ เปล่าค่ะหนูไม่ได้ปิดบังอะไรทั้งนั้น” ถึงจะกลัวจนตัวสั่นแต่ฉันก็ยังใจดีสู้เสือปฏิเสธออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าพี่ติณเจอข้อความนั่นขึ้นมามันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ พี่ติณดันตัวฉันออกห่าง จากนั้นก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คต่อ ความกังวลมันผุดชึ้นมาอีกครั้ง ยังไงตอนนี้ฉันก็ต้องจำใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ฉันโน้มใบหน้าลงมาใกล้ๆ พี่ติณอีกครั้ง “หนูอยากเอาใจพี่ติณจริงๆ นะคะ” “นั่งอยู่นิ่งๆ ถ้าฉันเจออะไรที่…..” ฉันโน้มใบหน้าลงมากดจูบที่ริมฝีปากหนาก่อนพี่ติณจะพูดจบ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มก่อนแบบนี้ ฉันยกมือขึ้นคล้องลำคอแกร่ง พยายามจูบถึงจะรู้ว่าตัวเองจูบไม่เก่ง ตอนแรกพี่ติณก็ไม่ได้จูบตอบเขานิ่งไปครู่ใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยอมตอบรับจูบของฉัน ฉันเลื่อนมือข้างหนึ่งที่คล้องลำคอแกร่งเลื้อยลงมาสัมผัสที่แผงอกแน่นๆ ลูบไล้มือวนไปมาอย่างนั้น ในขณะที่พี่ติณกำลังเคลิบเคลิ้มฉันก็ค่อยๆ หยิบโทรศัพท์ตัวเองออกจากมือขอ
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรอพี่ติณประชุมผ่านมาสองชั่วโมงได้แล้วแหละ การนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้มันน่าเบื่อมากจริงๆ ข้อความจากบุคคลปริศนาที่ส่งมาตอนนี้เขายังไม่ได้ตอบกลับคำถามของฉัน เงียบหายไปเลย แกร็ก! ประตูห้องถูกเปิดตามด้วยร่างของพี่ติณที่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าเขาดูเหนื่อยล้าผิดจากตอนที่ยังไม่เข้าห้องประชุม “จะกลับหรือยังคะ” พอดีติณเดินเข้ามาในห้องฉันก็รีบถาม เพราะเบื่อกับการนั่งรอนานนับชั่วโมง จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาจะพามาด้วยทำไม “หิวข้าว” พี่ติณบอกสั้นๆ เขาเดินไปหยิบเอกสารที่โต๊ะทำงานแล้วก็เดินไปยังประตูห้อง ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันมาถามฉัน “จะนั่งอยู่แบบนั้นหรือไง ทำไมไม่ตามมา” ฉันเบ้บปากใส่พี่ติณแต่ทำตอนที่เขาหันหลังให้แล้วหรอกนะเพราะไม่กล้าทำต่อหน้า ฉันลุกขึ้นเดินตามหลังพี่ติณออกจากห้องชั้นบนนี้มีแค่เลขาไม่มีพนักงานเดินพลุกพล่านและมีลิฟต์ที่กดลงไปได้ถึงล้านจอดรถของผู้บริหาร ตลอดทางที่นั่งรถมาพี่ติณกับฉันเราไม่ได้คุยอะไรกันเลยสักคำ เขาดูเครียดๆ จนฉันเองก็แอบเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรจนกระทั่งรถของพี่ติณขับมาจอดที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ฉันมองร้านอาหารตรงหน้าก่อนที่จะคิดถึงเหตุ
“จะตกใจทำไม” พี่ติณถามเหมือนสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมามันเป็นเรื่องปกติ “ไม่สบายหรือเปล่าคะ” ฉันลุกขึ้นจากตักแกร่งหมุนตัวมาหาพี่ติณ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาทาบที่หน้าผากของเขาเพื่อเช็คดูว่าร้อนหรือเปล่า “ตัวก็ไม่ร้อน พี่ติณได้หกล้มหัวกระแทกพื้นหรือเปล่าคะ” ฉันไม่ได้ถามขำๆ นะ ฉันถามแบบสาระ จริงจังมากด้วย ผู้ชายที่ตั้งแง่ใจร้ายกับฉันมาตลอด จู่ๆ จะมาใจดีมันผิดปกติมากๆ พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาเขาปัดมือฉันออก ก่อนจะคว้ามือโอบเอวฉันให้นั่งลงบนตักของตัวเองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการนั่งแบบประจันหน้าใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้ๆ ทำเอาหัวใจดวงน้อยมันแทบจะหยุดเต้น พี่ติณกระซิบบอกข้างๆ กับใบหูของฉัน “ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น” ฉันเม้มปาดแน่น รู้สึกไม่ชอบเลยที่ตัวเองหวั่นไหวมากขนาดนี้พี่ติณเอามือขึ้นปัดเส้นผมเกะกะบริเวณลำคอของฉันออกให้ เขาใช้นิ้วลากขึ้นลงบริเวณซอกคอไปมาเป็นสัมผัสที่ทำให้ขนทั้งตัวของฉันมันลุกซู่ “ในเมื่อฉันใจดีแล้วเธอก็ไม่ควรจะทรยศ” “……” ฉันไม่รู้ว่าพี่ติณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่ใจมันนึกกลัวเพราะเหมือนเขาจะรู้เรื่องที่มีคนทักข้อความมาหาฉัน แต่ตอนที่พี่ติณหยิบโทรศัพท์ไปเขายังไม่ได้เปิดแ
พี่ติณเงียบไปแถมยังเบือนหน้าหนีอีกต่างหาก ไม่รู้สิแต่ฉันคิดว่าเขาพยายามเลี่ยงคำตอบ เพราะนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเงียบ แต่รู้ว่าลบคลิปออกไปแล้วฉันก็สบายใจได้ระดับหนึ่งแล้วแหละ“แล้วจะไปฮ่องกงกี่วันหรอคะ” “ทำไมจะเตรียมตัวหนีหรือไง ?” พี่ติณหันหน้ามามองค้อนฉัน “จะให้หนีไปที่ไหนล่ะคะในเมื่อหนูก็ยังเรียนอยู่”“แค่ย้ายไปเรียนต่างประเทศพ่อของเธอก็พร้อมจะจัดการให้ทุกอย่าง มันไม่ได้ยาก” “ชี้แนะแนวทางหรอคะ” การที่พี่ติณพูดแบบนั้นมันก็เหมือนเขากำลังแนะนำฉันอยู่ และมันก็น่าสนใจไม่น้อยกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกมา“คิดว่าหนีพ้นก็ลองดู” “ถ้าหนูหนีไปจะตามหาหนูหรอคะ ?”“แล้วคิดว่าฉันจะตามหาเธอหรือเปล่า ?” ผู้ชายคนนี้คงจะถนัดเรื่องถามยอกย้อนจริงๆ เลย พอฉันตั้งคำถามพี่ติณก็มักจะตั้งคำถามกลับมา เป็นแบบนี้แทบทุกครั้ง “คงจะตามหามั้งคะ ตามกลับมาแก้แค้นทรมานหนูแบบที่เคยทำ” “……” พี่ติณไม่ตอบอะไรเขายกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ “ความแค้นในใจของพี่ติณมันไม่ลดลงสักนิดเลยหรอคะ”“คิดว่าฉันจะหวั่นไหวกับเธอ ?” คำถามแบบนี้มันทำให้ใจฉันเริ่มเต้นแรง “แล้วหวั่นไหวกับหนูบ้างไหมคะ” ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น ฉ
วันต่อมาฉันลืมตาตื่นขึ้นมารู้สึกว่าเช้านี้มันสดใสมากกว่าทุกวัน คงเป็นเพราะชีวิตที่เป็นอิสระ ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูห้องตามมาด้วยเสียงของแม่ “น้ำมนต์ลูก ตื่นหรือยัง” “ค่าแม่ หนูตื่นแล้ว”“แม่ให้คนจัดโต๊ะอาหารแล้วล้างหน้าล้างตาลงมากินข้าวด้วยกันนะลูก” “ค่ะ” ฉันรีบลุกขึ้นไปล้างหน้าแปลงฟันเพื่อลงไปกินข้าว#โต๊ะอาหาร“วันนี้พ่อกับแม่จะออกไปบริษัทหรอคะ” เห็นพ่อกับแม่แต่งตัวด้วยชุดที่เตรียมจะออกไปข้างนอกฉันก็เลยถาม “อื้อ ช่วงนี้งานที่บริษัทเยอะหน่อย” “แล้วเรื่องที่พี่ติณถือหุ้น….” “ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ตอนนี้มันยังไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง” พ่อตอบเสียงเข้ม ไม่รู้จะเรียกว่าโล่งใจได้หรือเปล่าแต่มันก็ดีที่พี่ติณไม่ได้ไปวุ่นวายอะไรที่บริษัทของครอบครัวฉันมากไปกว่าการถือหุ้นรายใหญ่ เขามีสิทธิ์จะทำอะไรตอนไหนก็ได้ฉันยังวางใจไม่ได้หรอก จนกว่าเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้นจะถูกเปิดเผย “วันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่านี่บัตรของแม่เอาไว้ใช้นะ” แม่ยื่นบัตรเครดิตมาให้ฉัน เหมือนกับรู้ว่าตอนนี้ฉันไม่มีเงินติดตัว “ขอบคุณค่ะ” พ่อกับแม่คงไม่อยากพูดอะไรให้ฉันคิดมาก แต่ท่านทั้งสองคงจะคิดไม่ตกเพราะปัญหาในตอนนี้มันไม
#คลับ จริงๆ ฉันอยากจะหาดื่มร้านที่มันเปิดเพลงเบาๆ แบบร้านนั่งชิวมากกว่า แต่พี่วินเป็นคนขับรถเขาพาฉันมาที่คลับ บอกว่าคลับสนุกกว่าเยอะ “เพื่อนจะมาด้วยหรือเปล่าครับ” พี่วินถามเมื่อเรามาถึงที่คลับกันแล้ว เขาพาฉันมานั่งที่โซนวีไอพีตรงนี้จะมีจ่ายค่าโต๊ะด้วยหลายพันเพราะเป็นโซนแบบส่วนตัวไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน “ไม่ค่ะ” “งั้นพี่สั่งเครื่องดื่มเลยนะ” “ค่ะ แต่หนูอยู่ได้ไม่นานนะคะ” “กลัวผู้ชายคนนั้นรู้หรอครับ ทั้งที่ชวนพี่มาดื่มแต่น้ำมนต์เอาแต่เล่นโทรศัพท์” “เปล่าค่ะหนูส่งข้อความไปบอกแม่ว่าอยู่ที่คลับ กลัวแม่กับพ่อจะเป็นห่วง” ฉันไม่ได้กำลังอ้างหรืออะไร ที่ก้มเล่นโทรศัพท์เมื่อกี้กำลังส่งข้อความไปบอกแม่จริงๆ “คิดยังไงถึงชวนพี่มาดื่ม ทีพี่ชวนกินข้าวไม่เห็นจะตอบตกลงเลย” “หนูเบื่อๆ ค่ะ” “ให้พี่เป็นคนแก้เบื่อให้ไหม ?” สีหน้าที่จริงจังของพี่วินทำให้ฉันเงียบไป ที่เอาตัวมาอยู่ในที่แบบนี้ก็เพราะรูปภาพนั้น ฉันก็แค่อยากมาระบายความรู้สึกอึดอัด แต่มันคงจะดูใจร้ายไปหน่อยที่ฉันชวนพี่วินมา ทั้งที่รู้ว่าเขาคิดยังไงกับตัวเอง “ถ้าวันนั้นน้ำมนต์ไม่ยกเลิกงานหมั้น ป่านนี้เราคงได้หมั้นกันแล้วเนอะ” “เหล้ามาแล้ว
พี่ติณสูดดมกลิ่นจากตัวฉัน จากนั้นเขาก็จ้องเขม็ง แล้วถามอีกครั้ง “กลิ่นเหล้า ?”“ค่ะ หนูไปดื่มมา” ฉันตอบไปตามตรง ใบหน้าของพี่ติณจึงผุดรอยยิ้มที่มุมปาก แต่รอยยิ้มนั้นมันแฝงไปด้วยความอำมหิต “ฉันดีใจนะที่เธอไม่โกหก” “…หนูอยากอาบน้ำ” ฉันดันแผงอกแกร่งให้ออกห่าง ทว่าพี่ติณก็ยังไม่ยอมปล่อย “ไปดื่มกับใคร ?” น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกนี้ทำให้ฉันเงียบไปชั่วขณะ ถ้าบอกว่าไปกับพี่วินแน่นอนว่าคนอารมณ์ร้ายอย่างพี่ติณจะต้องโมโหมากแน่ๆ “ปะ ไปกับเพื่อนค่ะ” “เธอโกหก!!” พี่ติณตวาดสวนคำพูดของฉันขึ้นมาทันควัน เขาขบกรามแน่น “คิดว่าฉันไม่เห็นภาพที่เธออัปลงโซเชี่ยลหรือไง” “…….” ฉันค่อยๆ เม้มปากแน่นเมื่อถูกตวาดถามเสียงดัง “มันเป็นใคร ?” “ทำไมพี่ติณถึงกลับมาเร็วนักล่ะคะ อยู่ที่ฮ่องกงก็มีผู้หญิงคอยดูแลไม่น่าจะรีบกลับ” ฉันเอาเรื่องภาพที่เห็นมาพูด แต่พี่ติณกลับขมวดคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ “พูดเรื่องอะไร ? อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!!”“แล้วหนูพูดจริงไหมล่ะคะ ธุระที่พี่ติณว่ามันก็แค่ข้ออ้าง จริงๆ แล้วพี่ติณคงจะซุกผู้หญิงเอาไว้ที่ฮ่องกง” พอพูดถึงเรื่องนี้อารมณ์ของฉันมันก็เริ่มเดือดดาล ถึงแม้สถานะของฉันกับเขาจะไม่ได้เป็นอะไ
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ